3712. อั้งยี่เยาวราช (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

อั้งยี่เยาวราช (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เยาวราชเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวไทยเชื้อสายจีนมาตั้งเเต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวจีนโพ้นทะเลพากันหอบเสื่อผืนหมอนใบลงเรือเดินทะเลข้ามมหาสมุทรมาปักหลักอยู่ในเมืองไทย เยาวราชคือสวรรค์ของชาวจีนอพยพที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หัวแห่งสยามประเทศ ที่เยาวราชเป็นแหล่งรวมตะกูลแซ่ ใครแซ่ไหนก็ไปขออาศัยทำงานกับคนแซ่เดียวกัน คนจีนเขาช่วยกันให้ได้เกิด

ทว่าท่านผู้อ่านที่เคารพ ในเยาวราชกลับมีองค์การลับที่รู้จักกันในหมู่คนจีนในนาม ”อั้งยี่” อั้งยี่คือสมาคมลับดำเนินการใต้ดิน แบ่งพื้นที่ในเยาวราชออกเป็นส่วนๆ แล้วใช้อิทธิพลข่มขู่เรียกค่าคุ้มครองจากร้านค้า โรงงิ้ว รวมไปถึงกิจการขนส่งทางน้ำ ทางบก หากมีการบุกรุกพื้นที่เพื่อแย่งเก็บค่าคุ้มครองก็จะยกพวกเข้าตีรันฟันแทงกันตายเป็นเบือ

ในสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบรมราชาธิราช อั้งยี่ก่อความวุ่นวาย ในที่สุดก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระนเรศวรฤทธิ์เจ้ากรมพระนครบาล นำกำลังตำรวจขึ้นรถรางไประงับเหตุ จับตัวหัวหน้าอั้งยี่เเละลิ้วล้อ คุมตัวมาสอบสวนเพื่อฟ้องศาลต่อไป แต่อั้งยี่ก็ยังคงไม่หมดไปจากเยาวราช

ในปีพุทธศักราช 2480 อั้งยี่กำเริบแผ่อิทธิพลฆ่าฟันพวกที่หัวเเข็งไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้กับสมาคมลับดังกล่าว มีผู้ถูกกรรไกรขาเดียวแทงตายไปหลายคน ตำรวจก็ไม่กล้าเเตะต้อง เพราะตำรวจไม่มีกำลังคนและกำลังอาวุธพอจะต่อสู้ได้ถนัด เพื่อป้องกันพุงไม่ให้ถูกแทงได้ง่ายๆ ตอนนั้นคนจีนที่หัวเเข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้กับอั้งยี่ต้องสั่งทำเข็มขัดด้วยหนังวัวเส้นใหญ่ๆ มีกระเป๋าสำหรับใส่ของป้องกันปลายกรรไกรแทง

ไพฑูรย์เล่าว่า อั้งยี่ที่มีอิทธิพลมากหลายคณะ ”ใต้กังตัง” มีหัวหน้าคณะชื่อ ”คิม”เป็นคนใจถึงไม่เคยกลัวอาวุธใดๆ อีกคณะหนึ่งชื่อ ”อั้งเล้ง” มีหัวหน้าคณะชื่อ ”บุ้น จิว” รายนี้ใบหน้ายิ้มเเย้ม แต่ใจเหี้ยมโหดฆ่าคนโดยไม่กระพริบตา อีกคณะหนึ่งชื่อ ”แป๊ะ โฮ้ว”มีหัวหน้าคณะชื่อ ”หยก เล้ง” เจ้านี้อายุมากมีวิชามวยจีนเส้าหลินเป็นที่คร้ามเกรงของคนทั่วไป ส่วนคณะสุดท้ายคือ ”กิม เล่ง” มีหัวหน้าคณะชื่อ ”เหลียง ซุ่น”

เขตปกครองอยู่แถบถนนตก บางรัก สาทร เจริญกรุง เยาวราช หัวลำโพง ราชวงศ์ และสามยอด อาชีพหลักของอั้งยี่คือเรียกค่าคุ้มครอง รับจ้างฆ่าคน ค้าอาวุธเถื่อน ค้าธนบัตรปลอม มีการติดต่อกับคณะก่อการล้มราชวงศ์ชิงของพระนางซูสีไทเฮา ส่งเงินส่วนหนึ่งไปช่วย เรียกว่ากองทุนโพ้นทะเล มี ดร.ซุน ยัดเซิน เป็นหัวหน้า ท่านผู้นี้เป็นหลานของขุนพลซุนที่ถูกพระนางซูสีไทเฮาใช้เล่ห์สั่งประหารชีวิต เคยเดินทางมาหาทุนถึงเมืองไทย ปรากฏหลักฐานอยู่จนทุกวันนี้

อั้งยี่และคณะจะมีของดีติดตัว อาทิ ฮู้ (ยันต์) เขียนด้วยภาษาจีนลงบนผ้าแพรติดตัว บ้างก็มีพวงประคำ บ้างก็สักลั่กกั้ก หลายคนมีผ้าแพรคาดเอวที่ลงยันต์ (ฮู้) ไว้เพื่อป้องกันตัว ผ้าแพรนี้ก็มีอำนาจทางมหาประสาน เวลาถูกอาวุธเป็นบาดแผล มีเลือดออก ก็เอาผ้าแพรกดลงไป แผลจะติดกันเหมือนเย็บด้วยเข็ม

พุทธศักราช 2484 ญี่ปุ่นบุกเมืองไทยขอเป็นทางผ่าน แต่ก่อนหน้านั้นได้บุกเข้าจีน ทิ้งระเบิดสังหารโหดชาวจีนที่เมืองนานกิง บุกยึดเซี่ยงไฮ้ ทำให้ชาวจีนในประเทศไทยโกรธเเค้นมาก เมื่อญี่ปุ่นบุก ชาวจีนในเยาวราชก็สนับสนุนอั้งยี่ให้ทำร้ายทหารญี่ปุ่นในทุกรูปแบบ ไม่เท่านั้น หากชาวจีนค้าขายกับญี่ปุ่น หรือคนจีนที่ต้องสงสัยว่าจะเข้ากับญี่ปุ่นจะถูกอั้งยี่ฆ่าตาย โดยมีสายลับจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาคอยกำกับ

อั้งยี่ ”แชคัง” โดยตั้ง จิวโม้ว เป็นตั้วเฮีย ชื่อ ”ลิ้ม กงหวย” มี
ซาเฮีย ชื่อ ”ลี้ บุ้นป่า” สองรายหลังนี่เป็ชาวจีนในเยาวราช ใช้กรรไกรขาเดียวที่เสี้ยมปลายจนแหลมและฝนคมจนบางพกติดตัว เดินสวนกัน เพชฌฆาตก็จะเบียดเข้าใกล้แล้วเสียบกรรไกรขาเดียวเข้าที่ลิ้นปี่ให้ชอนไปที่หัวใจปล่อยกรรไกรที่มือจับผูกแพรแดงไว้ให้คาลิ้นปี่คนถูกแทง คนถูกแทงจะไม่รอดเพราะเลือดจากบาดแผลจะตกใน

แม้ว่าคนตายจะเป็นสมาชิกในความคุ้มครองของอั้งยี่คณะต่างๆ แต่อั้งยี่เหล่านั้นก็ไม่กล้าขวางแชคัง เพราะอำนาจของแชคังมาจากการกำกับการจากแผ่นดินใหญ่โดยตรง มีเหมือนกันที่อั้งยี่บางคณะกล้าขัดขวางจึงกลายเป็นศพไปด้วยกันกับเถ้าแก่

ไพฑูรย์เล่าว่า ตอนนั้นเขาได้ดำรงตำแหน่งตั้วเฮียของคณะอั้งยี่ ”ทิ กวนอิม” หรือกวนอิมเหล็กโดยต่อสู้กับตั้วเอ๊ย ล้มตั้วเฮียลงได้ จึงดำรงตำแหน่งแทนและใช้ชื่อคณะว่า ”กวนอิมเหล็ก-เก้ายอด”
วันนั้นเถ้าแก่แต้อุยเม้งมาพบไพฑูรย์เอาเทียบมาให้อ่าน ไพฑูรย์ให้แปลให้ฟัง ความในจดหมายมีว่า

”อย่าค้าขายกับญี่ปุ่น เพราะมันทำกับพ่อแม่พี่น้องเราในเมืองจีนอย่างโหดร้ายที่สุดการกระทำของท่านคือทรยศต่อชาติกำเนิดและบรรพชน หากไม่หยุด เราจะนำความตายมาเป็นของกำนัน ลงนาม กวนอิมเหล็ก-เก้ายอด”

ไพฑูรย์ทราบความแล้วก็โกรธมาก เพราะแชคังใช้ชื่อของคณะอั้งยี่ที่ตัวเอง เป็นตั้วเฮีย แทนคณะของตัวเอง ไพฑูรย์ให้ร่างเทียบไปนัดพบตั้ง จิวโม้ว เมื่อได้กำหนดนัดหมาย ไพฑูรย์ก็เเต่งชุดรัดกุมแบบจีน มีดาบคู่มือและรอยเท้าหลวงพ่อเดิม

เมื่อเผชิญหน้ากัน ล่ามเป็นคนแปลให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ ไพฑูรย์ถามว่า

”ทำไมจึงส่งเทียบลงชื่อคณะกวนอิมเหล็กกับเก้ายอด แทนที่จะบอกว่าเป็นเเชคัง มันไม่ใช่ชายชาตรี”

”อั๊วเป็นคนสั่งเอง เพราะเถ้าแก่เเต้ อุยเม้ง เป็นคนในคุ้มครองของลื้อ อั๊วจึงลงชื่อคณะลื้อให้มันเข้าใจผิดว่า แม้จ่ายเงินค่าคุ้มครอง แต่เมื่อเป็นคนขายชาติลื้อก็พร้อมฆ่าให้ตาย อีกอย่างก็เพื่อลวงตำรวจ เพราะหลวงอดุลย์กำลังเพ่งเล็งอั้งยี่เยาวราช”

”เป็นไปไม่ได้ ถ้าอั๊วไม่คุ้มครองเถ้าแก่อุยเม้ง ต่อไปใครจะนับถือและจ่ายค่าคุ้มครองให้กับอั๊วอย่างนี้เท่ากับว่าลื้อต้องการทำลายคณะกวนอิมเหล็ก-เก้ายอดของอั๊วโดยตรง”

”อาฑูรย์ อั๊วเป็นคนแผ่นดินใหญ่ เขาส่งอั๊วมาเพื่อทำสงครามใต้ดินกับกองทัพ ”งิ” ในบางกอกเมื่อทางแผ่นดินใหญ่สั่งประหารอั๊วก็ต้องทำ ไม่งั้นชีวิตอั๊วก็จะไม่รอดไปด้วย”

”ถ้างั้นเรายืนกันคนละข้าง ต่อไปนี้หากแชคังบุกเข้าไปฆ่าเถ้าแก่อุ้ยเม้ง ก็ต้องเจอกับกวนอิมเหล็ก-เก้ายอด วันนี้ขออำลา”

”ไม่ส่งแขก”

ตั้ง จิวโม้ว ส่งเสียงดังลั่นเอากำปั้นทุบลงไปบนเก้าอี้ไม้มะเกลือตันๆพังคามือ ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปข้างใน ลิ้วล้อนำทางไพฑูรย์ออกจากคณะแชคัง

ไพฑูรย์สั้งเตรียมพร้อมให้ลิ่วล้อในคณะกวนอิมเหล็กปลอมตัวเป็นจับกังปนกับคนงานของเถ้าแก่อุ้ยเม้ง ซ่อนดาบไว้ในที่ที่หยิบฉวยได้ง่าย ทั้งยังเสริมด้วยพลอง ทำไมต้องพลอง ก็เพราะลิ่วล้อล้วนสักคงกระพันลั่กกั้ก หรือไม่ก็มีฮู้ติดตัว หนังเหนียวกันทั้งนั้น

เสียงเลี๊ยะอ้าดังมาจากด้านหน้าโกดัง พวกอั้งยี่แชคังท่อนบนเปลือย ท่อนล่างนุ่งกางเกงจีนปลายขามัดติดกับข้อเท้าไม่ให้ปลิว มีผ้าแพรเขียวสดพันที่เอวเป็นสำคัญ ไพฑูรย์ที่คอยดูเหตุการณ์ก็สั่งลุย เป็นดังคาด มีดดาบทำอะไรพวกแชคังไม่ได้ แต่พอโดนพลองเข้าทัดดอกไม้ก็กลิ้งกับดิน ฝ่ายกวนอิมเหล็กไม่เป็นอะไร เพราะไพฑูรย์เอาว่านเฒ่าหนังแห้งมาให้เคี้ยวกินจนหนังเห่อหนา

แชคังถอยทิ้งศพที่ถูกตีด้วยพลองหนักมือไว้สี่ห้าศพ ไพฑูรย์สั่งให้นำใส่เรือไปทิ้งปากน้ำ สามวันต่อมาแชคังส่งเทียบมาให้ความว่า

”นายไพฑูรย์คนไทย ฆ่าคนของพวกเราไปสี่ห้าศพ เเทนที่จะคืนศพให้เรานำไปประกอบพิธีตามธรรมเนียมกลับเอาไปทิ้งทะเล คำสั่งจากแผ่นดินใหญ่ให้กำจัดตั้วเฮียคณะกวนอิมเหล็ก เรามีอาวุธพร้อม แต่กฏกติกาของอั้งยี่ที่เราวางไว้จึงทำไม่ได้ มีทางเดียว นายไพฑูรย์กับอั๊วมาสู้กันตัวต่อตัว ถ้าอั๊วพลาด เถ้าแก่เม้งก็รอด ถ้าลื้อตายเถ้าแก่อุ้ยเม้งก็ตายด้วย ลื้อเเน่จริงอีกสามวันหลังจากนี้ เวลาหลังเที่ยงคืน ที่ลานขนถ่ายสินค้าท่าน้ำราชวงศ์ ลงนาม ตั้ง จิวโม้ว”

ไพฑูรย์ตอบเทียบกลับไปว่า ”ไม่ขัดข้องหากเสียทีก็ขอให้ยุติ
ลิ่วล้อสมาคมลับกวนอิมเหล็กให้ทุกคนเป็นผู้เลือกว่าจะไปอยู่กับสมาคมใดหรือจะเลิกอาชีพ ห้ามบังคับขู่เข็ญขืนใจเป็นเด็ดขาด”

00.30 น. เศษ ลานขนถ่ายสินค้าท่าน้ำราชวงศ์ก็สว่างไสวด้วยตะเกียงเจ้าพายุ ตั้ง จิวโม้ว นั่งตรงกลางขนาบซ้ายขวาด้วยยี่เฮียและซาเฮีย มีตั้วเฮียคณะอั้งยี่อีกหลายคนมาเป็นสักขีพยานส่วนไพฑูรย์สวมกางเกงรัดกุมข้อเท้า เสื้อคลุมปักตัวอักษรว่า ”กวนอิมเหล็ก” มีรูปกวนอิมเนี้ย ในพระหัตถ์ถือแซ่ประทับยืนเหนือปุยเมฆ ตามด้วยลิ่วล้อและหัวหน้านักเลงไทยมีเก้ายอด ท่าเตียน
บางลำพู ถนนตก ที่มาเป็นสักขีพยาน

เมื่อไพฑูรย์มาถึง ตั้ง จิวโม้ว ก็ตรงเข้ามาทักทาย ล่ามแปลให้ฟังว่า

”ยินดีที่ตั้วเฮียกวนอิมเหล็กที่เป็นคนไทยมาตามนัด ไม่หดหัวอยู่ในกระดองเหมือนลูกเต่า”

”ไทยหรือจีนต่างก็เป็นพี่น้องกัน ไม่นานก็จะรู้ว่าใครกันเเน่ที่เป็นลูกเต่า”

ตั้ง จิวโม้ว เดินกลับไปถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นมัดกล้าม ส่งเสียงร้องข่มขวัญก่อนที่ลิ่วล้อจะนำดาบสองมือแบบจีนที่ปลายด้ามมีผ้าแพรแดงผูกติดมาด้วยมาส่งให้ ตั้ง จิวโม้ว รับดาบมาฟันอากาศสลับกัน เสียงใบดาบแหวกอากาศดังวิ้วๆ มีพลังลมกระจายออกมา

ไพฑูรย์ใช้ดาบไทยหัวตัด สันหนา คมบาง คมลับจนขาววับเอาเส้นผมวางลงไปเบาๆก็ขาดผล็อยรับดาบมาแล้วฟันซ้ายขวา จากนั้นคอยที มีชายจีนวัยชราที่เรียกกันว่า ”เถ้าแก่” เป็นคนที่อั้งยี่ทุกคนยอมรับว่าเป็นผู้อาวุโสที่ทุกคนเคารพ เวลามีเรื่องก็จะมาให้เถ้าแก่ตัดสินออกมาประกาศว่า

”แช คัง กับกวนอิมเหล็กบาดหมางกัน ต้องตัดสินด้วยการต่อสู้แบบตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่ตายไม่เลิกลา เลิกเเล้วไม่เอาความ”

พอเถ้าแก่กลับไปหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ ตั้ง จิวโม้ว ก็ร้องว๊ากข่มขวัญ ตวัดดาบสองมือรุกไล่เข้าหาไพฑูรย์ที่หลบหลีกลองเชิง ไพฑูรย์เล่าว่า

สมเเล้วกับที่เป็นครูฝึกดาบสองมือแบบจีนให้หนุ่มชาวจีนในเยาวราช และนักดาบเส้าหลินจากเมืองจีน ฟันสลับล่างบน จนไพฑูรย์ต้องขยับเท้าถอยร่น และปัดด้วยสันดาบ จนที่สุดดาบที่ตัดล่างกลับเปลี่ยนขึ้นข้างบน พอไพฑูรย์สลับเท้าหลบก็เจอดาบบนเข้าที่บ่าเต็มที่ หากไม่มีรอยเท้าลวงพ่อเดิมป้องกันหัวคงหลุด แม้ไม่เข้าแรงฟันด้วยกำลังภายในก็ทำให้ไพฑูรย์ทรุดลงไปก้นเตี้ยพวกอั้งยี่ตบมือกระทืบเท้าอย่างเป็นต่อ

ผลุดลุกขึ้นมาได้ไพฑูรย์ไม่ยอมให้ ”ตั้ง จิวโม้ว” อยู่ห่าง ใช้ดาบฟันกราดสลับต่อเนื่องเข้าไปจนดาบสองมือของ ตั้ง จิงโม้ว ไม่อาจสำแดงเดชได้ ไพฑูรย์มองเห็นช่องว่าง จึงทำทีถอยให้ตั้ง จิวโม้ว ฟันตัดบน ในใจภาวนาพระคาถาตัดอาคมฝ่ายตรงข้าม

”พุทธังปัจจักขามิ ธัมมังปัจจักขามิ สังฆังปัจจักขามิ มะเปิด อะเปิด อุทะลวงล้วงเปิดด้วยนะโมพุทธายะ”

ดาบตั้ง จิวโม้ว ตัดบ่าอีกครั้ง ส่วนดาบของไพฑูรย์ตวัดขึ้นตัดเข้าที่ชายโครงอ่อนด้านซ้ายดังถนัดหู เพลงดาบนี้เรียกว่า ”กาล้วงไส้” เมื่อฟันเปิดแผลใต้ชายโครงอ่อน อวัยวะภายในตับไตไส้พุงจะทะลักทลายออกมากองด้านนอกต่ายอย่างรวดเร็ว

ร่างของตั้ง จิวโม้ว จึงล้มลงไส้ทะลักออกมากองอยู่ด้านข้างตาย ตาลืมโพลง

ไพฑูรย์นั่งคุกเข่ายกมือไหว้ศพ ตั้ง จิวโม้ว แล้วลุกขึ้นคำนับบรรดาหัวหน้าคณะอั้งยี่และเถ้าแก่ เถ้าแก่ลุกขึ้นประกาศว่า

”แช คัง แพ้ ตั้วเฮียตาย ทุกอย่างจบ เลิกเเล้วต่อกัน”

ตั้ง จิวโม้ว มิได้แพ้เพราะฝีมือ หากแต่แพ้เพราะไพฑูรย์ใช้คาถาคัดพระเวททำลายอาคมที่ป้องกันตัวของเขาจนถึงแก่ความตาย เถ้าแก่อุ้ยเม้งก็ไม่รอด ถูกมือสังหารจากแผ่นดินใหญ่ยิงตายหน้าโรงงิ้ว ถือว่ากวนอิมเหล็กมิได้ผิดสัญญาคุ้มครอง เพราะเป็นมือปืนจากแผ่นดินใหญ่กระทำแต่ด้วยสำนึกว่ามีส่วนผิดเหมือนกันจึงคืนเงินที่เถ้าแก่อุ้ยเม้งจ่ายล่วงหน้าค่าคุ้มครองคืนให้ทายาทเพื่อจัดงานศพ

สำหรับตอนนี้ของมอบ◎พระคาถาคัดตัดอาคมฝ่ายตรงข้าม◎

”พุทธังปัจจักขามิ ธัมมังปัจจักขามิ สังฆังปัจจักขามิ มะเปิด อะเปิด อุทะลวงล้วงเปิดด้วยนะโมพุทธายะ”

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: