3680. ดวลดับมือปืนปะทะสันติบาล (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ดวลดับมือปืนปะทะสันติบาล (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในการแหกคุกครั้งที่ 2 ไพฑูรย์ขึ้นไปถึงอำเภอพบพระจังหวัดตาก พบพระสมัยก่อนสงครามโลกเป็นแหล่งรวมนักเลงจากภาคเหนือทั้งหมด ทั้งยังมีพม่ากะเหรี่ยงและชนกลุ่มน้อยเป็นอื่นๆที่เป็นนักเลงมาชุมนุมกันสมัยนั้นใครไม่พกอาวุธติดตัวจะถูกลองดีเพราะกฎของนักเลงที่นั่นคือการพกอาวุธเพื่อแสดงว่ายังมีความเกรงกลัวจะถูกทำร้าย

พบพระเป็นถิ่นที่ไพฑูรย์คุ้นเคยมีญาติข้างแม่อยู่มากมายล้วนเป็นนักเลงใหญ่ประจำพบพระ

เมื่อไพฑูรย์เดินทางไปถึงก็เข้าไปพบ ”พะอู่ทองคำ” ตามที่ได้รับแจ้งจากญาติที่บ้านจังหวัดตากว่า อาทองคำ ได้ภรรยาเป็นพม่าชื่อ มะขิ่นยู เป็นลูกสาวนายทหารพม่าที่เคยเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ของกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าที่ถูกอังกฤษเนรเทศไปอยู่ประเทศอินเดียจนสวรรณคตเป็นผู้ที่ควบคุมกองกำลังกู้ชาติร่วมกับอู อองซาน ทางประเทศอังกฤษให้ค่าหัวไม่ว่าจะเป็นหรือตาย 10000 ปอนด์

อาทองคำจึงถูกเรียกเป็นภาษาพม่าว่า ”พะอู่” นำหน้าคำว่าทองคำถ้าไปหาแล้วถามหาคนชื่อทองคำจะต้องตามหาคนเป็นร้อยๆเพราะชื่อทองคำมีมาก หากเอ่ยถามพะอู่ทองคำ ไม่พลาดเป็นแน่ เป็นความจริงพอลงจากรถโดยสารจากตากไปพบพระที่วันหนึ่งมีเพียงเที่ยวเดียวหากพลาดต้องนอนตบยุงโรงแรมมีแต่นอนไม่ได้เกรงว่าสายสืบทอดจะมาเจอเข้าเดี๋ยวยิงกันควันปืนคลุ้ง

แว่นตาดำหมวกหลุบหน้ากระเป๋าเดินทางหนึ่งใบ เสื้อแจ็คเก็ตหนึ่งตัวร้อนก็ต้องใส่เพราะพกปืนเอาไว้สองกระบอก มีสายคาดหน้าอกคล้องไหล่แบบภาพยนตร์ตะวันตกอีกกระบอกเเนบไว้ด้านหลังชายแจ็คเก็ตบังพอดี นั่นคือ เสือไพฑูรย์ที่หนังสือพิมพ์ให้ฉายา

พอลงจากรถก็รู้สึกแปลก ผู้คนมีอาวุธครบมือ มีปืนก็พกปืน มีมีดก็พกมีด มีดาบก็ถือดาบที่แปลกก็คือไม่ค่อยมีเรื่องมีราวกันมากนัก
พอถามถึงพะอู่ทองคำ ชายหน้าบากหนวดเฟิ้มถลึงตาใส่ตะคอกขู่ขวัญไพฑูรย์ทันที

”มาจากไหนว่ะไม่เห็นหรือที่นี่เขาพกอาวุธกันทั้งนั้นเสือกมาถามหาพะอู่ทองคำเสียด้วยแน่นักหรือมึง”

ไพฑูรย์ไม่โต้ตอบรูดซิปเสื้อแจ็คเก็ตเผยให้เห็นปืนที่คาดไว้ที่ใต้รักแร้รูดซิปปิดดึงชายเสื้อแจ็คเก็ตขึ้น เผยให้เห็นปืนที่เหน็บไว้ด้านหลังชายหน้าบากจึงร้องว่า

”ใช้ได้เว้ย อย่างนี้ค่อยน่าพาไปหน่อย ตามมาเลยอยากรู้เหมือนกันว่ามีอะไรกับพะอู่ทองคำ”

ออกจากท่ารถอันเป็นตลาดกลางเมืองวกวนไปมาจนถึงบ้านไม้สักหลังใหญ่ประตูบ้านเปิดกว้างใต้ถุนบ้านมีม้านั่งและชุดรับแขกวางไว้ให้นั่งรอ ชายหน้าบากให้ไพฑูรย์รออยู่ใต้ถุนบ้าน

”รอที่นี่ว่ะ ลืมถามไปโว้ย ชื่อเสียงเรียงนามอะไรมาจากไหนกันแน่”

”บอกว่าไอ้เปียหลานชายมาจากจังหวัดตากแค่นี้แหละ”

หายไปไม่นานก็วิ่งหน้าตาตื่นลงมาแล้วจับไม้จับมือไพฑูรย์เขย่า

”ไม่รู้ว่าเป็นหลานในไส้ของพะอู่ทองคำ พ่อพะอู่ให้พาขึ้นไปหาบนบ้านฉันชื่อเบิ้มหน้าบากเป็นลูกน้องคนสนิทของพ่อพะอู่”

ไพฑูรย์เดินตามหลังนายเบิ้มขึ้นไปบนบ้านที่นั่นลุงทองคำลุงแท้ๆของไพฑูรย์นั่งเคี้ยวหมากของโปรด พอเห็นหน้าไพฑูรย์ก็ถ่มหมากร้องทักด้วยเสียงดังลั่นบ้าน

”ไอ้เปียมึงจริงๆด้วย ข่าวว่ามึงอยู่ในบางขวางมิใช่หรือ”

”ลุงก็คุกมีไว้หนีสำหรับผมหากมีโอกาสก็แหกคุก จับไปขังก็แหกอีกคราวนี้ก็แหกมาอีกได้ข่าวจากอาแก้วว่าลุงมีอำนาจอยู่ที่นี่ตำรวจไม่กล้ามาวอแวกับลุงให้ผมมาหลบภัยสักพักนึงน่ะ”

”ไม่ใช่อย่างนั้น ตำรวจอาศัยข่าวจากเรา เรามีข้อมูลในพื้นที่พอสมควรโดยเฉพาะฝิ่นสุกที่ลำเลียงมาตามแนวชายแดนเรามีหูมีตาอยู่มากผ่านเข้ามาในพื้นที่เราเราก็ให้ข่าวเพราะเราไม่ชอบเรื่องยาเสพติด”

”แต่อย่างอื่นแม้จะผิดกฎหมายบ้านเมืองเช่น บ่อน เรื่องมือปืนอะไรทำนองนี้ลุงก็จะปิดตาเสียข้างหนึ่ง มีอยู่พวกเดียวที่มาทีไรต้องยิงกันเปิดโปงพวกนี้เป็นสันติบาลบอกว่าเป็นลูกน้องพลตำรวจตรีเผ่า ศรียานนท์มาถึงก็อวดศักดาเครื่องแบบก็ไม่แต่ง”

ไอ้คนของลุงมันก็ประหลาดบอกว่าเป็นตำรวจแต่ไม่แต่งเครื่องแบบมันหมั่นไส้ มันก็รวนเอายิงกันควันปืนคลุ้ง สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพบพระต้องมาจัดการดีกว่ามีแต่บาดเจ็บไม่ถึงตายตำรวจท้องที่เขาไม่ชอบขี้หน้าพวกสันติบาลนักหรอกเพราะมาทำงานก้าวก่ายงานของเขาบางครั้งมาจับโน่นกุมนี่ แล้วไม่ให้ท้องที่ร่วมลงนามในการจับกุม เขาเรียกว่าปีนเกลียวพวกเราก็สบาย

”เจ้าเบิ้มเป็นคนสนิทของลุงมันจะไปประจำอยู่ที่ท่ารถคอยดูว่าใครไปใครมาหากผิดสังเกตมันจะคอยตามดูถ้าเห็นท่าไม่ดีมันก็จะให้เด็กวิ่งมาบอกลุง มันเคยเป็นมือปืนแต่ถูกยิงตัดเส้นเอ็นแขนขวาขาดมันเลยใช้ปืนไม่ถนัดแต่หน้าตามันเอาเรื่องคนที่ไม่รู้ก็จะกลัวมันคนที่รู้ก็จะเฉยๆคนที่นี่เขามีกฎว่าต้องพกอาวุธติดตัวใครไม่พกอาวุธจะถูกลองดีเหมือนที่เปียโดน”

มีลูกน้องขึ้นมาบอกว่ามีผู้มาขอพบ ลุงทองคำ พยักหน้าแล้วร้องสั่งเจ้าเบิ้ม

”เบิ้มพาเปียไปพักที่เรือนรับรองของพ่อที่ท้ายบ้านโน่น สั่งห้ามใครเข้าไปใกล้เด็ดขาดเดี๋ยวจะปะทะกันเข้ามันไม่ดี คนของเราทุกคนให้เบิ้มบอกให้รู้กันทั่ว”

เรือนรับรองแขกของลุงทองคำเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวมีห้องนอน 1 ห้องห้องน้ำ 1 ห้องมีเตียงกับเครื่องนอนพร้อม พี่เบิ้มที่ไพฑูรย์เรียกขานด้วยความเคารพนำไพฑูรย์ไปที่ผนังด้านหัวเตียงที่มีเขาสัตว์แขวนอยู่แล้วบอกว่า

”เวลาคับขันให้ถอดหัวสัตว์ออกจะเห็นสลัก ดึงสลักออกฝาผนังจะเปิดออกไปด้านนอกได้เป็นประตูฉุกเฉินสิ่งของทิ้งไว้พี่จะเก็บรวบรวมให้ไปแต่ตัวกับปืน”

ไพฑูรย์กบดานอยู่กับลุงทองคำเป็นเวลาประมาณ 1 เดือนบางครั้งลุงทองคำก็เรียกไปให้เป็นที่ปรึกษาคดีความให้กับชาวบ้านแนะนำเรื่องกฎหมายที่คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบ ตัวลุงทองคำบอกกับชาวบ้านว่าเป็นทนายความมาจากเมืองตาก ของป่าผลไม้พื้นบ้าน ชาวบ้านผู้ยากไร้พากันนำมาให้ไพฑูรย์จนกินไม่หวาดไม่ไหวต้องเอาไปให้ลุงทองคำไว้ต้อนรับแขกที่บ้าน

เช้าตรู่วันหนึ่งมีรถจิ๊บแล่นมาจอดที่หน้าบ้านลุงพะอู่ทองคำพี่เบิ้มรีบไปเตือนไพฑูรย์ว่ามีรถจิ๊ปทะเบียนกรุงเทพฯ มาพบลุงพะอู่ทองคำให้ไพฑูรย์หลบไปด้านหลังที่เป็นป่า ส่วนพี่เบิ้มเอาเครื่องนอนและสัมภาระของไพฑูรย์ออกไปจากบ้านพักรับรองจนหมดแล้วคล้องกุญแจไว้อย่างเรียบร้อยจึงกลับไปฟังข่าวส่วนไพฑูรย์นั้นซ่อนอยู่ในป่าจนค่ำ จึงกลับมาที่บ้านของลุงพะอู่ทองคำ

พี่เบิ้มมีสีหน้าไม่สบายใจเล่าให้ไพฑูรย์ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินทางมาด้วยรถจิ๊บพร้อมประกาศจับและหมายจับนักโทษแหกคุกชื่อไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามหรือเปียหรือวรรณวิน โดยแสดงบัตรประจําตัวว่าเป็นตำรวจสันติบาลอ้างว่าสายจากจังหวัดตากระบุว่ามุ่งมาทางอำเภอพบพระที่นี่มีญาติคนหนึ่งที่นามสกุลเดียวกันคือ ทองคำ พันธุ์เชื้องาม หรือพะอู่ทองคำ

ลุงพะอู่ทองคำถูกสอบปากคำแต่ลุงพะอู่ทองคำปฏิเสธสันติบาลขอตรวจค้นแต่ลุงพะอู่ทองคำไม่อนุญาตเพราะไม่มีหมายค้นหัวหน้าชุดมือปราบสันติบาลยืนคุมเชิงอยู่แล้วจึงให้ลูกน้องไปติดต่อที่สถานีตำรวจภูธรพบพระเพื่อขอนายตำรวจท้องที่ออกหมายค้น

การค้นเป็นไปอย่างละเอียดบ้านพักของพะอู่ทองคำบ้านพักรับรองทุกหลังถูกค้นอย่างละเอียดแต่ไม่พบหลักฐานเพราะพี่เบิ้มจัดการเก็บไปหมดแล้ว

ในที่สุดตำรวจสันติบาลก็ให้นายตำรวจเจ้าของท้องที่เชิญตัวพะอู่ทองคำไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่โรงพักแต่เมื่อทนายประจำตัวลุงทองคำไปขอพบก็ปรากฏว่าสันติบาลคุมตัวลุงพะอู่ทองคำเข้ากรุงเทพฯโดยมีตำรวจในท้องที่ตามไปด้วย 1 นายแต่ก็ถูกปล่อยทิ้งที่จังหวัดตาก

สายของลุงทองคำที่เป็นกะเหรี่ยงพูดไทยได้ปรื้อแอบตามไปห่างๆโดยใช้วิทยุสื่อสารพิเศษที่ใช้ในการต่อสู้กับอังกฤษบอกว่าพวกสันติบาลนำลุงทองคำไปไว้ในที่พักนอกตัวจังหวัดตากของญาตินายตำรวจชุดไล่ล่า โดยกะว่าจะคาดคั้นให้บอกที่ซ่อนเพราะตอนนั้นค่าหัวไพฑูรย์ขึ้นไปถึง 2 หมื่นบาท

ไพฑูรย์ พี่เบิ้มและลูกน้องระดับมือพระกาฬออกเดินทางจากพบพระโดยใช้เส้นทางลัดด้วยรถจิ๊บสมัยนั้นรถจิ๊บของอเมริกา ยอดที่สุดถึงจังหวัดตากตอนดึกโข สายที่รออยู่นำไปยังเป้าหมายไพฑูรย์ให้จอดรถห่างจากเป้าหมายประมาณ 500 เมตรแล้วเดินเท้าเข้าไปยังเป้าหมายสายส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ไพฑูรย์มองดูบริเวณตัวบ้าน เห็นว่าปิดไฟมืด มีคนเฝ้ายามอยู่คนหนึ่ง ไม่มีความเคลื่อนไหวอันใดให้เห็น

ไพฑูรย์ให้แบ่งกำลังออกเป็น 2 สาย สายแรกเข้าทางหน้าบ้านสายที่ 2 เข้าทางหลังบ้านไพฑูรย์นำเข้าด้านหน้าโดยตั้งนาฬิกาให้ตรงกันทุกเรือนให้บุกเข้าพร้อมกันเวลา 03.00 นาฬิกาไม่จำเป็นอย่าใช้ปืนจนกว่าจะถึงระยะแม่นยำของปืนพก

ยามนอนกรนคลอกอย่างสบายอุรา ด้ามปืนพกในมือของไพฑูรย์ ตะบันลงไปตรงกลางกระหม่อมไพฑูรย์บอกว่าการทุบลงไปกลางกระหม่อมจะส่งแรงสะท้อนถึงสมองส่วนกลาง เรียกว่าสมองกระฉอก อึดแค่ไหนก็สลบทันใดประตูหน้าก็ขยับไพฑูรย์โบกมือให้ทุกคนถอยห่างออกไปจากตัวบ้านยามผลัดต่อไปออกมาจะเข้าแทนที่ยามผลัดดึก พอเข้ามาเห็นเพื่อนนอนหัวแบะเลือดโทรมยังไม่ทันทำอะไรก็โดนล็อคคอปลายมีดจ่อคอหอย

เสียงไพฑูรย์ตะคอกใกล้หู

”มึงมันเลวมากขนาดคนแก่มึงยังเอาตัวมาบังคับกักขังมึงมันไม่เหมาะกับเครื่องแบบแม้แต่น้อยมึงส่งสัญญาณเรียกพ่อมึงที่อยู่ข้างในให้นำตัวลุงพะอู่ทองคำออกมา กูรู้ว่าพวกมึงมีสัญญาณอันตรายและสัญญาณปลอดภัยหากมึงตุกติกกูสาบานว่าจะยัดกระสุนใส่สมองมึงฝีมืออย่างกูไม่ให้มึงไปนรกทีเดียวมันสบายไปกูจะยัดมันเข้าไปในสมองส่วนที่จะทำให้มึงเป็นอัมพาตนอนจมขี้จมเยี่ยว กูไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามขอสาบานว่าถ้ามึงทำสำเร็จมึงจะรอดชีวิตเพื่อเก็บศพลูกพี่มึงไปเผา”

สัญญาณอันตรายถูกส่งออกไปมันเป็นการฉายไฟฉายไปที่หน้าต่างไม่นานนักประตูหลังบ้านก็เปิดออกร่างของชายฉกรรจ์สองคนดุนหลังชายที่มีผ้าผูกตาออกมาจากตัวบ้านเดินตรงไปยังรถจิ๊บที่จอดอยู่ที่นั่นมีลูกน้องของพะอู่ทองคำซุ่มอยู่เงียบๆ ด้วยความชำนาญร่างของลูกน้องลุงพะอู่ทองคำก็พุ่งพรวดออกมาชนพะอู่ทองคำล้มกลิ้งไปด้วยกัน

เสียงปืนทำลายความเงียบขึ้นมันเป็นการดวลเผาขนระหว่างมือปืนอาชีพกับตำรวจสันติบาลที่เคยแต่ซุ่มโป่งรอให้คนร้ายเข้ามาในวงล้อมแล้วยิงไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้

2 ใน 3 ร่วงลงไปกองกับพื้นเหลือหนึ่งเปิดแนบไม่คิดชีวิตไพฑูรย์วิ่งอ้อมไปสกัดด้านหน้าแล้วเผชิญหน้ากันในระยะ 10 เมตร

”กูไพฑูรย์ที่มึงต้องการค่าหัวถึงกับจับตัวลุงกูมาทรมานสองหมื่นบาทรอมึงอยู่แล้วหากมึงล้มกูลงได้ กูไม่เคยฆ่าตำรวจในเครื่องแบบ อย่างมากก็ยิงให้บาดเจ็บเพื่อเอาตัวรอด แต่สำหรับมึงมันไม่มีเครื่องแบบใช้คำว่า”สันติบาล”แต่สำหรับกูพวกมึงคือ”สันติพาล” ตำรวจสันติบาลที่ดีๆถูกพวกมึงทำลายจะได้นอนตาหลับเสียที”

ปืนสองกระบอกแผดเสียงพร้อมกันร่างของไพฑูรย์เซไปด้านหลังจากแรงทะลวงของกระสุนขนาด 9 มม. ส่วนฝ่ายตรงข้ามทรุดตัวลงนอนกระตุกพรวดพรวดอยู่สองสามครั้งก็เงียบ

ลุงพะอู่ทองคำได้รับการช่วยเหลือจากลูกน้องของตนเองและหลานในไส้

ไพฑูรย์กราบลาลุงพะอู่ทองคำ เดินทางจากตากขึ้นไปเถินลี้สู่ลำปางเมืองรถม้าทิ้งความวุ่นวายไว้เบื้องหลัง

หนังสือพิมพ์ลงข่าวในช่วงข่าวภูธรในล้อมกรอบเล็กๆว่า”สันติบาลเหล็ก”จากบางกอกสิ้นชื่อคาเมืองตากด้วยฝีมือเสือไพฑูรย์กับมือปืนลูกน้องพะอู่ทองคำ ผู้ตายคือร้อยตำรวจเอกมนัส คนที่ดวลปืนกับไพฑูรย์กับลูกน้องยศนายสิบอีก 2 นาย ไพฑูรย์บอกว่าจากการชันสูตรศพพบว่าร้อยตํารวจเอกมนัสถูกยิงด้านหน้าด้วยกระสุนปืนขนาด 9 มม. 2 นัดกระสุนนัดแรกตัดสายสร้อยแขวนพระเครื่องขาดหัวกระสุนเข้าไปตัดขั้วหัวใจกระสุนนัดที่ 2 เข้าที่บั้นเอวตัดสายตะกรุดที่เอวขาด กระสุนทะลุผ่านไตออกด้านหลัง

ไพฑูรย์ย้ำว่าของดีเมื่ออยู่กับคนเลวก็ทำลายคนเลวให้วิบัติเช่นนี้แหล่ะ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: