3688. น้ำพิพัฒน์สัตยา (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

น้ำพิพัฒน์สัตยา (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

คุณชายวรรณวินเป็นคำแทนตัวที่สุดแสนจะภาคภูมิใจ ของเด็กชายเปียเปลี่ยนเด็กบ้านนอกจากวัดดอนแก้วที่ได้รับเมตตา จากท่านผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตขอจากผู้เป็นบิดาเพื่อมาเป็นบุตรบุญธรรมเติบโตมาในฝูงหงส์แต่ไม่เคยลืมสัญชาติกาแต่เดิมมา ทำให้เป็นที่รักของคนในบ้านตั้งแต่เด็กรับใช้ต้นห้องไปจนถึงแม่ครัวและคนขับรถ

หลายครั้งที่คุณชายวรรณวินแอบลงมากินข้าวในครัวกับบ่าวไพร่แบบกันเองเพราะเบื่อการต้องนั่งโต๊ะรับประทานอาหารมีคนคอยเสริฟคอยตักข้าวใส่จานขาดอย่างเดียวคือป้อนเข้าปากเท่านั้น

ท่านผู้มีพระคุณเคยเรียกไปเตือนว่าการลงไปคลุกคลีกับบรรดาบ่าวไพร่เป็นการไม่ดีอีกหน่อยจะลามเหมือนขี้กลาก

ออกจากที่พักไปโรงเรียนก็มีคนรถขับรถมาส่งถึงโรงเรียนโรงเรียนเลิกก็มารับกลับวันเสาร์-อาทิตย์ไปสโมสรทั้งราชตฤณมัย(สนามม้าไทย)กับสนามฝรั่งได้เข้าสมาคมกับบุคคลชั้นสูง ได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ การวางตัวแบบสากลการรับประทานอาหารแบบตะวันตกท่านผู้มีพระคุณสูงสุดท่านเมตตาสอนว่า

”ทำไมเราต้องมา เข้าสังคมกับคนต่างชาติไม่ใช่เพื่อโก้หรูแต่แสดงให้คนต่างชาติได้รู้ว่าคนไทยก็สามารถดำรงชีวิตแบบตะวันตกได้ไม่แพ้ชาวตะวันตกพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้าทรงมีพระบรมราชโองการให้ส่งทหารอาสาไทยไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตรในยุโรปจนได้รับชัยชนะได้เข้าพิธีสวนสนามแสดงชัยชนะอวดธงไตรรงค์ให้ต่างชาติได้เห็นศักยภาพของทหารจากสยามว่ารบได้กล้าหาญเยี่ยงเดียวกับทหารตะวันตกที่เป็นเจ้าตำรับ”

ความอันเป็นอนิจจังพระท่านว่าไว้จริงแท้ทุกอย่างมีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปจากเจ้าเปียเด็กลูกชาวนามาเป็นคุณชายวรรณวินจากคุณชายวรรณวินมาเป็นนายทหารกรมพระธรรมนูญจากนายทหารพระธรรมนูญมาเป็นนักโทษชายไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม ตกนรกบนดินที่มีชื่อว่า”เรือนจําบางขวาง”มีฉายาว่าเสือไพฑูรย์หรือสิงโตหิน หมดยศหมดศักดิ์

ไพฑูรย์ว่าไม่เคยโทษดวงดาวไม่เคยโทษฟ้าดินหันมาโทษตัวเองว่าลุแก่โทสะ แก่โมหะ ทำการดวลปืนกับขุนตระเวนฯจนขุนตระเวนฯถึงแก่ความตายสมใจ

แต่ชีวิตต้องตกต่ำมาเป็นนักโทษชายอนาคตดับมืดจากข้าวขาวเม็ดเรียงยาวเป็นเม็ดกลิ่นหอมเหมือนดอกมะลิมาเป็นข้าวแดงที่มีผิวหยาบกินแล้วฝืดคอเวลากินก็เสียวฟันเพราะมีกรวดทรายขนาดเล็กปะปนอยู่มากกัดลงไปเต็มที่ดังกรอดฟันเสียวไปถึงรากฟันเพราะผิวหยาบของข้าวแดงทำให้น้ำแกงไม่ซึมเข้าไปภายในเรียกว่าข้าวและกับข้าวแยกกันอยู่คนละทาง

อาหารหลักคือแกงส้มผักรวมหรือผักบุ้งแบบว่าน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ผัดถั่วงอก แกงฟัก แกงฟักทอง ทางเรือนจำจะบอกว่าให้กินเพื่ออยู่อย่าได้หวังจะได้กินแบบสวรรค์วิมานทุกคนที่นี่ล้วนเป็นนักโทษที่ต้องคำพิพากษาให้มาถูกจองจำต้องเสียเงินงบประมาณมาจัดอาหารให้กินต้องอดตาหลับขับตานอนคอยอยู่เวรอยู่ยามป้องกันการหลบหนี

ยามสงครามอาหารการกินอัตคัต ถั่วเขียวต้มน้ำตาล อาหารคาวหวานไร้รสหวานเพราะน้ำตาลทรายไปอยู่ในตลาดมืดราคาแพง โอวยัวะในแดนบันเทิงขึ้นราคา กาแฟก็จางเรียกกันว่า”น้ำล้างถุงกาแฟ”ราคาไม่ขึ้นแต่คุณภาพห่วยสิ้นดี

หน้าหนาวมาถึงผ้าห่มขาดแล้วขาดอีกต้องทนห่มทางเรือนจำเอากระสอบเก่าๆมาโยนให้บอกว่าให้ซ้อนผ้าห่มกันหนาว เพราะงบประมาณไม่พอซื้อไพฑูรย์บอกว่ามันแร้นแค้นสิ้นคน ยิ่งมาได้ข่าวท่านผู้มีพระคุณสูงสุดต้องไปถึงแก่กรรมต่างประเทศเพราะลี้ภัยการเมืองทำให้ไพฑูรย์น้ำตาตกใน เคียดแค้นพวกทหาร ตำรวจข้าราชการพลเรือนที่เคยได้รับเบี้ยหวัดบำนาญจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาว่าจะจงรักภักดีแต่เอาเข้าจริงกลับใช้ปืนเข้าปล้นพระราชอำนาจแบบตาใสๆ

น้ำพิพัฒน์สัตยาเกิดจากการกระทำพิธีพราหมณ์ที่เรียกกันว่า”องค์การแช่งน้ำ”ประกอบด้วยองค์การที่เป็นพระเวทในภาษาสันสกฤตและองค์การที่เป็นภาษาไทยมีการอัญเชิญพระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ พระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง พระทรงเมือง พระเสื้อเมือง เทพยดาที่รักษานภดลมหาเศวตฉัตร มาร่วมเป็นพยานมีการแช่งให้วิบัติฉิบหายตายโหงด้วยเขี้ยวงาศาสตราวุธ ความตายทั้งบนดินบนอากาศในน้ำด้วยสัตว์ร้ายด้วยปืนไฟด้วยหอกดาบ แหลนหลาว ง้าว โตมรเป็นนานาประการ

ขณะร่ายโองการมีการนำ หอก ดาบ แหลนหลาว ง้าว โตมรมาแทงลงไปในน้ำพระพิพัฒน์สัตยาอยู่ในขันสาครสำริดขนาดใหญ่ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าดังก้องเมื่อเสร็จพิธีแล้วจึงนำมาตั้งเบื้องหน้าองค์พระแก้วมรกตเพื่อให้ผู้เข้าร่วมในพิธีได้เข้ามาดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาพระมหากษัตริย์จะทรงดื่มเป็นปฐมต่อจากนั้นจึงถึงคิวคนธรรมดาน้ำที่ดื่มเข้าไปจะเข้าไปอยู่ในร่างกายคล้ายยาสั่ง พอกระทำผิดจากคำสาบานน้ำพระพิพัฒน์สัตยาจะกลายเป็นน้ำกรดทำลายชีวิตบุคคลผู้นั้นทันที

โองการแช่งน้ำมีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมากรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

หลังจากคณะราษฎร์ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้นำพระราชอำนาจแต่เดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปใช้ไม่เป็นไปตามที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้เป็นของปวงชนชาวไทยตามพระราชปรารภก่อนเสด็จพระราชดำเนินไปประเทศอังกฤษเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษจนเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระหทัย

ไร้พระราชพิธี ไร้โกศพระบรมศพ ไร้กองเกียรติยศ ไร้เสียงประโคม ไร้พระเมรุมาศ ต่อมาคณะราษฏร์หลายคนไร้แผ่นดินอาศัยถูกภัยการเมืองระบอบประชาธิปไตยทรยศหักหลังทำรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันเองจนต้องระเห็จไปอยู่ต่างประเทศจนตายกลับมาได้เพียงกระดูกด้วยผลแห่งน้ำพิพัฒน์สัตยา

ไพฑูรย์บอกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทยมาแต่สุโขทัย อยุธยา ธนบุรี ศรีมหาสมุทรและรัตนโกสินทร์

พระมหากรุณาธิคุณแม้แต่นักโทษในนรกทั้งบางขวางทั้งเรือนจำต่างๆ ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญสำคัญต่างๆให้ได้พ้นทุกข์มาเป็นพลเมืองดีของชาติ

พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองเหนือการขัดแย้งทรงเปรียบเสมือน”พระพรหมในมนุษย์โลก” ที่ประกอบไปด้วยพระมหาเมตตา พระมหากรุณา พระมหามุทิตา พระมหาอุเบกขา ในทศพิธราชธรรมอันประเสริฐมิได้ทรงเป็นเพียงสัญลักษณ์แต่ทรงเป็นที่รวมของชีวิตเลือดเนื้อจิตวิญญาณของชาวไทยทุกคนมิใช่เป็นของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งขณะใดขณะหนึ่งที่จะมาประกาศผูกขาดความจงรักภักดีว่าอยู่เหนือปวงชนชาวไทยทั้งผอง

พระมหากษัตริย์ เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยทุกคนที่เกิดมาอยู่บนแผ่นดินภายใต้พระบริบาล ดังเพลงสรรเสริญพระบารมีที่มีว่า”เย็นศิระเพราะพระบริบาล”

มันผู้ใดนำสถาบันมาอ้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนคนผู้นั้นกำลังสร้างวิบัติให้กับตนเองและบุคคลอันเป็นที่รักรอบข้าง ดุจดื่มยาพิษที่ผสมด้วยน้ำผึ้งแม้รสชาติของยาพิษจะไม่ระคายลิ้นแต่พิษของยาจะค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในกระแสโลหิตโดยไม่รู้ตัวต่อเมื่อพิษของยาพิษขึ้นถึงขีดสุดคนผู้นั้นจักถูกพิษยาทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจนย่อยยับ

ด้วยพระมหากษัตริย์ทรงเปรียบประดุจดั่งเทพลงมาจากสรวงสวรรค์มาเสด็จพระราชดำเนินบนพื้นดินแห่งประเทศไทยเป็นเทวดาที่ทรงมีพระอัสสาสะปัสสาสะ(ลมหายใจเข้าออก)มีพระบารมี ประดุจสมมติเทพอุบัติก็มิปาน

พระบารมีที่ถูกแอบอ้างไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนจะดลบันดาลให้คนผู้นั้นมีความวิบัติในโลกนี้ทันตาเห็น
(บางคดีอยู่ในกระบวนการยุติธรรมมิอาจก้าวล่วงได้)

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมงคลสูตร 38 ประการว่า ”ปูชาจะปูชะนียัง เอตัมมังคะละมุตตัง” (การบูชาผู้ที่ควรบูชาเป็นอุดมมงคลในชีวิต)

การได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงปกครองราษฎรโดยธรรมมากกว่า 60 ปี นอกจากผู้บูชาจักได้บูชาพระผู้ที่ควรบูชาแล้วพระบารมียังทำให้ผู้บูชาด้วยความบริสุทธิ์ในจิตใจมีความสุขความเจริญในกาลทุกเมื่อ ผู้ใดได้กล่าวคำบูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันด้วยพระคาถาที่ว่า

ตั้งนะโม 3 จบแล้วเปล่งเสียงว่า

”อิติสุคะโต นะโมพุทธายะ ปะถะวีคงคา นวมินทรมหาราชา นะมามิหัง”

3 ถึง 5 ถึง 7 ถึง 9 จบ ภาวนาเป็นประจำก่อนออกจากเคหะสถานจะทำมาหากินคล่องป้องกันอันตรายทั้งปวงด้วยพระองค์เปรียบประดุจพ่อแห่งแผ่นดินที่ทรงแผ่พระบารมีแห่งพระมหากรุณาธิคุณสู่พสกนิกรโดยเสมอภาคพสกนิกรเหล่านั้นน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระองค์ย่อมได้รับพลังแห่งพระมหากรุณาธิคุณนั้นทุกคนถ้วนหน้าตลอดเวลานาน

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
คลิปดีๆจาก : สองยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: