3592. โจรหน้ากากดำปล้นธนาคารมิตซุย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ธนาคารมิตซุยเดิมเป็นบริษัทตัวแทนหอการค้าญี่ปุ่นชื่อมิตซุย ไกช่า พอกองทัพงิเจรจาขอผ่านไทยเพื่อไปตีอังกฤษที่มลายู สิงคโปร์ พม่า อินเดีย จึงดัดแปลงเป็นธนาคารกองทัพพระจักรพรรดิทุกวันมีเงินเข้าออกเป็นล้าน

ในที่พักของไพฑูรย์กับสหายปรึกษากันว่าในยามสงครามแบบนี้เศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของก็แพง คนไทยต้องนุ่งเสื้อผ้าที่ทำจากกระสอบป่าน ก็เสื้อผ้าดีๆ ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าที่ทอจากนอกไม่มีนำเข้ามาขาย ที่ผลิตได้ในประเทศญี่ปุ่นก็เหมาหมด แถมยังสั่งเปิดโรงงานทอผ้าและฟอกย้อมที่ยศเสผ้าที่มีอยู่ก็หายไปตลาดมืดหมด

จากเมตรละ 3 บาท เอาไปขายในตลาดมืดเมตรละ 10 บาทชาวบ้านก็ไม่มีปัญญาซื้อต้องพึ่งผ้าป่านกระสอบนี่แหละ เอามาตัดเย็บโดยใช้เสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้ว หรือเศษผ้ามาเป็นซับในใส่ได้โดยไม่คัน

น้ำตาลทราย กาแฟ ไม้ขีด น้ำมันก๊าด น้ำมันเบนซินแพงหูฉี่ แม้แต่น้ำตาลทรายแดงก็ไม่มีขาย ข้าวยากหมากแพงมหาโหด มีแต่พวกเศรษฐีสงครามเท่านั้นที่รวยเอาๆชาวบ้านแทบอดตาย ยารักษาโรคก็ขาดแคลน หลายคนที่ป่วยหนักก็ถึงกับตายไปอย่างทรมาน

ไพฑูรย์กับเพื่อนรักทั้งสี่มีเงินสะสมที่ปล้นจากเศรษฐีสงครามไว้รองรับจึงไม่เดือดร้อนนัก แต่คนทั่วไปจะลำบากมากทีเดียว

ตอนนั้นเสรีไทยจริง เสรีไทยปลอม เกลื่อนกันไปหมด แม้แต่หลวงอดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจก็เป็นเสรีไทย ดูเหมือนจะมีรหัสว่า “พูเลา” เสรีไทยสายอังกฤษและอเมริกา ทำงานกันเป็นทีม ร่วมมือกับพวกไทยถีบทั้งที่กาญจนบุรีกับทางภาคใต้จากจังหวัดชุมพรถึงปัตตานี สร้างความพินาศให้กับกองทัพญี่ปุ่น ด้วยการขโมยสินค้าและยุทธปัจจัยต่างๆที่ลำเลียงทางรถไฟ

ญี่ปุ่นต้องวางแผนเอาทหารไปซุกไว้ในตู้สินค้า เจาะช่องระบายอากาศ พอไทยถีบขึ้นปล้นเปิดประตูตู้ก็เจอสวนด้วยปืน หรือไม่ก็ถูกฟันหรือแทงด้วยดาบซามูไรสละชีพเพื่อชาติสองข้างทางรถไฟไม่มีโอกาสได้รับเหรียญกล้าหาญกับเขา มีแต่ตำนานเท่านั้น

เสรีไทยที่ถูกจับได้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำความตกลงกับเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและกองทัพงิว่า จะต้องอยู่ในความดูแลของตำรวจไทย และขึ้นศาลไทย จะมาตัดสินเองแล้วเอาดาบซามูไรฟันคอชุ่ยๆไม่ได้

ทางกองทัพงิก็แสบมีข้อแม้ว่า หากถูกจับได้ในค่ายทหารหรือในที่ซึ่งกองทัพงิดูแลอยู่ จะต้องถูกพิพากษาโทษด้วยกฎอัยการศึกของญี่ปุ่นตามสนธิสัญญาที่ทำกับรัฐบาลไทย ว่าในพื้นที่ที่เป็นค่ายทหารและพื้นที่เกี่ยวเนื่องให้ถือเสมือนว่าเป็นดินแดนของญี่ปุ่น จึงมีสิทธิ์พิจารณาโทษตามกฎหมายญี่ปุ่น

เหตุนี้จึงมีการลงโทษแบบโหดเหี้ยมจากฝ่ายญี่ปุ่นเช่นว่าลักน้ำมันก็เอาน้ำมันกรอกปากจนตาย ลักสบู่ก็เอาสบู่ละลายน้ำกรอกปากจนตาย เพื่อให้เหล่าเสรีไทยหวาดกลัวเข็ดหลาบ

ธนาคารมิตซุยเป็นที่หมายตาของไพฑูรย์และสหาย จึงลงทุนปลอมเป็นเศรษฐีสงครามไปเดินดูลาดเลาหลายหน มีเจ้าอำไพเป็นคนวาดแผนที่จุดต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกตัวธนาคาร

ไพฑูรย์บอกว่าการปล้นธนาคารมิตซุยไม่ยาก ที่ยากคือการหนี เพราะโดยรอบธนาคารมีจุดตรวจหลายจุด ฝ่าออกไปได้ลำบากมีอยู่ทางเดียวคือปล้นทางบกและหนีทางน้ำ ให้เจ้าโจรเหลืองเป็นคนขับรถและวางเส้นทางหนี เมื่อปล้นธนาคารแล้วจะต้องขับรถวกวนเพื่อให้ญี่ปุ่นจับเส้นทางไม่ถูก ก่อนจะไปลงเรือที่ท่าน้ำโอเรียนเต็ล เจ้าแผ้วนายท้ายเรือจอดรอที่จุดนัดพบ

อาวุธที่ใช้ต้องเป็นปืนกลเป็นหลัก พาหนะที่ใช้ไม่ติดทะเบียน โดยไพฑูรย์ หม่อมหลวงกำมะลอ เจ้าสั้น และเจ้าเข้ม จะเป็นคนเข้าปล้นในเวลา 14.00 น.ตรง ซึ่งเป็นเวลาที่กองทัพงิจะส่งคนมาเบิกเงินโดยมีพลขับหนึ่งคน คนคุ้มกันอีก 3 คน

เมื่อทุกอย่างพร้อมแผนก็เริ่ม เจ้าโจรตาเหลืองจอดรถติดกับธนาคาร รอเวลาที่ญี่ปุ่นจะส่งคนมาเบิกเงิน ไพฑูรย์กับพรรคพวกเอาผ้าสีดำเจาะตรงลูกนัยน์ตาคาดพรางหน้ารอจนทหารญี่ปุ่นมาจอดรถเปิดท้ายเข้าหาธนาคาร คนเบิกเงินเดินเข้าไปข้างในธนาคาร ก่อนแบกกระสอบใส่เงินออกมาโยนใส่ท้ายรถ

เจ้าโจรตาเหลืองสตาร์ทรถออกจากที่ไพฑูรย์ หม่อมหลวงกำมะลอ เจ้าสั้น กับเจ้าเข้มกระชากลูกเลื่อนปืนกลเตรียมพร้อม รถยนต์แล่นเทียบรถขนเงินญี่ปุ่น ไพฑูรย์ เจ้าสั้นและเจ้าเข้มเปิดฉากยิงใส่ยามกับทหารคุ้มกันพร้อมกันจนล้มลงจมกองเลือด

ไพฑูรย์ร้องสั่งการ “สั้น เข้ม ขนเงินขึ้นรถอั๊วจะยิงคุ้มกันเอง ไอ้พวกข้างในแห่กันออกมาแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงครับเจ้านายคุ้มกันให้ผมด้วยก็แล้วกัน”

การดวลปืนระหว่างไพฑูรย์และหม่อมหลวงกำมะลอกับหน่วยรักษาความปลอดภัยพวกไพฑูรย์เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เจ้าโจรตาเหลืองจึงต้องยิงช่วยอีกแรง

“ขนหมดแล้วเจ้านายเผ่นเถอะ”

ไพฑูรย์ รถเคลื่อนออกจากที่อย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ไทยมุงคิดว่าเป็นการถ่ายหนังจึงฮือเข้ามาดูหน้าพระเอก เสียงปืนที่ต่อสู้กันดังไปถึงจุดตรวจที่อยู่ใกล้กับธนาคาร รถบรรทุกทหารพร้อมอาวุธครบมือแล่นเข้ามาทางด้านหลัง

เสียงเจ้าเข้มตะโกนลั่น “ฉิบหายแล้วเจ้านาย ไอ้ยุ่นมากันเป็นคันรถเลย”

“ขับไปอย่าหยุด เดี๋ยวอั๊วจัดการเอง”

เจ้าโจรตาเหลืองเหยียบคันเร่งพุ่งเข้าหาไทยมุง ไพฑูรย์หยิบเงินในกระสอบโปรยออกไปทางหน้าต่าง ได้ผล…ไทยมุงวิ่งมาเก็บเงินกันโกลาหล จนสกัดทางวิ่งของรถบรรทุกทหาร พลขับเหยียบเบรกดังสนั่น เพราะหากทับคนไทยมีหวังติดคุก นายทหารญี่ปุ่นกระโดดลงจากรถ ยิงปืนขึ้นฟ้า ทหารบนรถก็ช่วยกันยิง ปากก็ร้องตะโกนว่า “บันไซ บันไซ บันไซ”

บรรดาไทยมุงที่กำลังเก็บเงินเริ่มได้สติ ใครคนหนึ่งจึงร้องตะโกนบอกว่า “ลูกปืนจริงโว้ย ไม่ได้ถ่ายหนัง เปิดกันเถอะโว้ย”

แล้วก็พากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง นั่นแหละรถบรรทุกจึงแล่นกวดรถของไพฑูรย์ได้ แต่ไปทางไหนก็เห็นแต่คนไทยแย่งกันเก็บเงินที่โปรยสกัดทางไว้ ต้องยิงปืนไล่กันยกใหญ่ ทำให้ไพฑูรย์กับพรรคพวกขับรถหนีไปได้

ไปถึงท่าน้ำโอเรียนเต็ลก็ช่วยกันแบกกระสอบเงินสองกระสอบครึ่ง โปรยให้คนเก็บไปครึ่งกระสอบ เจ้าแผ้วยิ้มฟันขาวสตาร์ทเครื่องเรือเตรียมพร้อม พอขนเงินลงเรือหมดแล้ว เรือเร็วก็ออกจากที่ไปขึ้นที่ท่าเทเวศร์ซึ่งเจ้าอำไพจอดรถรออยู่แล้ว ทุกคนกลับถึงชุมโจรอย่างปลอดภัย นับเงินในกระสอบได้ 1,000,000 ใบ แต่ละใบมีรอยแก้ไขด้วยการพิมพ์ลงไปว่า 50 สตางค์ ก็เป็นค่าเงินจริง 500,000 บาท

ผู้ลงมือปฏิบัติมีอยู่ 6 คน ได้คนละ 50,000 บาทเป็นเงิน 300,000 บาทที่เหลือไพฑูรย์นำไปเป็นกองทุนสำรอง เพื่อใช้ในกรณีที่พลพรรคถูกจับสำหรับใช้สู้คดีหรือเวลาบาดเจ็บไว้ไปหาหมอมารักษาแบบใต้ดิน

เมื่อเสรีไทยถูกญี่ปุ่นทรมานจนตาย ไพฑูรย์จะไปร่วมงานศพแล้วมอบเงินให้รายละ 1,000 บาท บอกว่าเป็นเงินช่วยเหลือจากหัวหน้าเสรีไทยประจำประเทศไทย

หนังสือพิมพ์ลงข่าวโจรหน้ากากดำปล้นธนาคารมิตซุย มีภาพประชาชนพากันเก็บเงินที่กระจายเกลื่อนถนน ผู้บัญชาการกองทัพงิเข้าพบหลวงอดุลฯ เพื่อขอให้จับกุมคนร้ายมาลงโทษเพราะการปล้นคราวนี้ ทหารญี่ปุ่นตายไป 4 คน บาดเจ็บอีกระนาว

“โจรหน้ากากดำปล้นธนาคารมิตซุยกลางวันแสกๆ ได้เงินไปสามกระสอบ แถมสวมบทพระเวสสันดรโปรยเงินให้ทานคนยากจนเกลื่อนถนน ชาวไทยยกมือท่วมหัวสรรเสริญว่าเป็นวีรบุรุษ จะเป็นเมื่อใดให้บอกล่วงหน้า จะได้ตามไปเก็บเงิน”

เจ้าหม่อมหลวงกำมะลออ่านข่าวจบก็พูดติดตลกว่า

“เสียดายฉิบที่จริงไม่อยากเป็นพระเวสสันดรหรอก แต่มันจำเป็นโว้ยพรรคพวก หากไม่ได้พวกชาวบ้านมารุมเก็บเงินขวางทางไว้ สงสัยพวกมันคงจับเราไปมัดบังคับให้กินแบงก์จนติดคอตายแน่เพราะดันผ่าไปปล้นเงินพวกมัน”

เจ้าอำไพทะลุ กลางปล้องเรียกเสียงฮาลั่นวงแทบแตก

“นี่ถ้าพวกมันรู้ว่าเราโปรยเงินเพื่อให้มันเป็นเป้ารับกระสุนแทน คงด่าเปิง หรือไม่ก็คงช่วยไอ้ ยุ่นตามกระทืบเราจมบาทาแน่ๆ”

“อั๊วรู้ดีว่าไอ้ยุ่นมันไม่กล้ายิง ไม่กล้าขับรถทับคนไทยหรอก เพราะพวกมันมาอาศัยแผ่นดินของเรา แค่เสรีไทยกับไทยถีบพวกมันก็ปวดหัวแล้ว ขืนยังข่มเหงชาวบ้านแบบไม่เกรงใจละก็ ชาวบ้านร่วมกันกระทืบมันเละแล้ว อีกอย่างมันพิมพ์แบงก์ได้เอง ถูกปล้นวันนี้พรุ่งนี้มันก็พิมพ์ใหม่”

การปล้นธนาคารมิตซุยของไพฑูรย์ทำได้ครั้งแรกและครั้งเดียว เพราะญี่ปุ่นตั้งบังเกอร์และจุดตรวจรอบธนาคารแบบแหตาถี่ ออกกฎห้ามรถของคนไทยเข้าไปจอดใกล้ธนาคาร แม้เป็นลูกค้าก็ต้องเดินเท้าผ่านจุดตรวจจึงไม่มีโจรกล้าเสี่ยงปล้นอีกเลย

ปลายสงครามโลกมีการปล้นรถขนเงินญี่ปุ่นโดยเสือสมานที่ได้ตามประกบรถขนเงินมาจากโรงกษาปณ์ที่สะพานขาว เห็นมีรถคุ้มกันน้อยเลยดักปล้นที่หัวมุมถนนสีลม พอเข้าประกบเท่านั้นแหละ รถขนเงินที่เจาะช่องบนหลังคาไว้ ก็ถูกทหารญี่ปุ่นเปิดช่องออกท้ายรถก็ถูกเปิดออก ปืนกลเบาจ้องจังก้า เสือสมานกับลูกน้องจึงกลายเป็นผีเฝ้าถนนไปทันที

ผู้บัญชาการกองทัพงิแถลงข่าวว่า คาดว่าเป็นพวกเดียวกับที่เคยปล้นธนาคารมิตซุยแต่คราวนี้พลาดเลยกลายเป็นศพ ขอเตือนผู้ที่คิดจะปล้นเงินหรือยุทธปัจจัย ทั้งที่เป็นโจรธรรมดาและเสรีไทยให้รู้ว่ากองทัพงิจะไม่ยอมให้เกิดเหตุซ้ำสองขึ้นอีก และจะสังหารผู้ที่ทำตัวเป็นศัตรูกับญี่ปุ่นอย่างไม่ปรานี

หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวว่า เสือร้ายจากสุพรรณฯ เลียนแบบโจรหน้ากากดำ แต่พลาดท่าถูกเป่าเป็นศพกลางถนน ญาติรับศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด ส่วนประชาชนที่ถูกลูกหลงทั้งที่บาดเจ็บและตาย กองทัพงิจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างคุ้มค่า

หลังจากสงครามสงบเพราะญี่ปุ่นถูกระเบิดปรมาณูถล่มที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ ผู้บัญชาการกองทัพงิทำฮาราคีรีพร้อมกับนายทหารระดับสูง อันถือเป็นเกียรติสูงสุดของชายชาติซามูไร เงินที่ญี่ปุ่นพิมพ์ทิ้งไว้ได้มอบให้กับบรรดาลูกเมียและพวกชายชาติที่สนับสนุนกองทัพ

ต่อมารัฐบาลไทยประกาศให้นำมาแลกเป็นเงินที่รัฐบาลไทยพิมพ์เองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จนหลายคนเป็นตำนานเศรษฐีสงครามที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันก็หลายคน

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: