3655. มหาโจรกลับใจ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในชีวิตของไพฑูรย์ที่เข้าออกคุกจนเหมือนเป็นบ้านก็เพราะชะตาชีวิตที่ลิขิตให้เป็นไปตามสิ่งที่เรียกว่า”ดาวโจร” แต่ดาวโจรที่โหราศาสตร์ว่าไว้นั้นระบุว่าวงโคจรที่เข้ามาก่อให้เกิดผลต่อผู้ที่ตกฟากพอดีกับฤกษ์ดาวโจรปีหนึ่งมีไม่กี่ชั่วโมงจึงนับว่าบุคคลที่เกิดในฤกษ์ดาวโจรต้องมีชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตให้อยู่ใต้ดาวโจร

ครั้งพุทธกาลก็เช่นเดียวกันกับลูกชายปุโรหิตแห่งพระเจ้าพิมพิสารเมื่อตกฟากดาวโจรก็โคจรมาพอดีแถมยังเกิดเหตุสายฟ้าตกต้องท้องพระคลังแสงเก็บศาสตราวุธอาวุธในท้องพระคลังแสงกระทบกันเกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบ

โหรประจำราชสำนักพระเจ้าพิมพิสารตรวจดูดวงดาวก็กราบทูลพระเจ้าพิมพิสารและขอให้มีรับสั่งประหารบุตรท่านปุโรหิตเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

กษัตริย์ผู้มีจิตเป็นเมตตาต่อสรรพสัตว์ทรงมีรับสั่งว่า

”อันดาวโจรหรือจะเหนือกว่าการที่อบรมบุตรท่านปุโรหิตให้รู้จักความเมตตารู้จักรับผิดชอบชั่วดีเราขอตั้งนามบุตรของท่านปุโรหิตว่า อหิงสะกะ แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนหากภายภาคหน้าอหิงสกะกลายเป็นมหาโจรเราจะออกประหารอหิงสกะด้วยตัวเองอันจะให้เราประหารทารกผู้ไม่รู้เรื่องราวที่ปราศจากความผิดเราจักไม่ทำเป็นเด็ดขาด”

อหิงสกะเติบโตขึ้นมาถูกอาจารย์ทิศาปาโมกข์แห่งสำนักตักศิลา หลอกลวงให้กลายเป็นโจรออกฆ่าคนจำนวน 1000 ชีวิตเพื่อจะได้เล่าเรียนสุดยอดวิชาแห่งตักศิลา ถ้าได้ 1 ศพก็ตัดนิ้วหัวแม่มือมาตากแห้งร้อยเชือกทำเป็นพวงมาลัยสวมคอชาวแคว้นมคธจึงให้ฉายาว่าองคุลีมาลหมายถึงผู้สวมมาลัยที่ร้อยด้วยนิ้วมือคน

ตอนแรกก็ฆ่าบุรุษกับทหารที่ออกตามล่าเมื่อหาไม่ได้ก็ฆ่าสตรีเพื่อให้ได้ครบ 1000 นิ้ว

ก่อนรุ่งอรุณพระบรมศาสดาทรงตรวจโลกด้วยข่ายพระญาณว่าวันนี้มีผู้ใดบ้างที่จะเสด็จไปโปรดก็ปรากฏภาพขององคุลีมาลทรงรู้ว่าในวันรุ่งทีใกล้จะถึงองคุลีมาลจะประกอบอนันตริยกรรมมาตุฆาตผู้เป็นมารดาตนซึ่งออกตามหาบุตรที่เป็นมหาโจรเพื่อจะบอกว่าพระเจ้าพิมพิสารยกกองทัพใหญ่ออกตามประหารให้รีบหนีออกจากแคว้นมคธ พระองค์จึงจะเสด็จ ไปโปรดองคุลีมาลในเวลาอันสมควร

หลวงพ่อช่วงวัดบางแพรกใต้ได้รับนิมนต์มาเทศนาโปรดสัตว์ในนรกบางขวางทุกวันเสาร์ตอนเช้าจากนั้นทางเรือนจำได้จัดภัตตาหารใส่ปิ่นโตหลวงพ่อช่วงนำไปฉันเพลที่วัดเมื่อท่านเทศนาเรื่ององคุลีมาลนักโทษมาถามว่า

”สงสัยจริงหลวงพ่อองคุลีมาลฆ่าคนมามากกว่าผมแต่สำเร็จอรหันต์ได้ทำไมพวกผมฆ่าคนไม่มากบางคนก็แค่ศพเดียวแต่กลับมาตกนรกหมกไหม้อยู่ที่นี่”

หลวงพ่อช่วงตอบคำถามนักโทษซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นไพฑูรย์นั่นเอง

”ตามพระบาลีบอกไว้ชัดเลยว่าองคุลีมาลขาดเจตนาในการฆ่าคนเพราะองคุลิมาล เชื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่าฆ่าคนแล้วจะสำเร็จวิชาการฆ่าไม่ได้มีความโกรธแค้นมาก่อนฆ่าเพราะคิดว่าไม่บาป”

สมัยนั้นพราหมณ์ยังมีอิทธิพลเหนือราชสำนักในแคว้นต่างๆองคุลีมาลศึกษา พระเวทของพราหมณ์จนจบโดยเฉพาะ ภควัตคีตา อันเป็นโศลกปรากฏในมหากาพย์มหาภารตยุทธ์เป็นตอนที่พระกฤษณะอัญเป็นพระกฤษณาอวตารแห่งองค์พระนารายณ์ได้ร่ายโศลกให้พระอรชุนที่ขับรถศึกออกทำสงครามกับเครือญาติของตนเอง

พระอรชุนทรงท้อพระทัยหลังจากผลาญชีวิตบรรดาพี่น้องที่ดาหน้ากันเข้ามาต่อสู้จนคันศรที่น้าวสุดหล้าแล้วขณะนั้นกลับไม่ปล่อยลูกศรออกจากแหล่ง

พระกฤษณะได้ร่ายพระโศลกความว่า

”อันอาตมันกายแห่งมวลมนุษย์นั้นพระพรหมสร้างให้มีช่องว่างระหว่างอนุภาคทั้งหลายที่ประกอบกันเป็นอาตมันกายไม่ว่าจะเป็นคมศร คมอาวุธหรือแม้แต่ปลายหอก ปลายดาบ ปลายมีด ล้วนแทรก ล้วนฟัน ล้วนแทง ไปในท่ามกลางความว่างเปล่าระหว่างช่องอนุภาคที่ประกอบกันเป็นอาตมันกายหาได้เป็นการล้างผลาญแห่งชีวิตมนุษย์ไม่จึงมิได้เกิดบาปแต่อย่างใด”

สิ้นคำพระกฤษณะ พระอรชุนก็เกิดมานะปล่อยศรออกจากแหล่ง ชักม้าเข้าตะลุยศึกจนประสบชัยชนะเป็นการสิ้นสุดมหาภารตยุทธ์อันยาวนานภายใต้โศลกแห่งพระกฤษณะ

องคุลีมาลจึงยึดเอาโศลกแห่งความว่างเปล่าที่พระกฤษณะร่ายถวายเป็นที่ตั้งโดยไม่รู้ว่าเป็นบาปแม้ในขณะที่ลงดาบฆ่าคนก็มีจิตที่คิดว่าไม่เป็นบาปแต่ฟันลงไปในความว่างเปล่าการกระทำที่ขาดเจตนาและองค์ประกอบพระบรมศาสดาจึงเสด็จไปโปรด

การไปโปรดก็มิได้เสด็จไปด้วยพระองค์เองแต่ทรงปรากฏกายทิพย์แห่งพระองค์ขึ้นขวางหน้าระหว่างองคุลีมาลกับผู้เป็นมารดาที่จะลงดาบสังหารเป็นการปิดท้ายให้ครบ 1000 คน องคุลีมาลไล่ตามหลังสมเด็จพระบรมศาสดาไปติดติดวิ่งตามจนหมดแรงล้มลุกคลุกคลานก็ได้แค่ตามไปติดติดไม่ทันสักทีที่สุดก็ร้องตะโกนว่า

”หยุดเถิดท่านนักบวชเราหมดแรงจะตามท่านแล้วขอท่านได้โปรดหยุดเจรจากับเราเถิด”

”ดูกรอหิงสกะเราคือพุทธะ เป็นศาสดาแห่งพุทธศาสนาเราหยุดแล้ว”

อหิงสกะตกใจเป็นอย่างยิ่งก็เพิ่งพบกันครั้งแรกกลับรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของตนก็เกิดความสนใจแต่ยังถือดีพูดกลับไปว่า

”ท่านว่าเป็นพุทธะเป็นศาสดาแห่งพุทธศาสนาใยท่านปดกับเราซึ่งหน้า เราวิ่งตามท่านมาตลอดท่านไม่หยุดจนเราหมดแรงแต่ท่านกลับบอกว่าท่านหยุดแล้ว ”

”หยุดในความหมายของเราคือการหยุดเบียดเบียนชีวิตทั้งปวง”

”เราหาได้เบียดเบียนชีวิตไม่ เรามิได้สังหารแต่เราฟันลงไปในความว่างเปล่าแห่งอาตมันกาย”

”ดูกรอหิงสกะ ไม่มีความว่างเปล่าในร่างกายมนุษย์แม้แต่ท่านเองลองหยิกร่างกายของท่านดูเถิด จะเห็นว่ามีความเจ็บปวดคมอาวุธที่กระหน่ำลงไปบนร่างกายมนุษย์หาได้เป็นช่องว่างไม่ ท่านสังหารมนุษย์มา 999 คนคนที่ 1 พันคือผู้เป็นมารดาของท่านคนที่ท่านฆ่ามาแล้วหาได้มีกรรมหนักเท่ามาตุฆาตไม่”

ทันใดใบไม้ก็ร่วงลงจากต้นไม้มาเบื้องหน้า อหิงสกะมองดูด้วยความฉงนพระบรมศาสดาตรัสกับอหิงสกะว่า

”ดูกร อหิงสกะชีวิตมนุษย์ก็ดุจใบไม้ผลิใบดำรงใบที่มีสีเขียวจากนั้นก็เหี่ยวแห้งร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ดุจชีวิตมนุษย์แม้มิมีผู้สังหารก็ย่อมตายไปตามกาลเวลาท่านไปสังหารชีวิตมนุษย์ก็ดุจท่านไปเด็ดใบไม้ที่มีสีเขียวออกจากกิ่งก้านโดยไม่ถึงวาระอันสมควร นั่นคือบาปอันเกิดจากการเบียดเบียนเพราะท่านสังหารคนเหล่านั้นแล้วท่านไม่สามารถคืนชีวิตให้พวกเขาได้ อีกประการหนึ่ง ท่านสังหารมนุษย์คนหนึ่งยอมทําให้เกิดความทุกข์จากการพลัดพรากสิ่งอันเป็นที่รัก พ่อพรากลูก สามีพรากภรรยา ญาติพี่น้องต้องพลัดพรากจากกันเป็นความทุกข์ที่ทำให้ท่านได้รับทุกข์หนักขึ้นไปอีกจงหยุดการสังหารมนุษย์และสัตว์โลกทั้งปวงเสียให้หมด มุ่งหน้าในการปฏิบัติธรรมตามที่เราพุทธะจะนำทางท่านไป จงเดินทางไปแสวงหาเราที่เซตวันมหาวิหารนั้นเถิด”

การทิพย์ขององค์สมเด็จพระทศพลหายไปจากคลองจักษุ องคุลีมาลทิ้งดาบลุกขึ้นเดินทางจากป่าสู่เส้นทางไปยังเชตวันมหาวิหารตลอดเส้นทางที่เดินผ่านไปผู้คนวิ่งหนีกันวุ่นวาย คิดว่าองคุลีมาลแต่ไหนแต่ไรดักฆ่าคนอยู่ในป่าในเขาแต่วันนี้ออกจากป่ามาฆ่าคนถึงในนิคมคาม ผู้คนที่อยู่ในเชตวันมหาวิหารแตกตื่นกันยกใหญ่ ด้วยเสียงตะโกนว่า องคุลีมาลมาแสวงหานิ้วมือมนุษย์ถึงเชตวันมหาวิหารแล้ว

สมเด็จพระบรมศาสดาทางให้พระอานนท์นำอหิงสกะเข้าเฝ้าฯ ทรงอุปสมบทให้เป็นพระสาวกในเพลานั้น เมื่อพระเจ้าพิมพิสารทรงทราบจากทหารว่า องคุลีมาลบุกเข้าไปยังพระคันธกุฏี เพื่อปกป้องพระชนม์ชีพของสมเด็จพระบรมศาสดาจึงรีบนำกำลังทหารมา

เมื่อเข้าไปยังพระคันธกุฏีก็พบว่าอหิงสกะในเพศสมณะนั่งพับเพียบสงบอยู่เบื้องหน้าพระบรมศาสดา พระเจ้าพิมพิสารคุกเข่าลงถวายสักการะสมเด็จพระบรมศาสดา กราบทูลว่า

”ข้าพระองค์พร้อมกำลังทหารออกล่าตัวองคุลีมาลแบบพลิกแผ่นดินมคธ มิอาจสยบองคุลีมาลลงได้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเพียงลำพังกลับสยบองคุลีมาลลงได้พระพุทธองค์ทรงดับทุกข์ให้ชาวแค้วนมคธทั้งหมด”

ภิกษุอหิงสกะอุ้มบาตรออกมาบิณฑบาตทุกเช้า แต่กลับมาพร้อมด้วยบาตรแตก เนื้อตัวมีแต่ร่องรอยถูกทำร้าย แต่กลับมีใบหน้าแช่มชื่นด้วยทำตามที่พระบรมศาสดาทรงตรัสสอนว่า พึงดำรงขันติธรรมให้มั่น ดับโทสะทั้งหมด ไม่โต้ตอบด้วยกาย วาจา และใจ ด้วยนี่คือการชดใช้กรรมอันเกิดจากการกระทำของตัวเอง

กาลเวลาผ่านไปชาวแคว้นมคธก็ยอมรับภิกษุอหิงสกะพากันใส่บาตรเช่นเดียวกับภิกษุทั่วไปพระภิกษุองคุลีมาลปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์จนที่สุดก็มีดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ไพฑูรย์บอกว่าจดจำพระธรรมเทศนาของหลวงพ่อช่วงวัดบางแพรกใต้ได้แม่นยำ จนสามารถเล่าให้ผู้เขียนฟังได้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อตนออกจากคุกก็ได้ทราบว่าหลวงพ่อช่วงมรณภาพไปแล้ว จึงได้แต่ไปกราบรูปหล่อของท่านที่วัดด้วยความอาลัย

ไพฑูรย์บอกว่าองคุลีมาลสำเร็จเป็นพระอรหันต์ด้วยบารมีแห่งสมเด็จพระบามศาสดา แต่ไพฑูรย์ยุติความคิดในการแหกคุกกลับมาทำตัวเป็นนักโทษชั้นดีด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อบรรดาสัตว์ผู้ยากในแดนนรกบางขวางด้วยการพระราชทานอภัยโทษในปีพทธศักราช 2500 กึ่งพุทธกาล

ซีวิตของอดีตนักโทษประหารที่มีคดีติดตัวรุงรัง จอมอาชญากรที่นรกเมิน ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจนกว่าซีวิตจะหาไม่

หลวงพ่อช่วงเป็นพระที่มีผิวกายผุดผ่องด้วยอำนาจแห่งศีลนักโทษประหารหลายรายที่ท่านได้มาเทศนาโปรดก่อนถูกประหาร แม้ใจทมิฬหินชาติที่เรียกว่าฆ่าคนโดยไม่กระพริบตายังต้องหลั่งน้ำตาเมื่อท่านเทศนาจบ

ท่านเป็นพระแท้รูปหล่อของท่านที่วัดมีแผ่นทองปิดหนาเป็นปึก ใครเดือดร้อนก็มากราบขอพรจากรูปหล่อของหลวงพ่อเมื่อไพฑูรย์บวชยังอุทิศกุศลให้กับหลวงพ่อช่วงด้วยใจศรัทธา

สำหรับตอนนี้ขอมอบพระคาถาเสกข้าวที่เรียกว่า ”อาพัดข้าว” ใช้เวลากินข้าวสามคำแรก พอตักข้าวเข้าใส่ปากก็ภาวนาในใจทันทีว่า

”อัตตะ ทีโต นะโมพุทธายะ”

เคี้ยวไปภาวนาไปจนกลืนเข้าคอพอตักคำที่สองเคี้ยวก็ภาวนาในใจทันทีเคี้ยวไปภาวนาไปจนกลืนเข้าคอ ตักคำที่สามเคี้ยวก็ภาวนาในใจทันที ภาวนาไปจนกลืนเข้าคอ จากนั้นก็หยุดภาวนา เป็นการป้องกันไว้ก่อน เมื่อเกิดเรื่องเกิดราวเนื้อหนังจะได้คงกระพันไพฑูรย์ย้ำว่า

”เป็นคาถาอาพัดที่เสือร้ายในอดีตไม่ว่าจะเป็นเสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร เสือฝ้าย ใช้อาพัดเหล้าแทนข้าว ไปกินดื่มที่ใดจึงไม่กลัวคนหักหลังลอบทำร้ายเพราะเชื่อใจในคาถาที่ใช้”

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : ภาพยนตร์เรื่อง ขุนพันธ์
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: