3582. เมตตาบารมีแห่งหลวงพ่อเดิม (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ทุกครั้งที่ไพฑูรย์เอ่ยถึงหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ครั้งใดเขาจะต้องยกมือพนมปลายนิ้วจรดหน้าผาก เอ่ยด้วยความระมัดระวัง เพราะไพฑูรย์ย้ำว่านับถือเหมือนเป็นพ่อบังเกิดเกล้านอกเหนือไปจากพ่อผู้ให้กำเนิดตนเองขึ้นมาบนโลกนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของประดิษฐ์ ลิ้มประยูร พขร.รถไฟ ผู้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับไพฑูรย์แต่เป็นรุ่นน้องของไพฑูรย์ ขณะที่ไพฑูรย์ต้องเข้าออกบางขวาง ปะดิษฐ์ขับรถไฟและผู้จัดงานฉลองอายุหลวงพ่อเดิมและหล่อรูปในปี

พ.ศ. 2482 ออกแบบสร้างเหรียญรุ่น 2 ทำบุญอายุและหล่อรูป ไพฑูรย์เคยพบกับประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ต่อหน้าหลวงพ่อเดิมครั้งหนึ่ง หลวงพ่อเดิมได้แนะนำให้รู้จักกันเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ได้พบกันในฐานะศิษย์ร่วมอาจารย์

ประดิษฐ์เข้าร่วมเป็นเสรีไทยกับเขาด้วยเลือดรักชาติเต็มเปี่ยมจนสงครามสงบเขาก็ยังคงขับรถไฟ แต่นับว่าโชคร้าย รถไฟที่เขาขับมีผู้เอาฝิ่นใส่เข่งขึ้นรถตู้บรรทุกมาจนถึงหัวลำโพง ถูกจับแต่ไม่ปรากฎเจ้าของจะด้วยเหตุใดไม่รู้ ประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ถูกจับกุมด้วยข้อหาค้าฝิ่น แต่ประดิษฐ์สู้เย็บตา ไม่ยอมตกเป็นแพะ เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จึงถูกขังที่เรือนจำคลองเปรมเก่า ที่ปัจจุบันถูกรื้อทำสวนสาธารณะแต่คงรูปกำแพงด้านหน้าเอาไว้เป็นอนุสรณ์

ไพฑูรย์เล่าว่า ฝิ่นของกลางที่ถูกจับได้ถูกเล่นแร่แปรธาตุกลายเป็นส้มมะขามเปียกแทน ส่วนฝิ่นกลายเป็นเงินเข้าไปสู่พรรคการเมืองพรรคหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการเลือกตั้ง ที่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมามีการโกงอย่างที่เรียกว่า “หน้าด้าน” มีทั้งพลร่ม (เวียนเทียนลงคะแนน) “ไพ่ไฟ” (เอาบัตรที่กาแล้วแอบยัดใส่ในตู้ลงคะแนน) “ผีหลอกกลางวัน” มีการขนคนมาเอาชื่อย้ายเข้ามายัดในเขตเลือกตั้ง “ซื้อคะแนน” พรรครัฐบาลชนะขาด มีการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษาประชาชนเพื่อคัดค้าน (ตอนนั้นไพฑูรย์อยู่ในคุก)

ขบวนประท้วงเดินมาจนถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ ก็เจอแนวต้านของทหารมิให้เคลื่อนที่ไปลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีนายทหารคนหนึ่งที่ต่อมาได้รับฉายาว่า “วีรบุรุษมัฆวาน” ออกมายืนพูดขอร้องประชาชนให้หยุดและสลายตัวไปก่อน และได้ทิ้งท้ายไว้ว่า

“พบกันใหม่เมื่อชาติต้องการ”

นายทหารผู้นั้นต่อมาได้ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ล้มรัฐบาลภายใต้การนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่หนุนหลังโดย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์และกองทัพตำรวจที่เรียกว่า “สิงห์เชิ้ตดำ” จอมพล ป. หนีออกนอกประเทศไล่เลี่ยกับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ นายทหารผู้นั้นต่อมาได้เลื่อนยศเป็น จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีประโยคที่ติดหูผู้ฟังอยู่เสมอ

“ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

ประดิษฐ์หมดเงินสู้คดี ทางเดียวที่เหลืออยู่คือหาเงินมาสู้คดีด้วยการเขียนจดหมายให้ภรรยาไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อเดิม ขออนุญาตสร้างรูปหล่อบูชาหาเงินมาสู้คดี กรรมการวัดค้านแต่หลวงพ่อเดิมอนุญาตเพราะท่านญาณหยั่งรู้ได้ว่าศิษย์รักของท่านถูกใส่ความ รูปหล่อรุ่นนี้รู้จักกันในนามรุ่น ประดิษฐ์ลิ้มประยูร ออกในปี 2493 ได้เงินมาสู้คดีจนศาลยกฟ้องในที่สุด ประดิษฐ์ ลิ้มประยูร ใช้ชีวิตบั้นปลายที่ จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปแล้ว

ไพฑูรย์บอกว่า นี่คือความรักความเมตตาที่หลวงพ่อเดิมมีต่อศิษย์ทุกคน ไพฑูรย์เป็นศิษย์ เป็นอาชญากร ในสายตาของตำรวจและคนทั่วไปคือคนชั่ว แต่ในสายตาของหลวงพ่อเดิมคือ ศิษย์ของหลวงพ่อ ในตอนที่หลวงพ่อเดิมมรณภาพในปี พ.ศ.2494 ไพฑูรย์อยู่ในบางขวาง เป็นนักโทษชั้นดีผู้ช่วยผู้คุม มิอาจไปร่วมงานได้ ได้แต่ก้มลงกราบหันหน้าไปทางทิศเหนืออันเป็นที่ตั้งของวัดหนองโพเท่านั้น เมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2500 ได้เดินทางไปกราบรูปหล่อหลวงพ่อเดิม หูยังได้ยินเสียงปืนที่ปะทะกับตำรวจขณะไปร่วมงานหล่อรูปหลวงพ่อเดิมในปี พ.ศ.2482 ก้องอยู่ในความทรงจำ

คุณพระกล้ากลางสมรตอนนั้นปลดเกษียณแล้ว แต่ไพฑูรย์มิได้ไปพบเพราะถือว่าทุกอย่างจบกันไปแล้ว สำหรับคุณพระกล้ากลางสมรนั้นท่านเป็นมือปราบ ส่วนไพฑูรย์เป็นอาชญากรเส้นทางเดินคนละทาง คุณพระกล้าต้องปราบเสือร้ายเยี่ยงไพฑูรย์ ไพฑูรย์ก็ต้องหนีให้พ้นแม้เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันก็ตามทีเถิด

ไพฑูรย์ได้เล่าถึงการได้ไปนมัสการ หลวงพ่อโชติ วัดตะโน อยู่แถบบางแวกภาษีเจริญ ตอนที่ไพฑูรย์ไปนมัสการท่านนั้นไปกับเจ้าอำไพ เพราะเจ้าอำไพเป็นคนบางแวกและเป็นศิษย์หลวงพ่อโชติ หลวงพ่อโชตินั้นนั้นอดีตท่านเป็นเสือร้ายที่ทางการต้องการตัว หลวงพ่อโชติกับหลวงพ่อสินสมัยก่อนเป็นสหายสนิทกัน บุกป่าฝ่าหนามหนีการจับกุมจนในที่สุดก็เห็นว่าควรจะบวชเพื่อรักษาศีลภาวนาและออกธุดงค์ไปตามป่าตามเขา จนในที่สุดเมื่อคดีหมด อายุความแล้วหลวงพ่อโชติได้รับนิมนต์เป็นเจ้าอาวาสอีกวัดหนึ่ง

หลวงพ่อโชติท่านเก่งเรื่องเชือกคาด เพราะท่านได้เรียนวิชานี้มาจากหลวงพ่อชม วัดสิงห์ จ.เพชรบุรีถักแบบที่เรียกว่า “ลายกระดูกงูหัวเป็นลูกตะกร้อ” ทำจากผ้าขาวที่นำไปคลุมโลงศพคนตายโหงแล้วพลีมาฉีกเป็นเส้นเล็กๆ ลงอักขระทุกเส้นนำมาถักเป็นเชือกคาดเรื่องคงกระพันและมหาอุดเป็นยอด ป้องกันอสรพิษก็เยี่ยมนักทีเดียวเชียว ไพฑูรย์ว่าเคยทดลองยิงเชือกคาดที่เอวของเจ้าอำไพ ปรากฏว่าปืนไม่ลั่น พอเอากระสุนใส่เข้าไปใหม่ หันปากกระบอกขึ้นฟ้าเหนี่ยวไกกระสุนลั่นตูมสนั่น ไพฑูรย์บอกว่าหลายครั้งที่ร่วมผจญภัยด้วยกัน เชือกคาดหลวงพ่อโชติที่เอวเจ้าอำไพคุ้มชีวิตไว้ได้ ถูกยิงกลิ้งทูตแต่ไม่เป็นอันตราย เป็นเพียงรอยช้ำบริเวณที่ถูกยิงเท่านั้น

ตอนที่ไปหาหลวงพ่อโชติเมตตาจะทำให้ไพฑูรย์แต่ต้องรอไพฑูรย์มิอาจรอได้จึงไม่อาจรอได้จึงไม่ได้เชือกคาดวัดตะโน ออกจากคุกแล้วไปหาท่านอีกปรากฏว่าหลวงพ่อโชติมรณภาพไปเสียแล้ว ได้แต่กราบรูปหล่อของท่านแทนพร้อมรำลึกถึงความหลังเท่านั้นเพราะตอนนั้นเจ้าอำไพก็เพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

ไพฑูรย์เล่าว่า มีพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูปที่เป็นเสือกลับใจมาบวช หนึ่งในจำนวนนั้นคือ หลวงพ่อทองศุข วัดโตนหลวง ท่านเป็นอดีตเสือร้ายที่ได้ปาวารณาตนกลางป่าว่า หากรอดชีวิตไปได้จะบวชตลอดชีวิต ท่านเล่าให้ไพฑูรย์ฟังเมื่อครั้งไปมนัสการว่า หากรอดชีวิตจากไข้ป่าได้จะบวชตลอดชีวิต ท่านดั้นด้นออกจากป่ามาสลบอยู่ที่ป่าช้าท้ายวัดบางวันทอง สมุทรสงคราม หลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง มาพบเข้าได้ให้ชาวบ้านหามไปรักษาที่วัดจนรอดตายมาได้ หลวงพ่อทองศุขได้เล่าความจริงให้ฟัง หลวงพ่อตาด วัดบางวันทอง จึงนำไปบวชอีกวัดหนึ่ง แล้วขึ้นกรรมฐานและธุดงค์วัตรให้ออกธุดงค์ไปจนกว่าจะหมดกรรมคือสิ้นอายุความ

หลวงพ่อทองศุขแบกกลดธุดงค์มาถึงวัดโตนดหลวง ได้ปักกลดอยู่ท้ายวัด ชาวบ้านพอใจในสมรณสารูปจึงนิมนต์ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดโตนดหลวง ท่านมีวิชาลงกระหม่อมด้วยขมิ้นชันหลาวปลายเป็นยันต์ครู ได้รับการครอบมาจากหลวงพ่อตาดอุปัชฌาย์ของท่าน หากมีลูกแรกเป็นชายยันต์นั้นจะปรากฏอยู่บนกระหม่อมเห็นได้ชัดก่อนจะเลือนหายไปเมื่ออายุ 3 ขวบ

เมื่อไพฑูรย์ไปนมัสการท่านนั้น หลวงพ่อทองศุขท่านได้เมตตาให้เข้าไปนมัสการ ครั้นเมื่อจะลงกระหม่อมท่านไม่ลงให้ท่านบอกกับไพฑูรย์ว่า

“ไม่ต้องลงซ้ำหรอกโยมท่านผู้ลงกระหม่อมให้โยมเป็นผู้แก่กล้าในวิชายิ่งนัก ถึงแม้อาตมาจะลงซ้ำไปก็ไม่เหนือไปกว่านั้นแล้ว โยมนี้ดาวโจรคอยประคับประคองชีวิตนี้อยู่ไม่สุข แต่ตอนนี้หากจะเดินทางให้ขึ้นเหนือเถิด”

ท่านเพียงแต่เป่าศีรษะให้เท่านั้น ไพฑูรย์นมัสการลาหลวงพ่อทองสุขกลับไปชะอำเพื่อพักผ่อนรอเวลากลับหัวหิน เพื่อหนีลงใต้ แต่เปลี่ยนใจเมื่อหลวงพ่อทองศุขทักให้ขึ้นเหนือ ไพฑูรย์ว่ามันน่าขนลุก ตำรวจกองปราบกับกองเมืองได้กลิ่นไพฑูรย์บุกเข้าชาร์จแต่ไม่พบตัวไพฑูรย์ หนังสือพิมพ์ลงข่าวตำรวจคว้าน้ำเหลวในการล่าตัวไพฑูรย์ที่ชะอำตามที่สายรายงาน

ไพฑูรย์บอกว่าหากไม่ได้หลวงพ่อทองศุขทักให้ขึ้นเหนือคงถูกจับแน่นอน นับว่าหลวงพ่อทองศุขท่านมีญาณวิเศษที่หยั่งรู้เหตุการณ์ได้ล่วงหน้าเหมือนตาเห็นทำให้ไพฑูรย์พ้นน้ำมือตำรวจไปได้หวุดหวิด ทั้งยังสามารถสัมผัสกับอาถรรพ์ที่หลวงพ่อเดิมได้ลงไว้บนกระหม่อมของไพฑูรย์ไม่ลงซ้ำเพราะเคารพในอาวุโสและอำนาจแห่งพลังดังที่ไพฑูรย์ได้เล่ามาแล้วแต่ต้น

ไพฑูรย์บอกว่าในโลกนี้มีพระเกจิอาจารย์เกิดขึ้นมาเป็นระยะๆ สุดแต่ว่าใครจะได้เจอของจริงหรือราคาคุยเท่านั้น ไพฑูรย์ยังได้นำเอาคำปรารภของพระคุณเจ้าท่านเจ้าคุณนรรัตนธัมมะวิตักโก วัดเทพศิรินทราวาส มาท่องให้ผ็เขียนฟังก่อนยุติการสนทนาเพราะต้องเดินทางป่างต้นฉบับที่สำนักพิมพ์อื่นว่า

“ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง”

ที่มา : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพ : ขอบคุณท่านเจ้าของรูปด้วยครับ

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: