3677. นรกเกาะเต่าฉบับเต็มตอนที่๑ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)
นรกเกาะเต่าฉบับเต็มตอนที่๑ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)
เกาะเต่าเป็นเกาะร้างอยู่ในเขตจังหวัดชุมพรมีเกาะบริวารอยู่จำนวนหนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม จัดงบประมาณเพื่อปรับพื้นที่บนเกาะเต่าให้เป็นเรือนจำพิเศษสำหรับกักกันนักโทษการเมือง
แต่เดิมนั้นนักโทษการเมืองจะถูกส่งมาไว้ที่เรือนจำบางขวาง โดยแยกแดนพิเศษให้และถือปฏิบัติตามกฎการราชทัณฑ์สากลที่ระบุว่านักโทษการเมืองจะต้องได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษต่างจากนักโทษคดีอาญาทั่วไป
รัฐบาลเห็นว่าการควบคุมตัวนักโทษการเมืองที่บางขวางนั้นนอกจากจะได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีแล้วยังมีญาติมาเยี่ยมเยือนมีลูกศิษย์ลูกหามาให้กำลังใจ มีชาวต่างชาติมาคอยสอดส่องพฤติกรรมการปฏิบัติต่อนักโทษการเมือง ทำให้นักโทษเหล่านั้นกลายเป็นคนสำคัญเหนือกว่านักโทษคดีอาญาทั่วไป
จึงมีการย้ายนักโทษการเมือง จากบางขวางไปยังเกาะตะรุเตาเป็นครั้งแรกต่อมาได้ย้ายจากเกาะตะรุเตามาที่เกาะเต่าเพราะเกาะตะรุเตาอยู่ในมหาสมุทรอินเดียนักโทษการเมืองหลายคนมีเส้นสายมากอาจมีผู้มาชิงตัวไปได้
เรือนจำบนเกาะเต่า สร้างอย่างแน่นหนาแบบเรือนจำทั่วไปแยกบ้านพักเจ้าหน้าที่ออกไปต่างหาก มีถังน้ำขนาดใหญ่มีเครื่องสูบน้ำบาดาล ต่อมาถังน้ำได้พังทลายลงมาเครื่องสูบน้ำบาดาลชำรุดจึงมีการขุดบ่อบาดาลขึ้นใช้เพื่อให้นักโทษได้มีน้ำกินน้ำใช้
ไพฑูรย์ เดินทางไปพร้อมกับนักโทษการเมืองเป็นกรณีพิเศษเมื่อไปถึงเกาะเต่าพร้อมกับนักโทษการเมืองประมาณ 50 กว่าคน ผบ. เรือนจำชื่อเพี้ยน เป็นผู้มากล่าวต้อนรับนักโทษการเมืองที่เข้ามาอยู่ใหม่ (เดิมมีนักโทษอาญาถูกคุมขังอยู่ก่อน)
“ผมพัศดีเพี้ยนขอต้อนรับท่านผู้มีเกียรติที่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ผมพูดจากใจในฐานะข้าราชการกรมราชทัณฑ์ท่านเป็นนักโทษการเมืองที่มีฐานะการศึกษาและสังคมเหนือกว่าผมและนักโทษคดีอาญาเสียอีกทีนี่ค่อนข้างกันดารแต่ผมรับรองว่าพวกท่านจะมีความเป็นอยู่ที่ดีสวัสดีครับ”
สำหรับไพฑูรย์ถูกกันออกมาเป็นพิเศษพัสดีเพี้ยนหรือเรียกเขาไปพบที่ห้องทำงานบอกว่า
“อ่านประวัติคุณดูแล้วเอาการน่าดูทำไมจึงชอบแหกคุกท่าน อธิบดี กรมราชทัณฑ์ท่านระบุมาว่าให้จับตาให้ดีคุณเป็นตัวอันตรายบอกเสียก่อนว่านี่เป็นเกาะกลางทะเลในอ่าวไทยว่ายน้ำเก่งแค่ไหนก็จอดฉลามก็ชุมอยู่ด้วยกันดีๆดีกว่านะ”
แดนนักโทษการเมืองแยกออกจากแดนนักโทษคดีอาญามีอาหารไปส่งให้ไม่ต้องมากินร่วมกับนักโทษทั่วไปส่วนไพฑูรย์นั้นต่อมาได้รับการส่งตัวมาอยู่กับนักโทษการเมืองคอยคุ้มกันเวลาออกนอกสถานที่คุมขัง
พัศดีเพี้ยนอนุญาตให้นักโทษการเมืองออกนอกสถานที่คุมขังไปเดินเล่นตามชายหาดไปตัดไม้ไผ่ทำเป็นเบ็ดตกปลาบ้างก็ไปเก็บดอกไม้และหาไม้ดอกมาปลูกไว้ในสถานที่คุมขังทำให้นักโทษการเมืองมีสภาพจิตใจที่ดี
บ่อน้ำบาดาลมีน้ำน้อยเวลาจะอาบต้องยืนรอคิวกว่าจะมีน้ำซึมขึ้นมาให้อาบ อาบมากก็ไม่ได้คงได้แต่ล้างหน้า บ้วนปากและอาบแบบซักแห้งแต่ทุกคนไม่บ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นนักโทษแล้วจะคดีอาญาหรือคดีการเมืองก็คือนักโทษ
ไพฑูรย์เล่าเรื่องของลิเกรายหนึ่งที่เข้ามาเป็นนักโทษการเมืองซึ่งสาเหตุที่ต้องมาเป็นนั้นเจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า
เล่นลิเกเป็นตัวเจ้าในท้องเรื่องเจ้าถูกอำมาตย์ยึดอำนาจแล้วให้นำไปประหารเจ้าก็ร้องด่าว่าเป็นคนเนรคุณแล้วลงด้วยกลอนลิเกว่า”เฮ้ย…มึงไล่เจ้าให้เข้าป่าแล้วเอาหมามานั่งเมือง”
ปรากฏว่ามีสันติบาลมาได้ยินเข้า พอลิเกจบก็ถูกเชิญตัวไปโรงพัก ถูกตั้งข้อหากระทำการโฆษณาให้ประชาชน ความกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยดูหมิ่นเสียดสีนายกรัฐมนตรีและผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองแม้จะบอกว่ากลอนพาไปก็ไม่ยอมศาลตัดสินจำคุกเป็นนักโทษการเมือง
การที่พัสดีเพี้ยนปล่อยให้นักโทษการเมืองมีอิสระทำให้นักโทษการเมืองบางคนเกิดความหมั่นไส้จึงร่วมกับผู้คุมบางคนที่ไม่ชอบความตงฉินของพัสดีเพี้ยนทำจดหมายร้องเรียนไปยังพระกล้ากลางสมรอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พระกล้าฯจึงสั่งย้ายด่วนพัสดีเพี้ยนมาประจำที่เรือนจำชุมพรแล้วจัดส่งพัสดีคนใหม่มาแทนยศร้อยตรีชื่อ ช้อน มีคนสนิทชื่อประดับเป็นมือปืนคุ้มกัน
เมื่อมาถึงพัสดีช้อนก็ประกาศศักดาต่อหน้านักโทษทั้งหลาย”พึงสำเหนียกไว้ว่ากูมาที่นี่เพื่อควบคุมพวกมึงนักโทษการเมืองหรือคดีอาญาก็เหมือนกันล้วนเป็นนักโทษด้วยกันจะไม่ได้ รับการผ่อนผันเป็นเด็ดขาดต่อไปนี้นักโทษการเมืองที่อายุต่ำกว่า 60 ปีต้องทำงานสนามแบบเดียวกับนักโทษอาญา จะกินข้าวแดงหลวงเปล่าๆไม่ได้ต้องทำงานแลกทุกคนไม่ทำงานก็ไม่ต้องกินข้าว”
นักโทษการเมืองล้วนเป็นผู้มีการศึกษาจึงไม่มีผู้ใดโต้ตอบไพฑูรย์ได้ยินนักโทษการเมืองท่านหนึ่งพูดถึงพัสดีช้อนว่า”ไอ้พวกบ้าอำนาจคางคกขึ้นวอเหมือนเจ้านายมันนั่นแหละสำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลผู้ดี ขี้ข้าเขาดูกันตรงนี้แหละ”
งานสนามก็มีการตัดต้นไม้ทำแปลงเกษตร คือปลูกผักและทำไร่ผลิตผลที่ได้ถูกส่งเข้า โรงครัวประกอบอาหารให้นักโทษกินเหตุที่ต้องมีการใช้งานหนักนักโทษการเมืองก็เพื่อให้ได้สำนึกว่าการต่อต้านรัฐบาลมีแต่ความลำบากเพราะหลายคนที่มาอยู่เกาะเต่า เป็นพวกหัวแข็ง พ้นโทษแล้วก็กลับไปร่วมกับพรรคพวกต่อต้านรัฐบาลอีกไม่หลาบจำ
นักโทษการเมืองเหล่านี้ต้องคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิตมาเป็นเวลานานพอสมควรได้รับพระราชทานลดโทษมาเป็นลำดับจนเหลือโทษน้อย รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าการที่นักโทษการเมืองหัวแข็งเหล่านี้ได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งก็จะเป็นอิสระออกไปต่อต้านรัฐบาลอีก
การที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์สั่งให้นักโทษการเมืองที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีต้องทำงานสนามก็เพื่อทอนอายุเพราะเมื่ออยู่เกาะตะรุเตานั้นต่างก็ป่วยด้วยไข้มาลาเรียอย่างหนักจนหลายคนถึงแก่กรรมที่เหลือมาอยู่เกาะเต่าก็ล้วนมีเชื้อไข้ติดตัวมาด้วยเมื่อมาเจอเชื้อตัวใหม่เข้าอาการก็กำเริบยิ่งมาทำงานหนักเข้าไม่นานนักโทษการเมืองก็ป่วยกันระนาว
ป่วยพอทำเนาแต่ยาควินินที่ใช้บรรเทาโรคไข้จับสั่นนั้นขาดแคลนเรือเสบียงมาที่เกาะเต่าอาทิตย์ละครั้งแต่เมื่อเกิด สงครามโลกติดพันน้ำมันเชื้อเพลิงไม่มี เรือก็มา 2 อาทิตย์ครั้งหรือทิ้งช่วงไป ยาควินินที่มีอยู่ก็หมดไปเรื่อยๆ ญาติของนักโทษการเมืองส่งจดหมายและยารักษาโรคผ่านกรมราชทัณฑ์เพื่อส่งให้นักโทษสมัยเมื่อหัสดีเพี้ยนเป็นผบ.เรือนจำจดหมายและยารักษาโรคจะถึงมือนักโทษเป็นประจำ
แต่พอพัสดีช้อนมาเป็นผบ.เรือนจำทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจดหมายและยาไม่เคยมาถึงมือนักโทษเมื่อสอบถามก็จะได้รับคำตอบว่า”ทางกรมสั่งให้ตรวจสอบทั้งจดหมายและพัสดุที่ส่งมาอย่างเข้มงวดเพราะหากมีสิ่งแปลกปลอมส่งมาหรือมีพวกส่งยาพิษมาให้แทนกินเข้าไปแล้วตายทางญาติและพวกพ้องจะได้หาว่ารัฐบาลสั่งวางยาพิษแล้วใครจะรับผิดชอบ ไหนลองบอกมาซิ”
บ่ายวันหนึ่งนักโทษการเมืองที่มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงจักรโยธินซึ่งป่วยด้วยโรคไข้จับสั่นอาการกำเริบหนัก เพ้อถึงแต่ภรรยาและลูกด้วยความเป็นห่วง มีอาการเกร็งคล้ายจะ ชัก พระยาจินดาจึงนำยาน้ำ”แอทบริ” มาฉีดให้เข็มหนึ่ง เพื่อป้องกันอาการชักแต่อาการไข้ยังขึ้นสูงมาก
หม่อมเจ้าสิทธิ์มีพระเมตตาฉีดยาลดไข้ให้อีก 1 เข็มอาการเกร็งและไข้ลดลงนั่นคือสิ่งที่นักโทษการเมืองได้ทำอย่างดีที่สุดในการช่วยเหลือนักโทษการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกันสิ่งที่ไพฑูรย์ช่วยได้คือการเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวและปกหน้าผากเพื่อลดไข้ เพราะไม่มีความรู้ด้านการแพทย์
แต่เชื้อมาลาเรียได้ทำลายและสมองและระบบประสาทจนหมดทางเยียวยาหลวงจักรโยธินจึงสิ้นใจด้วยอาการอันสงบทุกคนที่เหลือต่างภาวนาว่าขออย่าให้เชื้อไข้จับสั่นที่มีอยู่กำเริบขึ้นมาเลยเพราะหากกำเริบแล้วจะต้องตายแบบเดียวกับหลวงจักรโยธิน
แต่เรื่องของความตายใครจะไปห้ามได้ ดึกคืนหนึ่ง เสียงพระสิทธิการที่เพ้อเพราะพิษไข้ก็ดังขึ้น
นักโทษการเมืองต่างลุกขึ้นมาดูอาการด้วยความเป็นห่วงพระสิทธิการเพ้อผิดกับหลวงจักรโยธินมีอาการลิ้นแข็งเผลอจับความไม่ได้มาลาเรียขึ้นสมองอีกราย คราวนี้ไม่อาจช่วยอะไรได้เพราะยาฉีดหมดยาควินิน ก็หมดทางจะ ให้กินเข้าไปได้ ทุกคนเฝ้าดูจนกระทั่งพระสิทธิการเกร็งชักน้ำลายฟูมปากลิ้นจุกตาเหลือกถลนจนขาดใจตายไปต่อหน้า
ไพฑูรย์บอกว่านี่คือความรักที่เพื่อนมนุษย์มีต่อกันในยามยาก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์คุณหลวงคุณพระที่มาตกที่นั่งเดียวกันในข้อหาขบถ เพราะทุกคนมีอุดมการณ์เดียวกันคือขัดขวางคณะราษฎร์ที่นำพระราชอำนาจที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีอยู่ รัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในระบอบประชาธิปไตย เมื่อมีผู้นำพระราชอำนาจที่พระองค์ทรงพระราชทานมาใช้เพื่อประโยชน์ของพวกพ้องและบริวารจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเดินทางไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษและเสด็จสวรรณคตในที่สุด
แม้ไพฑูรย์จะเป็นนักโทษอาญาที่อยู่ในฐานะนักโทษชั้นเลวยังเจียมตัวและให้ความเคารพนักโทษการเมืองเหล่านั้นอย่างจริงใจบางท่านบอกกับไพฑูรย์ว่าไม่ต้องเกรงอกเกรงใจแสดงกิริยานอบน้อมอยู่ที่นี่ยศฐาบรรดาศักดิ์และเกียรติยศถูกถอดออกหมดแล้วทุกคนคือนักโทษที่มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
หลังจากไพฑูรย์ได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อปีพ. ศ. 2500 บรรดานักโทษการเมืองแห่งเกาะเต่าล้วนสิ้นชีวิตไปหมดแล้วเหลือไว้แต่ความทรงจำเท่านั้น เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ในตอนหน้า
สำหรับตอนนี้ขอมอบคาถาป้องกันไข้ป่าเป็นคาถาเสกน้ำกินทำให้ไข้ป่าไม่จับเรียกกันว่าคาถาพุทธโอสถ (เสกน้ำกินกันไข้ป่า)
ตั้งนะโม 3 จบแล้วว่า คาถาดังนี้
สักกัตตะวาพุทธะรัตตะนัง โอสะถังอุตมังวะรัง
หิเตเทวะมนุสสานังพุทธะเตเชนะโสตถินา
นัสสันตุปัททะวาสัพเพ ทุกขาวูปะสะเมนตุเม
สักกัตตะวานะธัมมะรัตตะนังโอสะถังอุตมังวะรัง
ปริราหูปะสะมะนังธัมมะเตเชนะโสดถินา
นัสสันดุปัททะวาสัพเพภะยาวูปะสะเมนตุเม
สักกัตตะวาสังฆะรัตตะนังโอสะถังอุตมังวะรัง
อาหุเนยยังปาหุเนยยังสังฆะเตเชนะโสดถินา
นัสสันตุปัททะวาสัพเพโรคา วูปะสะเมนตุเม
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji