3654. ฤทธิ์หนุมานหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในกรุงเทพฯสมัยเมื่อก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองอาคมเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไปอาทิหลวงพ่อหรุ่น(ท่านเป็นอาจารย์สัก 9 ยอดวัดอัมพวัน) หลวงพ่อโมวัดสามจีนท่านสักลักกั๊ก(คนจีนจากเยาวราชถึงตรอกสลักหินหัวลำโพงสักกันแทบทุกคน) หลวงพ่อปั้นวัดบางกระบือ(หลวงพ่อปั้นองค์นี้ท่านเป็นอาจารย์สักโพธิ์ดำ) หลวงปู่ภูวัดอินทรวิหารท่านสร้างไหมครูเป็นไม้ตะพด(ใครโดนตีเข้าหากไม่แก้จะเป็นบ้าเสียสติ)ฯลฯ

ลูกผู้ชายสมัยนั้นนิยมสักอักขระเต็มตัวไม่นิยมแขวนพระเครื่องรางโดยมีความคิดตรงกันว่าพระเครื่องรางนั้นหากวันไหนลืมไม่ได้แขวนแล้วไปมีเรื่องมีราวก็จะขาดกำลังใจทำให้พ่ายแพ้ต่อศัตรูแต่รอยสักอักขระนั้นติดตัวไปตลอด

ถึงเวลาบู๊ก็ภาวนาคาถาเอามือตบหน้าอกแล้วลุยกันแหลกไปข้างหนึ่ง

การสักนั้นแสดงถึงความเป็นลูกผู้ชายชาตรีเพราะการสักนั้นต้องใช้เข็มปักปลายแหลมแทงลงไปบนหนังซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ปรากฏลวดลายและอักขระเพื่อให้หมึกสักสีดำลงไปอยู่ในแผลเมื่อแผลหายจะปรากฏลายสักสีดำตามที่ต้องการต้องอดทนต่อความเจ็บปวดแสนสาหัสกว่าจะได้รอยสักแต่ละราย

รอยสักคือกำลังใจในการต่อสู้ศัตรูให้เกิดความไม่กลัวใคร อาจารย์ฆราวาสก็มีมากเรียกว่าเปิดสำนักกันเป็นดอกเห็ดชอบพระเกจิองค์ไหนก็ไปขอให้ท่านสักชอบอาจารย์ฆราวาสคนไหนก็ไปขอลายสักได้

กรุงเทพฯแบ่งออกเป็นหลายเขตแต่ละเขตมีนักเลงคุมผลประโยชน์พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ”มาเฟีย” นั่นเองเก็บค่าคุ้มครองร้านอาหาร ร้านค้าและคุมซ่องโสเภณีคือ เขตใครเขตมัน อีกฝ่ายหนึ่งจะข้ามเขตเข้ามาทำธุรกิจในเขตหนึ่งมีกฏอยู่ว่าต้องให้เกียรติด้วยการพรางเครื่องหมาย เช่น คณะแหวนขาว เมื่อข้ามถิ่นไปนางเลิ้งหรือหัวลำโพงจะต้องไม่สวมแหวนขาวหรือถ้าจะสวมไปก็ให้พลิกส่วนหัวลงด้านล่างนิ้วเอาท้องวงขึ้นด้านบนสักลายตามตัวก็ใส่เสื้อแขนยาวติดกระดุมปิดเอาไว้

ไม่ใช่กลัวแต่เป็นกฎของนักเลงสมัยนั้นว่าข้ามเขตต้องให้เกียรติเจ้าถิ่นและครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพบูชาของเจ้าถิ่นหากไม่ปกปิดสัญลักษณ์ถือว่ามาท้าทายถึงถิ่น

เป็นสิทธิที่เจ้าของถิ่นจะต้องจัดการสั่งสอนให้หมอบหรือหากหนักมือก็ถึงตาย ถือว่าเป็นการยอมกันไม่ได้

สำหรับไพฑูรย์นั้นทำตามกฏเสมอไม่เคยละเมิดเพราะถือว่านักเลงจริงไม่หมิ่นนักเลงด้วยกันไม่มีใครกลัวใครแต่กติกามารยาทต้องถือปฏิบัติ

สมัยนั้นสำนักสักไม่ว่าฆราวาสหรือพระเกจิอาจารย์จะจัดงานไหว้ครูประจำปีเป็นงานใหญ่มีหัวหมูบายศรีราชวัตรฉัตรธงเครื่องสังเวยบูชาที่บรรดาศิษย์จะช่วยกันออกเงินค่าจัดพิธีแทนหลวงปู่หลวงพ่อหรืออาจารย์ฆราวาสถือเป็นการบูชาครูหากมีสิ่งใดขาดก็เติมประสิทธิให้ใหม่ถือเป็นการชุมนุมศิษย์ของแต่ละสำนัก

งานไหว้ครูของหลวงพ่อหรุ่นทุกปีพี่เสงี่ยมเป็นผู้ออกเงินจัดงานถวายให้เป็นประจำเป็นงานใหญ่มีผู้คนทั่วสารทิศพากันมาร่วมงานมืดฟ้ามัวดินหลวงพ่อหรุ่นนั่งเก้าอี้เป็นประธานให้ศิษย์เข้าไปกราบที่เท้าหลวงพ่อพ่นน้ำมนต์ พรูดๆ ไม่ได้ขาดสาย

มีการแสดงการชกมวยจากค่ายมวยของนายถวัลย์ วงเทเวศจากบางขุนพรหมและการแสดงกระบี่กระบองจากวัดพระญาติการาม กระบี่กระบองสมัยนั้นใช้ดาบจริงๆฟันกันคมขาววับไม่เคยมีเลือดออกหากฟันหรือแทงพลาด นอกจากที่เรียกกันว่ายางบอนเท่านั้น

เป็นการชุมนุมศิษย์เก้ายอดประจำปีเรียกว่าพบกันจดจำหน้าไว้ให้ดีไปพบกันที่ไหนก็ทักทายในฐานะศิษย์ร่วมสำนักหรือเห็นเพื่อนร่วมสำนักถูกทำร้ายก็ช่วยแก้ไขกันให้ทันท่วงที ตำรวจก็ไม่ตอแยกับบรรดานักเลงเหล่านี้ยกเว้นมีเรื่องมีราวกันจนบาดเจ็บล้มตายเป็นคดีอาญาบ้านเมืองจึงจะเข้าจับกุม

เรื่องการเก็บค่าคุ้มครองก็เช่นกันไม่มีใครไปร้องเรียนก็ไม่มาใส่ใจใครจะกล้าไปร้องเรียนไม่จ่ายค่าคุ้มครองก็ส่งนักเลงไปดื่มในร้านแล้วหาเรื่องตีกับคนในร้านข้าวของเสียหายลูกค้าบาดเจ็บ ทำมาค้าขายไม่ได้ก็ต้องยอมจ่ายค่าคุ้มครอง

นักเลงสมัยนั้นหากเขาจะเล่นงานใครสักคนเขาก็จะบอกล่วงหน้าเลยว่าระวังตัวเอาไว้จะเอาเลือดหัวออก อีกฝ่ายก็ระวังตัวมิให้อีกฝ่ายหนึ่งทำอันตรายได้แต่ส่วนใหญ่มักเผลอตัวหัวแบะจนได้ก็ต้องติดตามแก้มือกันต่อไปตามวิถีนักเลง

การต่อสู้ก็จะสู้กันอย่างยุติธรรมตัวต่อตัวไม่มีลุม ไม่ก็ยกพวกเข้าตีกันบาดเจ็บล้มตายกันไปตามธรรมเนียมนักเลง

เรื่องคงกระพันนักเลงสมัยนั้นเป็นยอดเรียกว่าครบเครื่องเรื่องแมลงวันจะได้กินเลือดง่ายๆไม่มีทางเป็นไปได้ปืนผาหน้าไม้ไม่ค่อยมีใช้กันอย่างดีก็ถือดาบมีดพก ไม้คมแฝก ดิ้ว สนับมือ เสือซ่อนเล็บมีมีดพก 2 อันเสียบสวนฝักกันมองเห็นเป็นเพียงฝักไม้ยาวพอสมควร มีรอยแบ่งครึ่งตรงกลาง เวลาต่อสู้ก็กระชากออกจากกันกลายเป็นมีดพก 2 เล่มไว้ต่อสู้

ที่มีรายการปะทะกันบ่อยที่สุดคือ พวกแหวนขาวที่อยู่ตลาดยอดบางลำพูกับฝ่าย 9 ยอดที่พี่เสงี่ยมคุมอยู่ไม่มีตายอย่างมากก็นอนหยอดน้ำข้าวต้มไปพลางพลาง

รุนแรงที่สุดก็คือการสังหารพระเอกลิเกที่เป็นพวกแหวนขาวมาหว่านเสน่ห์พานางโลมหนีไปบางลำพู ที่ข้ามถิ่นมาแล้วไม่พรางสัญลักษณ์แหวนขาวเพราะเป็นแหวนเพชร จึงถูกไพฑูรย์เล่นงานจนน่วมและถูกฝ่ายที่ถูกชิงนางโลมไปใช้เท้ากระทืบยอดอกและคอหอยจนตายคาเท้าจากนั้นมาก็เพลาลงไป

คนแขวนพระก็มิใช่ย่อย”ตาควาย” คนแจวเรือจ้างจากท่าช้างวังหลวงไปวัดระฆัง ไปพรานนก ไปโรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องกับพวกสามล้อที่เห็นว่าแกตัวคนเดียวมากินเหล้ายาดองที่ท่าช้างเลยหาเรื่องแก แกตัวคนเดียวแทงสามล้อบาดเจ็บไปหลายคนมีคนไปแจ้งความที่โรงพักพระราชวัง ตำรวจจะมาจับแต่ตาควายแกไม่ยอม แกว่าแกไม่ได้ก่อเรื่อง

แกวิ่งหนีไปที่เรือแล้วแจวออกไปร้องตะโกนท้าอยู่กลางแม่น้ำเจ้าพระยาร้อนถึงตำรวจกองปราบต้องมาเองมีร้อยตำรวจตรียอดยิ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการตำรวจลงเรือไปยิงตาควายถูกหลายนัดแต่ไม่เข้า

ร้อยตำรวจตรียอดยิ่งไปดักรอตาควายที่ท่าน้ำวัดระฆังถูกตาควายฟันด้วยลูกขวานตกลงไปในน้ำ ตาควายวิ่งลัดออกไปทางตรอกด้านหลังวัดระฆังตำรวจซุ่มดักอยู่ตีด้วยไม้สลบแล้วเอาไปกองปราบปราม

ตาควายแกแขวนพระนางพญาวัดใหญ่พิษณุโลกองค์เดียว ใส่ไว้ในกลักที่ทำด้วยเขาควายแขวนคอเอาไว้ด้วยเชือกควั่น

ไพฑูรย์ไปธุระที่ท่าเตียนอันเป็นท่าที่จอดเรือสีเลือดหมูและเรือแดงที่เดินขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพฯ กับอยุธยา ป่าโมก อ่างทองและสุพรรณบุรีเมื่อทำธุระเสร็จแล้วจึงเดินทางมากินอาหารที่ตลาดท่าโรงโม่ ปัจจุบันเหลือแต่ชื่อ โรงโม่ไม่มีเหลืออยู่แล้ว ร้านที่ไพฑูรย์ไปนั่งกินอาหารนั้นขายสุราด้วยมีนักเลงสุรานั่งดื่มเหล้ากันอย่างออกรสออกชาติ

ไพฑูรย์นึกครึ้มจึงสั่งเหล้ามาดื่มพร้อมกับแกล้ม ร้านนี้เป็นที่ชุมนุมของเรือแดงที่ขนส่งแม่ค้าและสินค้ามาจากอยุธยา มาพักรอแม่ค้าที่นำสินค้ามาขายแล้วซื้อสินค้าจำเป็นกลับไปขายที่ผักไห่เสนา บ้านแพนอยุธยา

เมื่อว่างพวกนายท้ายเรือและเด็กท้ายก็จะมานั่งดื่มเหล้าเพื่อเป็นการฆ่าเวลาให้หมดไปเพราะขับเรือแม่น้ำมันกว้างไม่เหมือนขับรถที่ถนนมันแคบเมาแล้วขับเรือสบายกว่ากันเยอะ

ไพฑูรย์สั่งกับแกล้มไปหลายอย่างบริกรค่อยทยอยเอามาเสิร์ฟกับแกล้มจานหนึ่งถือมาถูกสกัดแล้วยกเอาจานไปบริกร เอะอะได้ยินไปถึงหูของไพฑูรย์

”ไม่ได้ของโต๊ะโน้นเขา ของน้าสมานยังไม่ได้เอาคืนมานะ”

ไพฑูรย์หันไปมองก็เห็นคนที่ชื่อสมาน ตักกับแกล้มกินหน้าตาเฉยแถมยังหันมาสบตากับไพฑูรย์แล้วพูดลอยๆว่า

”มีอะไรไหมกูจะแดกเสียอย่าง”

ไพฑูรย์ไม่ต้องการมีเรื่องจึงไม่ต่อปากต่อคำหันกลับไปดื่มเหล้า
กินกับแกล้มที่มีอยู่เพื่อรอกับแกล้มจานใหม่

ไม่นานนักบริกรก็ยกจานกับแกล้มมาวางตรงหน้าไพฑูรย์ยังไม่ทันจะได้กินชายคนที่บริการเรียกว่าน้าสมานก็เดินมาหยิบจานกับแกล้มตรงหน้าไพฑูรย์ไปหน้าตาเฉย

ไพฑูรย์ไม่ว่าพอน้าสมานหันตัวกลับก้าวขาเดินไพฑูรย์ก็สอดขาขัดร่างของน้าสมาน น้าสมานก็หัวคะมำตำพื้นจานกับแกล้มหล่นแตกเสียงคนหัวเราะกันครืนใหญ่

น้าสมานลุกขึ้นตาขวางหนวดกระดิกด้วยความโกรธที่ไพฑูรย์ขัดขาให้ล้ม

”มึงแน่นักหรือไอ้หน้าจืดตัวเท่าลูกหมา”

” ก็นายเดินไม่ดูนี่หว่าสะดุดตีนจนหัวคะมำยังมาโทษคนอื่นอีก”

น้าสมานวาดลวดลายมวยวัด ชกไพฑูรย์แบบสายฟ้าแลบอดีตนายทหารพระธรรมนูญเบี่ยงไหล่หลบซ้ายขวาหมัดก็ชกอากาศเท้าขวายันเข้าไปที่ลิ้นปี่ดังถนัด น้าสมานเด้งไปข้างหลังกระแทกโต๊ะล้มระเนระนาดลูกค้าแตกฮือ

ลุกขึ้นมาได้น้าสมานเข้ามาเป็นเป้านิ่งให้ไพฑูรย์ซัดจนเอนไปมา เสียงลูกน้องของน้าสมานร้องตะโกนแล้วโยนสิ่งหนึ่งมาให้น้าสมานรับ

”ลูกพี่เอามันเลย”

สิ่งที่น้าสมานรับมาคือมีดซุยปลายแหลมเปี๊ยบ ตะลุยแทงไพฑูรย์แบบไม่ต้องยั้ง ไพฑูรย์ถอยให้พ้นรัศมีมีดซุย พอน้าสมานแทงเสียหลัก ไพฑูรย์ก็ยกเก้าอี้ตีโครมลงไปบนกบาลของน้าสมานเสียงดังโพล๊ะ เก้าอี้ไม้แดงตันตัน ทำให้น้าสมานหยุด แต่ไม่ล้มเพียงแต่เข่าอ่อนไพฑูรย์ตีซ้ำอีกครั้งแบบว่าจะให้สลบ

ไพฑูรย์เล่าว่าแทนที่จะล้มน้าสมานกลับมีกริยาอาการกระปรี้กระเปร่าเหมือนไม่ได้ถูกตีกลับพื้นสติ มีดในมือแทงแบบไม่นับอีกครั้ง ไพฑูรย์ต้องตีสกัดแต่หยุดน้าสมานไม่ได้ ยิ่งตี น้าสมานก็ยิ่งพุ่งเข้าหา เสียงนกหวีดดังลั่นตำรวจโรงพักพระราชวัง 3 นายเข้ามาใช้ปืนขู่น้าสมานแล้วจะจับใส่กุญแจมือ

ท่าไม่ดีแล้วเพราะตำรวจอาจจะจำได้ อาชญากรหนีคุกจะไปไม่รอด เก้าอี้ตีตวัดขึ้นที่ปลายคางจนน้าสมานตาลอยทิ้งเก้าอี้แล้ววิ่งออกจากร้านไม่คิดชีวิตตํารวจไล่ตามแต่ไม่ทันไพฑูรย์กลับนางเลิ้งได้อย่างปลอดภัย เล่าเรื่องให้พี่เสงี่ยมฟังจนจบจึงกล่าวว่า

”เท่าที่เปีย เล่ามาพี่รู้แล้วเปียเจอกับศิษย์สำนักหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบเข้าแล้ว”

หลวงพ่อขันท่านเป็นอาจารย์สักชื่อดังแห่งบางบาล ท่านสัก 2 อย่าง อย่างแรกสักให้เป็นคู่ให้จับคู่กันเรียกว่า”บุตร-ลบ” เป็นพระโอรสของพระรามกับนางพระนางสีดาคนหนึ่งสักพระบุตรอีกคนหนึ่งสักพระลบ กับสักหนุมาน ที่เปียเจอเป็นผู้สักหนุมานอนุภาพแห่งการสักหนุมานนั้นเมื่อถูกตีอย่างจังจะทรุดลงไปจังหวะที่คู่ต่อสู้ตีซ้ำลงไปนี่ตรงนี้แหละสำคัญ

เมื่อถูกตีครั้งที่ 2 เจ้าของลายสักจะฟื้นคืนสติเหมือนเดิมคราวนี้ยิ่งตี ยิ่งแทง ยิ่งฮึด มีกำลังเพิ่มขึ้น ไพฑูรย์เจอคนพวกนี้แล้วเหนื่อย พวกเรือแดงเป็นศิษย์หลวงพ่อขันวัดนกกระจาบกันทั้งนั้น

ลายสักหลวงพ่อขันนั้นแน่นักหลวงพ่อหรุ่นของพวกเรายังยกย่องว่า บารมีดี

ไพฑูรย์ฟังแล้วงงแต่ก็เจอมาด้วยตัวเองจึงต้องเชื่อและไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลายสักหนุมานของหลวงพ่อขันวัดนกกระจาบจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ร่ำๆ จะไปสักกับหลวงพ่อขัน แต่ไม่มีเวลาเพราะต้องแหกคุกถูกจับเข้าคุกตะลอนหนีมือกฎหมายจึงไม่มีโอกาสได้ไปสักกับหลวงพ่อขันสักทีได้แต่จดจำประสบการณ์ที่ได้ต่อสู้กับน้าสมานนายท้ายเรือแดงจอมกวนที่ทำให้ได้ประจักษ์ว่าลายสักหนุมานหลวงพ่อขันท่านแน่จริง

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : ภาพยนตร์เรื่อง หนุมาน คลุก ฝุ่น
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: