3626. ต่อดวงชะตา (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เพลงของสุนทราภรณ์เพลงหนึ่งที่มีเนื้อร้องตอนหนึ่งว่า “ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่”

ไพฑูรย์บอกว่าชอบร้องเพราะชีวิตตัวเองเหมือนกับเรือน้อยที่ลอยลำอยู่ในมหาสมุทรแห่งชีวิต

บางครั้งชีวิตก็ประสบกับความสุขที่เมื่อหนีออกจากเรือนจำบางขวางแล้ว ได้ที่ซ่อนตัวที่ดีทำให้การตามล่าของตำรวจทำการไม่ได้ผล แต่หลายครั้งที่ต้องหลบหนีการตามล่าหัวซุกหัวซุน เพราะตำรวจดักทางไว้ถูก

มีอยู่ครั้งหนึ่งจวนตัว ถึงขนาดตำรวจไล่หลังมา ก้นบุหรี่ยังกรุ่นควัน ต้องใช้คาถากำบังตาที่หลวงพ่อเดิมประสิทธิ์ประสาทให้ บทที่ว่า

นะ ห้าม
โม ปิด
พุท มิดหัว
ธา ล้อมตัว
ยะ หายตัวนะบัดนี้
นะ จงงง โม จังงัง พุทกำบัง ธาละลาย ยะสูญหาย อนัตตาสูญเปล่า

ภาวนาแล้วให้กลั้นลมหายใจอุบไว้ ทำให้ตำรวจที่ตามล่ามองไม่เห็น พอหายใจเข้าก็ภาวนาใหม่ให้ใจมั่น พอตำรวจพ้นผ่านไปแล้วจึงหนีต่อไป รอดมาได้ทุกครั้ง มักมีผู้ถามไพฑูรย์แบบตีแสกหน้าว่าใช้ได้ทุกคนหรือเปล่า ไพฑูรย์จะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า

“ใช้ได้กับทุกคนแต่ต้องบอกกับดวงพระวิญญาณของหลวงพ่อเดิม ขอประสิทธิเสียก่อน ส่วนจะมีผลหรือไม่ อยู่ที่จิตของผู้ใช้ว่ามั่นคงขนาดไหน หากมั่นคงจริงใจก็จะเกิดผล แต่ถ้าหากเป็นวิกิจฉา(โลเล) เหมือนที่โบราณว่า “เหมือนหัวเต่าที่ยืดเข้ายืดออก” ท่านว่าอย่าเอาไปใช้เลย อย่างไรเสียก็ไม่ได้ผล เพราะจิตไม่มั่นคงคอยคิดแต่ว่าหายตัวได้หรือเปล่า ขลังไหม ก็มัวคิดอย่างนี้ทุกอย่างก็จบ

ไพฑูรย์เองเคยใช้คาถานี้เมื่อจวนตัว ตำรวจที่ล่าเดินผ่านหน้าไปโดยไม่ดูด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เป็นเพียงพุ่มไม้ที่ไม่หนาทึบอะไรนัก หลวงพ่อเดิมท่านคุ้มไพฑูรย์อยู่เสมอ หากคนใช้คาถามั่นคง หลวงพ่อเดิมท่านก็ช่วย หากไม่มั่นใจท่านก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี”

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอีกภาคหนึ่งที่ไพฑูรย์หลบหนีไปซ่อนตัว โดยเฉพาะอำเภอพิมาย มีญาติห่างๆไปทำไร่อยู่ที่นั่น เป็นญาติทางบิดา ชื่อสมจิต อำเภอพิมายในสมัยนั้นการคมนาคมลำบากมาก ต้องนั่งเกวียนหรือไม่ก็จักรยานยนต์ซึ่งก็นับคันได้ ไร่ของอาสมจิตกว้างใหญ่ไพศาล เพราแกไปบุกเบิกด้วยตัวเองและซื้อจากรายอื่นๆให้ติดเป็นผืนเดียวกัน เลี้ยงวัว เพื่อให้นายฮ้อยนำไปขายที่ปากช่อง ทำไร่ข้าวโพด ทำนาข้าวเหนียวไว้กิน

เมื่อไพฑูรย์ไปถึง อาสมจิตก็ทักว่า

“เอ็งมาพักร้อนละซีแหกบางขวางมาอีกกระมัง เปียเอ๊ยเมื่อใดหลานอาจะใช้ชีวิตแบบเดียวกับคนอื่นเขาบ้าง ยอมรับโทษ อย่าแหกคุกเพิ่มโทษให้ตัวเองอีกเลย”

“มันเป็นนรกครับอา นรกที่ใครไม่มีโอกาสได้เข้าไปจะไม่รู้เลยว่าข้างในมันเป็นอย่างไรกันแน่ ได้แต่บอกว่าดี ไอ้พวกนักโทษเดนตายถูกกักไว้ข้างในสมน้ำหน้า ให้มันตายโหงตายห่าไปให้หมดเรื่อง”

“เอาละๆ มาแล้วก็ไปอยู่กระท่อมท้ายไร่ข้าวโพดโน่น สะดวกสบายทุกอย่าง ข้าปลูกไว้เอง เอาไว้นอนเปลี่ยนอิริยาบถอีกอย่างก็เพื่อดักจั่นห้าวหมูป่ามันชุมโว้ย เวลามันยกโขยงมากินข้าวโพดเสียหายเป็นไร่ๆต้องเอาจั่นห้าวดักได้เนื้อมากินได้มันมาเจียวน้ำมัน

เดินตามทางที่เป็นทางเดิน อย่าผ่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าสะดุดจั่นห้าวจะกลายเป็นหมูป่าไป”

ไพฑูรย์อาศัยอยู่ในกระท่อมปลายไร่ข้าวโพด มีอาหารส่งมาให้กินสองมื้อ เช้ากับเย็น มีข้าวเหนียวเป็นพื้นกับข้าวก็เป็นแบบท้องถิ่นไพฑูรย์บอกว่ากินอร่อย ทำไมจะไม่อร่อยเล่าก็ในคุกมีแต่ข้าวแดงกินฝืดคอ แกงส้มมีแต่ผักแต่ไม่เคยเห็นปลาเป็นชิ้น ผู้คุมบอกว่ามีให้เลือกสองอย่างคือ แดกกับไม่แดก ไม่แดกก็ทนหิวไปจนถึงเย็นไม่แดกอีกก็ช่างไรเล่า ป่วยก็หามไปเรือนพยาบาลรักษา รักษาไม่ได้จะตายขึ้นมาก็ส่งไปโรงพยาบาล เอาโซ่ล่ามติดไว้กับเตียง หายแล้วก็กลับคุก

คืนนั้นได้ยินเสียงปืนยิงต่อสู้กันแล้วเงียบไป ไพฑูรย์พร้อมปืนพกสองกระบอกออกจากกระท่อมมาซ่อนตัวในป่าข้าวโพด เสียงปืนเงียบแล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงปืนดังสองนัด จากนั้นก็เงียบไปถึงสว่าง ไพฑูรย์กลับเข้ากระท่อมเมื่อฟ้าสาง พอสายหน่อยอาสมจิตก็มาพร้อมกับคนส่งอาหาร พอไพฑูรย์กินอาหารเสร็จแล้วก็เอ่ยถามว่า

“เมื่อคืนอาเป็นห่วง เสือมายขุนโจรร้อยศพมันหนีตำรวจเข้ามาในไร่ เมื่อคืนตำรวจไล่ล่ามันเข้าไป อาเตือนตำรวจแล้วว่าอาดักจั่นห้าวไว้ อย่าตามเข้าไปแต่ไม่เป็นผล เมื่อเช้าอาไปดูก็พบตำรวจถูกจั่นห้าวสาหัสไปสองนาย ตอนบ่ายอาต้องไปให้ปากคำ ส่วนเสือมายอาว่ามันคงจะวนเวียนอยู่แถวไร่นี่แหละ เพราะตำรวจเขาปิดทางเข้าออกไว้หมดแล้ว ถ้าเปียเจอมันก็เอ่ยชื่ออาก็แล้วกันจะได้เป็นเพื่อนกันไว้”

ตอนกลางวันไพฑูรย์ก็ไปซุ่มอยู่ในไร่ข้าวโพด เพราตำรวจเข้ามาตรวจไปทั่วไร่ข้าวโพดด้วยกลางคืนเกรงจั่นห้าวของอาสมจิต ทั้งๆที่อาสมจิตได้ให้ความร่วมมือกับตำรวจด้วยการปลดจั่นห้าวในไร่ วันแห่งการพบกันระหว่างไพฑูรย์กับเสือมายก็มาถึง ขณะที่ไพฑูรย์ซุ่มอยู่ในไร่ข้าวโพดก็ได้ยินเสียงผิดปกติจึงชักปืนออกมาเตรียมพร้อม ต้นข้าวโพดสั่นไหวตรงมาทางที่ไพฑูรย์ซ่อนอยู่

พลันร่างของชายแก้มซ้ายบากตาเหล่ก็โผล่ออกมา พร้อมปากกระบอกปืนที่จ้องตรงมาไม่ต้องพูดจากไพฑูรย์ก็ยิงสามทันที ชายหน้าบากก็ยิงเหมือนกัน

“แป๊ก แชะ แป๊ก แชะ”

ไม่ลั่นทั้งสองฝ่าย ไพฑูรย์เฉลียวใจร้องบอกอีกฝ่ายหนึ่งว่า

“เสือมายใช่มั้ยกูไพฑูรย์หรืออ้ายเปียหลานอาสมจิต”

“พวกเดียวกันโว้ย กูเสือมายเป็นเสือลำบากโว้ย ไอ้พวกกระนั้นมันปิดทางออกเลยหนีมาทางนี้ไปคุยกันที่กระท่อมดีกว่า”

เสือมายพูดจบก็นำหน้าพาไพฑูรย์ไปที่กระท่อม ไพฑูรย์จุดบุหรี่ตราฆ้องส่งให้เสือมายสูบ เสือมายรับไปอัดไม่กี่พรืดก็หมดมวนเพราะไม่ได้สูบมาหลายวัน

“พี่สมจิตเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันว่า มีหลานชื่อไพฑูรย์ เป็นนักโทษอยู่เรือนจำบางขวางแหกคุกเป็นว่าเล่น นี่มึงคงแหกคุกออกมาอีกละซีถ้า”

“เรื่องธรรมดา กูสาบานไว้ว่าหากลมหายใจกูยังมี กูก็จะแหกคุกตลอดไป ขังได้ก็แหกได้ไม่เห็นแปลก”

ขณะนั่งคุยกัน เสือมายขอตัวไปปล่อยทุกข์หนักในป่าอ้อย พอหันหลังเดินออกไปจากกระท่อมไพฑูรย์เล่าว่า
“ศีรษะของเสือมายที่เห็นอยู่กลับเลือนหายไป โบราณท่าบอกว่าคนๆนั้นชะตาขาด หากมองเห็นเช่นนี้แล้วให้ทำพิธีต่อศีรษะ ผ่อนหนักเป็นเบาได้ จึงเรียกเสือมายด้วยเสียงอันดัง”

เสือมายหันมา ไพฑูรย์บอกว่าให้มาเอาบุหรี่ไปสูบฆ่าเวลา พอเสือมายเดินกลับมานั่งรอบุหรี่ไพฑูรย์ก็เอาขันกลั้นใจครอบศีรษะของเสือมาย ท่ามกลางความงุนงงของเสือมายจนเอ่ยถามว่า

“เอาขันมาครอบหัวกูทำไม มึงทำพิธีอะไรของมึง”

“เปล่า เป็นวิธีการเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนที่กูถือปฏิบัติเหมือนชาวอีสานผูเสี่ยวนั่นแหละ เดี๋ยวมึงก็เอาขันครอบหัวกูบ้าง”

เสือมายหยิบขันมาครอบศีรษะของไพฑูรย์แล้วหัวเราะตัวงอ ไพฑูรย์ก็หัวเราะบ้าง ไพฑูรย์เล่าว่าหากเห็นใครก็ตาม ถ้าอยู่ดีๆแล้วมองเห็นว่าหัวไม่มี ก็ให้เอาขันน้ำกลั้นใจครอบหัว แล้วอย่าบอกอะไรกับคนที่ทำพิธีให้ เคราะห์ร้ายจะบรรเทาผ่อนหนักเป็นเบา

ใกล้รุ่งคืนนั้น ตำรวจบุกเข้ามาที่กระท่อมท้ายไร่ ไพฑูรย์กับเสือมายออกขากกระท่อม เข้าไปในป่าข้าวโพด ยิงสู้พลางถอยพลางไพฑูรย์บอกกับเสือมายว่า

“แยกกันหนีเถิด กูไปทางมึงไปทาง ไม่นานก็คงจะพบกันอีก”

“ได้เลยไอ้เปียกูจะไปทางนี้เอง”

ไพฑูรย์คลำทางออกมาทางด้านหนึ่งของไร่ เห็นตำรวจซุ่มปิดทางอยู่จึงหันหลังกลับ แต่ฟ้าสางเสียแล้ว ตำรวจที่ไล่ล่าเสือมายก็ย้อนกลับมาทางไพฑูรย์หนีกลับเข้ามาจวนตัว ไพฑูรย์หนีกลับเข้าไปในดงข้าวโพดริมทางเดินภาวนาคาถาหายตัวกลั้นใจ ตำรวจนายหนึ่งเกิดปวดท้องฉี่ร้องบอกเพื่อนว่าหยุดเดี๋ยวจะฉี่แล้วเดินมาที่ไพฑูรย์ซ่อนอย่างประชิดตัว ปลายเท้าข้างหนึ่งอยู่ตรงที่ไพฑูรย์ซ่อนอยู่ ปล่อยฉี่ใกล้จนได้กลิ่นฉุนกึ๊ก

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีใครเห็น ต่างเดินจากไป เป็นอีกครั้งที่ไพฑูรย์รอดมาได้เพราะคาถากำบังตัว ไพฑูรย์ได้พบกับเสือมายอีกครั้งในเรือนจำบางขวาง เสือมายบอกว่าหลังจากแยกกันกับไพฑูรย์แล้วก็ต่อสู้กับตำรวจ ตัวเองก็บาดเจ็บเพราะตำรวจชุดไล่ล่ายิงกระสุนตัดเชือกคาดตะกรุดขาดจากเอว พวกหนึ่งจะวิสามัญแต่พวกหนึ่งไม่ยอม เสือมายจึงรอดมาได้ แต่ถูกผ่าตัดเอาลำไส้ที่แตกเพราะลูกปืนทิ้ง เสือมายกระซิบถามว่า

“อาจารย์ผมข้องใจไม่หาย ทำไมอาจารย์ถึงเอาขันครอบหัวผมเหมือนเด็กเล่น มันคงมีอะไรลึกกว่านั้นแน่”

“โบราณบอกว่าถ้ามองเห็นใครก็ตามหากเงาหัวไม่มีละก็ให้เอาขันครอบแล้วอย่าบอกเหตุผลให้คนที่ถูกขันครูครอบหัวรู้จะผ่อนหนักเป็นเบา”

“มิน่าเล่าหมอถึงบอกว่าโชคดี เพราะถ้าลูกปืนขึ้นสูงกว่านี้เพียงสองสามนิ้วก็จองศาลาสวดศพได้เลย”

ว่าแล้วไพฑูรย์กับเสือมายก็จ้องหน้ากันแล้วระเบิดเสียงหัวเราะงอหาย จนเพื่อนนักโทษพากันสงสัยว่าไอ้สองคนนี้เป็นบ้าไปเสียแล้วกระมัง โลกภายนอกคุกก็มีเพื่อน ในคุกก็มีเพื่อน ไพฑูรย์นั้นไม่ค่อยชอบรวมพวกหมู่ แต่ชอบอยู่คนเดียว จึงได้รับฉายาสิงโตหินที่ไม่ยินดียินร้ายกับสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเองแต่อย่างใด

(หลายคนคงจะไม่เข้าใจนะครับคนหนังเหนียวไม่ใช่จะเหนียวตลอดเวลาจะเหนียวก็เฉพาะเวลาจวนตัวหรือเข้าต่อสู้เท่านั้นมิฉะนั้นเสือไพฑูรย์กับเสือมายคงไม่ต้องสุ่มหลบตำรวจสู้เดินออกไปยิงกันตรงๆจะดีกว่าเพราะหนังเหนียวตลอดเวลา ดังคำพระท่านว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ไม่ว่าจะหนังดีแค่ไหนไม่ประมาทเป็นดีที่สุดครับ)

เสือไพฑูรย์หนังเหนียว แต่ก็ถูกงูกัดได้ เสือมายหนังเหนียวยิงไม่เข้าแต่ก็ถูกมีดของหมอผ่าตัดเอาไส้ที่แตกออกได้ เสือฝ้ายก็ถูกยิงตาย อแวสะดอที่ว่าเหนียวๆยังตายยาพิษ ฯลฯ หลายครั้งที่นำเสนอไปเเล้วนะครับว่าเสือหนังเหนียวก็ตายเป็น เมื่อถึงเวลา ดวงชะตาถึงคาด ต่อให้หนังดีแค่ไหนก็ต้องแพ้ให้แก่เวรกรรม

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: