3591. อาถรรพ์ปืนผีสิง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ปีพุทธศักราช 2488 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยุติอีก 1 ปี ไพฑูรย์หลบหนีอยู่ แม้ไทยจะตกเป็นเป้าจู่โจมของฝ่ายพันธมิตรโดยมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ แต่ทางกองปราบฯ ก็ยังคงไล่ล่าไพฑูรย์ตามหมายจับที่ออกโดยกรมตำรวจที่มีหลวงอดุล เดชจรัส เป็นอธิบดีก่อนที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง

ไพฑูรย์ให้เหตุผลว่าอาชญากรร้ายมีคดีติดตัว โทษประหาร แหกคุกออกไปได้ ระหว่างหนีได้ยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บทำให้กรมตำรวจเสื่อมเสียชื่อเสียงประชาชนไม่เชื่อมั่นว่าจะคุ้มครองพวกเขาได้ ค่าหัวของไพฑูรย์จาก 10,000 บาทจึงกลายเป็น 20,000 บาท สมัยนั้นใครมีเงินขนาดนี้ก็เท่ากับเป็นเศรษฐีทีเดียว

ขณะกบดานอยู่ในที่หลบภัย ก็มีตาดอนขี่สามล้อมาหา มือถือห่อกระดาษสีน้ำตาลมาด้วยมากระซิบกระซาบว่า “คุณกมล(ชื่อปลอม) พ้มมีปืนมาขายให้คร๊าบ”

“ปืนอะไรไหนเอามาดูซิ รู้ได้ไงว่าฉันจะมีสตางค์ซื้อ”
“ไม่ซื้อไม่เป็นไร มีคนต้องการหลายราย แต่พ้มเห็นว่าคุณมีพระคุณต่อชีวิตผมด้วยการให้เหล้ายาไส้ไม่งั้นคงลงแดงตายไปแล้ว”

ไพฑูรย์รับห่อกระดาษมาแก้ออกดู เป็นปืนออโตเมติกขนาด 9 มม. มีตราประจำปืนติดไว้ มีอักษรเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ยูเอส แอร์ ฟอร์ซ”

“เฮ้ย…นี่ลุงไปได้มายังไงมันเป็นปืนประจำตัวนักบินกองทัพอากาศสหรัฐฯ นี่นา เจ้าของคงถูกไอ้ยุ่นฆ่าตายไปแล้วกระมัง”
“ไม่ได้ถูกไอ้ยุ่นฆ่าตาย แต่ตายคาเครื่องที่ถูกสอยร่วงที่ตลาดพลู หลานผมไปถึงที่เกิดเหตุก่อนเห็นปืนนี่กระเด็นออกมาจากศพ มันจึงเก็บมาให้ผมช่วยขาย ผมเลยเอามาขายให้คุณเป็นคนแรกเลย”
“เอาเท่าไหร่ว่ามา ของแบบนี้มันร้อน แพงนักไม่เอา”
“สี่ตับเง่า”
ตาดอนพูดภาษาจีนฟังไม่รู้เรื่อง ไพฑูรย์จึงยื่นปืนคืนให้แล้วสำทับด้วยน้ำเสียงและดวงตา
“พูดภาษาไทยไม่ได้ก็ไม่ต้องค้าขายกัน”
“ปู้โธ่ คุณกมลก็ สี่ตับเง่าเป็นภาษาไหหลำ แปลว่าสี่สิบห้าครับ”
ไพฑูรย์ย้อนรอยเอาเข้าบ้างเล่นเอาตาดอนหัวเราะงอหงาย
“สี่ตับเท่านั้น”
“ตกลง ฮ่า ฮ่า คุณกมลนี่มีลูกเล่นฮาเหมือนกันนี่นา”

ไพฑูรย์รับปืนมาพิจารณา ในที่สุดก็พบอักษรสลักไว้ที่เหล็กโครงด้ามปืนด้านหลังว่า “Harry B.” มีกระสนอยู่ในแหนบกระสุน 8 นัด เรื่องการหาซื้อกระสุนมีสถานที่หาซื้อได้ไม่ยาก ไพฑูรย์เอาไปซ้อมยิงแบบติดต่อสามแม็ก เพื่อทดสอบดูว่าเมื่อกระบอกปืนร้อนจัดจะมีปัญหาเรื่องกระสุนขัดลำหรือไม่ ปรากฏว่าผ่าน

ไพฑูรย์กำลังเห่อจึงพกติดตัวตลอด ขณะเมื่อไปเยี่ยมพี่เสงี่ยมที่บ้านนางเลิ้ง เกิดปะทะกับพวกแหวนขาวที่เข้ามาอวดศักดาโดยไม่ทำตามกฎ แทนที่จะหมุนแหวนเอาท้องวงขึ้นกลับใส่โชว์ นายเบิ้ม เจ้าของโรงแรมย่านถนนพะเนียงมาตามคนไปช่วย เพราะคนของแหวนขาวอ้างว่ามาตามโสเภณีชื่อหวาน ที่หนีมาขายบริการอยู่ในโรงแรมถนนพะเนียง นักเลงคุมโรงแรมบาดเจ็บสาหัสไป3 คน

ไพฑูรย์จึงเดินตามคนของพี่เสงี่ยมไปดูเหตุการณ์ เมื่อไปถึงก็เห็นไอ้เบิ้มจิกหัวนางหวานลากออกมาจะขึ้นรถสามล้อกลับบางลำภู จึงร้องตวาดว่า

“ไอ้หน้าตัวเมีย ผู้หญิงเขาทนถูกมึงทารุณไม่ได้จึงข้ามมาหากินในเขตนางเลิ้ง มึงยังตามมาราวีอีก หน็อย..มึงจะต้องได้รับบทเรียน”
พูดจบไพฑูรย์ก็โดดเตะก้านคอเจ้าเบิ้มจนต้องปล่อยมือที่จิกหัวนางหวานหงายหลังตึง ตาลอยไม่ต้องรอให้สั่ง ลูกน้องพี่เสงี่ยมที่มาด้วยวิ่งเข้าชกต่อยกับพวกแหวนขาว ประเคนหมัด เท้า เข่า ศอก เข้าใส่กัน ตามมาด้วยดิ้วมีดสปริง ต่างฝ่ายต่างเหนียว เจ้าเบิ้มลุกขึ้นกระตุกปืนพกลูกโม่ออกมายิงไพฑูรย์ ด้วยเดชะผ้ารอยเท้าและมีดหมอหลวงพ่อเดิมคุ้มไว้ปืนจึงไม่ลั่น

ไพฑูรย์กระชากปืนออโตเมติกออกมายิงใส่เจ้าเบิ้มกะเพียงสั่งสอนที่ไหล่ขวา อำนาจกระสุนทำให้กระดุกไหปลาร้าแตก มือตกลงข้างตัวทันที ไพฑูรย์จะลดปืนลงแต่เกิดอาการประหลาด

“เกิดอาการชา มือที่กำปืนเหมือนกับว่ามีอำนาจบางอย่างมาควบคุมไว้ มือยกขึ้นแล้วเหนี่ยวไกปืน 3 นัดติดต่อกัน แต่ละนัดทะลวงหน้าอกซ้ายเจ้าเบิ้มจนล้มลงจมกองเลือดตายคาที่

ไพฑูรย์ได้สติรีบเผ่นทันทีหนังสือพิมพ์ลงข่าวศึกแหวนขาวเก้ายอดระเบิด ตายหนึ่ง บาดเจ็บระนาว ตำรวจกำลังสืบสวนหาสาเหตุการปะทะ คาดว่าเป็นการแสดงอำนาจระหว่างพวกนักเลง

ไพฑูรย์กลับมาถึงที่กบดานก็รู้สึกขนลุก ด้วยตระหนักแล้วว่าปืนกระบอกนี้เจ้าของปืนยังไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่กับปืนของตน
ไพฑูรย์นำมีดหมอหลวงพ่อเดิมไปวนในน้ำ ทำน้ำมนต์มาประพรมปืนเพื่อขับไล่วิญญาณเจ้าของปืน แต่มารู้ตอนหลังว่า ทำไม่ได้เพราะเจ้าของปืนเป็นคริสเตียนทั้งยังเอาปลายมีดหมอขีดกากบาททับชื่อเจ้าของปืนจากนั้นก็นำติดตัวเหมือนเดิมด้วยความเข้าใจผิด
มีสายรายงานว่า จะมีทหารขนทองคำแท่งที่ญี่ปุ่นยึดมาได้จากพม่าและมลายูมาลงที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย ส่งไปยังกองบัญชาการกองทัพ เพื่อส่งกลับไปเป็นทุนสงครามถวายพระจักรพรรดิ์โดยงานนี้คนของหน่วยเสรีไทยสายอเมริกาก็คอยจับตาดูเหมือนกันสุดแต่ว่าใครจะเกาะติดได้ดีกว่ากัน

แต่สายของไพฑูรย์เป็นอดีตทหารเก่าที่เชี่ยวชาญด้านข่าวกรอง ซึ่งการจะปล้นรถขนทองนั้นจะต้องทำก่อนที่รถไฟจะเดินทางมาถึงสถานี
จ่าเหิม กำหนดเข้าปล้นที่สถานีศาลาธรรมสพ อันเป็นจุดเติมน้ำเติมฟืนจุดสุดท้ายก่อนถึงสถานีรถไฟบางกอกน้อย จ่าเหิมเอาแผนที่มาให้ดู อธิบายเส้นทางอย่างละเอียด โดยระบุว่า

สายรายงานว่า ญี่ปุ่นใช้รถตู้ขนทองสองตู้พ่วงเข้าขบวน ตู้ที่บรรทุกทองปนอยู่ในรถตู้บรรทุกสินค้า ตู้ลวงเป็นตู้ที่ตกแต่งให้มีทหารรักษาความปลอดภัย สายได้แอบเอาสารฟอสฟอรัสทาเอาไว้ให้เป็นที่สังเกตได้

การปล้นให้ซุ่มในจุดที่มีชัยภูมิที่ดีกว่า ผู้ทำหน้าที่ปลดพ่วงหัวรถจักรกับตู้บรรทุกสินค้าเป็นวิศวกรรถไฟผู้จงเกลียดจงชังพวกญี่ปุ่น เพื่อทำให้รถโดยสารเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ ส่วนพวกที่ทำหน้าที่ปล้นมีปืนกลมือครบทุกคนมีมือระเบิดชื่อ หมู่โฮม เป็นทหารสรรพวุธที่ชำนาญดานระเบิดคอยปาระเบิดถล่มพวกญี่ปุ่น

ไพฑูรย์กับพวกเป็นผู้บุกเข้าไปงัดตู้บรรทุกทองแล้วช่วยกันเคลื่อนย้ายไปยังรถบรรทุกเล็กที่จัดไว้ หลบหนีไปให้ได้ ส่วนการแบ่งจะตกลงกันอย่างยุติธรรม จ่าเหิมกับไพฑูรย์รักกันมากตั้งแต่ไพฑูรย์ยังเป็นทหารพระธรรมนูญ เขาได้ช่วยว่าความให้จ่าเหิมรอดจากการถูกดำเนินคดีและไล่ออกเพราะถูกใส่ความจากพวกทุจริต จ่าเหิมเรียกเขาว่า “นาย” ทุกคำ แม้ไพฑูรย์จะกลายเป็นอาชญากรก็ตาม

ได้เวลาทุกคนเข้าประจำจุด เมื่อหัวรถจักรไอน้ำไฟแล่นเข้าจอดเทียบหอน้ำ คนของจ่าเหิมที่ทำทีเป็นคนเติมน้ำ พอคนขับเผลอก็เอามีดกระซวกคอหอยทันที ผู้ทำหน้าที่ปลดพ่วงก็ทำหน้าที่ไป ทหารญี่ปุ่นส่วนหนึ่งลงจากรถตู้มาตรวจความเรียบร้อย คนของจ่าเหิมก็ทำหน้าที่เติมน้ำและโยนฟืนขึ้นรถตามปกติ เสียงทหารญี่ปุ่นร้องตะโกนคุยกับ พ.ข.ร. แต่ไม่มีเสียงตอบจึงปีนขึ้นไปดูก่อนแหกปากร้องตะโกนลั่น

ทหารญี่ปุ่นตรูกันมาล้อมรถไฟขณะที่กำลังวิ่งพล่าน หมู่โฮมก็โยนระเบิดใส่ 4 ลูกติดต่อกัน ระเบิดลงตรงไหน ทหารญี่ปุ่นล้มตายเกลื่อน ที่เหลือยิงใส่พวกของจ่าเหิมที่ตรูกันออกมา การต่อสู้ดำเนินไปอย่างหนัก ไพฑูรย์กับสหายออกจากที่ซุ่มตรงไปยังตู้บรรทุกทอง งัดกุญแจตู้แล้วเลื่อนออก เสียงปืนดังออกมาจากในตู้ คนของจ่าเหิมร่วงลงกองกับพื้น 2 คน ทหารญี่ปุ่นซ่อนอยู่ในตู้ถึง 10 คน ไพฑูรย์เองก็ถูกยิงแต่ไม่เข้า จึงยิงต่อสู้ทหารญี่ปุ่นระดมยิงจนต้องถอยออกมา

ทหารญี่ปุ่นที่กระสุนหมดกระชากซามูไรฟันซ้ายป่ายขวาเข้าหาคนไทย คนของจ่าเหิมถูกฟันล้มลงไป 2 คน ไพฑูรย์ยิงสกัดซามูไรบ้าเลือดตายคาที่ จ่าเหิมให้คนมาเพิ่มจนฆ่าทหารญี่ปุ่นที่คุมตู้บรรทุกทองได้ทั้งหมด ช่วยกันขนทองลงจากตู้ไปขึ้นรถบรรทุกจนเสร็จ จ่าเหิมร้องตะโกนดังก้อง

“ไอ้เสือถอย ไอ้เสือถอย”

ไพฑูรย์เล่าว่า ขณะถอยเขาไม่รู้เลยว่า เป็นเป้าปืนของทหารญี่ปุ่นที่บาดเจ็บแต่ไม่สาหัส มันเล็งจนมั่นใจแต่ขณะนั้นไพฑูรย์ได้ยินเสียงคนร้องบอกที่ข้างหูเป็นภาษาอังกฤษว่า “Look out” (ลุค เอาท์ –ระวัง)

จึงล้มตัวลงนอนพร้อมกับเสียงปืนลั่นตูม กระสุนผ่านหลังไปอย่างเฉียดฉิวหากยืนอยู่เป็นตายแน่ หันไปดูทางต้นเสียงปืนก็เห็นไอ้ยุ่นนอนหงายแหกปากร้องเหมือนกำลังเผชิญกับสิ่งหน้ากลัวไพฑูรย์จึงวิ่งหนีต่อไปจนถึงรถบรรทุก

รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์พาดหัวปล้นทองคำญี่ปุ่นที่ศาลาธรรมสพคนร้ายลอยนวล ยังไม่มีใครออกมารับผิดชอบ ทองที่ปล้นได้นำไปฝังไว้ในสวนลึกหลังวัดหนังรอจ่าเหิมมาแบ่งเอาไป ทองทั้งหมดมีน้ำหนักพอสมควรแม้จะมีแท่งตะกั่วดีบุกปะปนมาด้วยก็ตาม สามส่วนเป็นของจ่าเหิม สองส่วนเป็นของไพฑูรย์

จ่าเหิมเปิดเผยตัวว่าเป็นเสรีไทยสายสหรัฐฯ ที่ให้ไพฑูรย์ร่วมด้วยเพราะต้องการใช้หนี้บุญคุณที่ได้ช่วยเหลือตนด้านคดี ทองที่ได้จะนำไปใช้ในกิจการเสรีไทยในการต่อต้านญี่ปุ่น

ไพฑูรย์กล่าวขอบคุณ ก่อนจะอำลา เขาได้นำปืนพกที่เป็นของเสืออากาศอเมริกันมอบให้กับจ่าเหิมสั่งว่า

“ผมขอจ่านำปืนไปมอบให้ฝ่ายอเมริกันเพื่อมอบคืนให้ญาติของผู้ตาย ผมซื้อมาจากคนที่ขโมยมาจากศพผู้ตายวิญญาณเขาช่วยชีวิตผมไว้ ถ้าเขาไม่ส่งเสียงเตือนผมคงตาย ผมคิดว่าเขาคงต้องการปืนเขาคืน”

วันเวลาผ่านไป 2 เดือนกว่า ไพฑูรย์ฝันว่า ได้พบกับเสืออากาศอเมริกัน รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางเป็นมิตร อยู่ในชุดเสืออากาศไม่ได้สวมหมวก เขายื่นมือมาให้สัมผัส กล่าวขอบคุณที่ได้มอบปืนคืนให้กับฝ่ายอเมริกัน ปืนนี้เขาต้องการให้เป็นที่ระลึกกับลูกชายที่อยู่ในสหรัฐฯ
ตกใจตื่นจึงเข้าใจว่าวิญญาณเสืออากาศอเมริกันผู้นั้นคงสิงอยู่กับปืนกระบอกนั้น ตลอดเวลาที่เขาครอบครองอยู่ อาการชาที่แขนขณะยิงเจ้าเบิ้มอันธพาลแหวนขาวจนตายคงเพราะเสืออากาศอเมริกันบันดาลให้เป็น และที่รอดตายมาได้ตอนปล้นทองก็เพราะเสียงเตือนจากวิญญาณของเขานี่เอง

ไพฑูรย์ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเสืออากาศอเมริกันผู้นั้นและระลึกถึงพระคุณของเขาที่ได้ตะโกนเตือนจนสามารถพ้นจากกระสุนของญี่ปุ่นที่ศาลธรรมสพรอดตายมาได้…

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพ : Nabon Photo

แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: