3694. อโหสิกรรมขุนตระเวนปราบอริพ่าย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

อโหสิกรรมขุนตระเวนปราบอริพ่าย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ชีวิตมนุษย์เราท่านว่าเป็นไปตามพรหมลิขิตโดยเชื่อกันว่าพระพรหมคือผู้ให้กำเนิดแก่มนุษย์โดยได้สร้างพรหมลิขิตให้ติดมากับผู้ที่จะเกิดมาในโลกมนุษย์เพื่อให้มีชะตาชีวิตเป็นไปตามที่พระพรหมได้ลิขิตเอาไว้โดยอาศัยดวงดาวนพพระเคราะห์ที่โคจรอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของมนุษย์ที่เกิดมาเรียกกันว่า”ตกฟาก”

ตกฟากเป็นภาษาโหราศาสตร์หมายถึงเด็กทารกที่คลอดออกมาจากครรภ์ของผู้เป็นมารดาสูติแพทย์จะจับขาทารกน้อยโดยเอาศีรษะห้อยลงแล้วตบก้นแรงๆหนึ่งป่าบ เด็กจะตกใจร้องอุแว้ออกมา นางพยาบาลจะมองดูนาฬิกาแล้วบันทึกลงในสูจิบัตรว่าเป็นเวลาเท่าใดนั่นแหละเรียกว่าเวลา”ตกฟาก”

โหรจะคำนวณดูว่า ณ เวลานั้นดวงอาทิตย์สถิตที่ใด ดาวนพเคราะห์อีก 8 ดวงอยู่ตำแหน่งใดในจักรราศีจึงบันทึกลงไปเป็นตัวเลข 1-9 เรียกว่าดาวเดิมหรือดาวเกิด ดาวนพเคราะห์เก้าดวงจะเดินเป็นวงกลมเรียกว่าโคจรไปตามจักรราศีต่างๆเมื่อจะดูดวงของใครก็ตาม โหรจะเอาดาวเดิมหรือดาวเกิดที่อยู่ในดวงตั้งแล้วใช้ดาวจรมาเทียบ จึงเกิดคำว่า ทับตรีโกณ จตุโกณ เล็ง ฯลฯ อย่าไปใส่ใจเลยเพราะนั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญสำหรับเราท่านแต่เป็นเรื่องของโหรที่ใช้ทำมาหากิน

มนุษย์เราไม่มีใครอยากเป็นอาชญากรแต่ด้วยบาปเคราะห์หรือด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ต้องกลับกลายเป็นอาชญากรอย่าไปโทษว่าเป็นพรหมลิขิตถ้าจะโทษต้องโทษตัวเองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายๆ

ไพฑูรย์บอกว่าถ้าไม่ตกเป็นทาสของความแค้นแต่รู้จักให้อภัยก็คงไม่มีจอมอาชญากรหมายเลข 1 ที่ถูกตัดสินประหารเพราะยิงขุนตระเวนปราบอริพ่ายตกเป็นทาสของความแค้นทำให้ไพฑูรย์ก่อคดีอุกฉกรรจ์กลายเป็นนักโทษประหาร

เมื่อเข้าสู่เส้นทางแห่งอาชญากรแล้วประตูเปิดสู่โลกของคนดีก็ปิดตายเพราะนักโทษมหันตโทษแม้พ้นผิดก็มีตราบาปติดตัวผู้คนเรียกว่า”ขี้คุกขี้ตาราง” แม้คิดจะกลับตัวกลับใจแต่คนรอบข้างก็ระแวงว่าจะกลับมาก่อคดีอีก ไปสมัครงานที่ไหนพอรู้ว่าเป็นนักโทษที่พ้นโทษมาก็ไม่ยอมรับ

เมื่อไม่มีทางให้เดินในโลกของผู้คน ก็ต้องหันหลังกลับไปสู่เส้นทางอาชญากรอีกครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะ นี่แหละคือความจริง

ไพฑูรย์เองต้องบวชหลังจากได้รับพระราชทานอภัยโทษเพื่อปรับชีวิตหลังพ้นจากเรือนจำบางขวางไพฑูรย์จำได้ว่าเมื่อเดินออกจากประตูเรือนจําบางขวางมิได้หันหลังกลับไปมองอีกเลยเดินดุ่มๆไปข้างหน้ากระโดดขึ้นสามล้อถีบให้ปั่นไปวัดที่ได้แจ้งความจำนงไว้เพื่อขอพบท่านเจ้าอาวาสเพื่อเตรียมตัวอุปสมบทต่อไป

เมื่อตอนที่บวชเป็นพระเต็มรูปแบบแล้วไพฑูรย์กรวดน้ำอุทิศให้บิดามารดาตลอดจนเจ้ากรรมนายเวรที่ได้ผลาญชีวิตทุกคนขอให้มารับส่วนกุศลในการบวชขออโหสิกรรมต่อกันอย่าได้ตามล้างผลาญกันไปถึงชาติพบหน้า ผู้เขียนถามไพฑูรย์ตรงๆว่า

”เคยพบเจ้ากรรมนายเวรตอนบวชอยู่หรือไม่”

ไพฑูรย์ไม่ตอบแต่พยักหน้าจากนั้นจึงได้เล่าเรื่องเจ้ากรรมนายเวรที่ได้พบในคืนแรกแห่งการเป็นพระภิษุ ไพฑูรย์เล่าว่าได้นอนหลับฝันไปว่าได้กวาดลานวัดอยู่ในตอนเช้ามืดทันใดนั้นขุนตระเวนปราบอริพ่ายก็ปรากฏร่างขึ้นตรงหน้าหน้าอกแดงฉานไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่ถูกยิง

ร่างนั้นจ้องมองดูไพฑูรย์ด้วยสายตาที่ไม่เคียดแค้นไพฑูรย์ยืนจ้องประสานตากับขุนตระเวนปราบอริพ่ายจึงตกใจตื่น ฝันซ้ำกันอย่างนี้สามวันเต็มๆ

เช้าวันที่ 4 ออกบิณฑบาตแล้วก็กรวดน้ำให้ขุ่นตระเวนฯโดยตรงโดยกล่าวว่า

”ท่านขุนกับผมดวลกันแบบยุติธรรมแต่ผมเป็นฝ่ายชนะตอนนี้ผมล้างมือมาบวชเป็นพระ มดไต่ยุงตอม ผมก็ไม่ตบไม่บี้ทำมือของผมที่เคยฆ่าคนมามากให้เป็นมือที่สะอาด ผมอุทิศกุศลให้ท่านขุนตระเวนฯ โดยตรง หากคุณหลวงมีญาณวิถีก็ขอให้ได้รับกุศลที่ผมอุทิศให้”

หลังจากนั้นประมาณ 2 อาทิตย์ตอนเพลก็มีสุภาพสตรีกับนายตำรวจยศนายร้อยตำรวจตรีหนุ่มและสุภาพสตรีสาวคนหนึ่งมาด้วยมาพร้อมกับภัตตาหาร ที่ได้จัดเตรียมมา มีลุงเปี่ยม มรรคนายกนำหน้ามา เสียงลุงเปี่ยมร้องบอกว่า

”พระไพฑูรย์มีญาติโยมนำภัตตาหารมาถวายช่วยแสดงตัวรับด้วย”

”อาตมาเองโยมมีกิจอันใดกับอาตมาหรือบอกมาเถิดหากช่วยได้จะช่วย”

”เจ้าค่ะๆจำท่านแทบไม่ได้เวลามันผ่านมานานมากตอนนั้นท่านยังหนุ่มๆอยู่อิฉันไปดูหน้าท่านเวลาไปขึ้นศาลพิจารณาคดีที่ท่านยิงท่านขุนตระเวนปราบอริพ่ายสามีของอิฉัน อิฉันนางน้อมภรรยาหม้ายท่านขุนตระเวนปราบอริพ่ายเจ้าค่ะ”

ไพฑูรย์เล่าว่าตนเองนั้นนั่งนิ่งตัวชา ไม่คิดว่าจะได้พบภรรยาหม้ายของท่านขุนตระเวนฯแบบกะทันหันแบบนี้ พอได้สติก็พูดกับภรรยาหม้ายของท่านขุนตะเวนฯ

”ผมเสียใจครับคุณนายแต่ทุกอย่างมันย้อนกลับไปไม่ได้ผมต้องตกนรกทั้งเป็นทนทุกข์ทรมานในเรือนจำบางขวางด้วยโทษประหาร 2 คดีจำคุกอีกรวมกันเป็นร้อยกว่าปี ถูกซ้อมหลายสลบ เพิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณอภัยโทษถึงมาบวชเพื่ออุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรกับผู้ที่เคยล้างชีวิตทุกคนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่”

”เมื่อ 3 คืนก่อนหน้านี้ท่านขุนตระเวนฯไปเข้าฝันอิฉันในฝันท่านขุนฯบอกกับอิฉันว่า แม่น้อมจัดสำรับกับข้าวไปถวายพระไพฑูรย์ เอาโกศอัฐิฉันไปด้วยจะได้อโหสิกรรมแก่กัน จะได้ไม่ไปผูกเวรกันในชาติหน้าต่อไปอีก

ท่านขุนบอกชื่อวัดเสร็จสรรพ ตื่นขึ้นมายังได้ยินเหมือนเสียงตะโกนข้างหูจึงหากระดาษดินสอมาจดเอาไว้นัดลูกสาวและลูกชายมาด้วยกันเพื่อถวายภัตตาหารเพล เจอกับมรรคนายกจึงสอบถาม พอรู้ว่าท่านอยู่บนหอฉันจึงตามขึ้นมานิมนต์ฉันภัตตาหารแล้วค่อยอุทิศส่วนกุศลให้ท่านขุนตระเวนฯ

ฉันภัตตาหารแล้วคุณน้องภรรยาหม้ายท่านขุนตระเวนฯให้ลูกชายเชิญโกศอัฐิท่านขุนตระเวนฯขึ้นมาตั้งพร้อมรูปถ่ายเมื่อเป็นนายตำรวจ

”อิฉันขอนิมนต์ท่านไพฑูรย์ได้ประกอบพิธีอโหสิกรรมตามที่คุณหลวงไปเข้าฝันด้วยเจ้าค่ะ”

ไพฑูรย์นิมนต์ท่านเจ้าอาวาสมาประกอบพิธีอโหสิกรรมท่านเจ้าอาวาสให้ไพฑูรย์นั่งพนมมือหันหน้ามาทางโกศบรรจุอัฐิท่านขุนตระเวนฯบอกกับคุณน้อมภรรยาหม้ายท่านขุนตระเวนฯว่า

”คุณนายกับลูกชายและลูกสาวไปจุดธูปเทียนบูชาพระจากนั้นมานั่งพนมมือหันหน้ามาทางพระไพฑูรย์อาตมาจะได้ประกอบพิธีให้เสร็จไปตามความประสงค์ของท่านขุน”

เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านเจ้าอาวาสจึงเป็นคนกล่าวคำอโหสิกรรมต่อดวงวิญญาณท่านขุนตระเวนปราบอริพ่ายว่า

”อดีตเสือไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามที่เคยฆ่าคุณหลวงในการดวลปืนกันที่บ้านคุณหลวงบัดนี้ได้ชดใช้กรรมที่ได้ก่อมาจนหมดสิ้นแล้วจึงมาบวชเพื่ออุทิศกุศลให้กับผู้ที่ถูกฆ่าตายทุกคน รวมทั้งท่านขุนตระเวนฯด้วยพระภิกษุไพฑูรย์แจ้งให้อาตมาทราบว่าขออโหสิกรรมต่อหน้าโกศอัฐิของท่านขุนว่าเสียใจที่ลั่นไกปืนสังหารท่านขุน ขอท่านขุนได้โปรดอภัยให้สิ้นสุดกรรมต่อกันในชาตินี้ จักได้ไม่ต้องไปเข่นฆ่าจองเวรกันต่อไปอีกขอให้ท่านขุนตลอดจนภรรยาและบุตรชายบุตรสาวทั้งสองได้อโหสิกรรมแก่พระภิกษุไพฑูรย์ขอให้คุณนายและทายาทของท่านขุนได้อนุโมทนาร่วมอโหสิกรรมด้วย”

” เวระปฏิเวรังอตีตัง อนาคตัง ปุจจุปันนัง เวระปฏิเวรังอโหสิกัมมัง นิพพานปัจจุโยโหตุ สาธุ” ทั้งภิกษุไพฑูรย์คุณนายน้อมและบุตรชายบุตรสาวต่างกล่าวคำว่าสาธุพร้อมกัน

ไพฑูรย์เล่าว่าตาไม่ฝาดควันธูปแทนที่จะลอยขึ้นไปตรงๆกับวนเป็นวงกลมลอยมายังโกศบรรจุอัฐิท่านขุนตระเวนฯ แล้วลอยอยู่เหนือโกศบรรจุอัฐิก่อนสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยคุณนายน้อมกับบุตรชายบุตรสาวถวายปัจจัยใส่ของถวายท่านเจ้าอาวาสและพระไพฑูรย์ก่อนจะเชิญโกศอัฐิท่านขุนกลับบ้าน

นับแต่วันนั้นมาท่านขุนตระเวนปราบอริพ่าย มิได้มาปรากฏในฝันของไพฑูรย์จนกระทั่งสึกมาทำงานไพฑูรย์บอกว่าเป็นเรื่องประหลาดที่แม้กาลเวลาจะผ่านไป 30 ปีกว่าแต่ดวงวิญญาณท่านขุนตระเวนปราบอริพ่ายยังคงวนเวียนรออยู่จนไพฑูรย์อุปสมบทจึงมาขออโหสิกรรมต่อกัน…จบตอน

ในตอนนี้ขอมอบพระคาถาที่เรียกว่า”คาถามหารูด”
คาถามหารูด(ใช้กับตะกรุดมหารูดหรือเสกเปล่าๆไม่มีตะกรุดมหารูดก็ได้”
เมื่อจะเข้าต่อสู้ให้เอามือตบหน้าท้อง ภาวนาว่า

”กะ ระ มะ ทะ”

เมื่อจะให้แคล้วคลาดให้เอามือขวาตบเอวซ้ายภาวนาว่า

”กิ ริ มิ ทิ”

เมื่อจะให้เป็นเมตตาให้เอามือซ้ายตบเอวด้านขวา ภาวนาว่า

”กุ รุ มุ ทุ”

เมื่อจะหนีศัตรูมิให้ตามทันให้เอามือขวาหรือซ้ายตามถนัดตบที่กระเบนเหน็บด้านหลังแล้วภาวนาว่า

”เก เร เม เถ”

ใช้ร่วมกันเรียกว่าหัวใจสี่เกลอ
”กะ ระ มะ ทะ กิ ริ มิ ทิ กุ รุ มุ ทุ เก เร เม เถ”

ใช้ได้ครอบจักรวาลตามแต่จะต้องการ
ไพฑูรย์ย้ำว่าคาถาเกิดจากการภาวนาจะเกิดผลหรือไม่อยู่ที่ใจผู้ใช้ว่ามั่นใจหรือไม่ หากมั่นใจคาถาจะขลัง ถ้าไม่แน่ใจหรือที่หลวงปู่ภูเคยสอนศิษย์กรายๆ ว่า

”มนุษย์เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนคนโบราณ คนโบราณเขาเชื่ออะไรเขาเชื่อแล้วมั่นแต่มนุษย์ปัจจุบันมันเป็นพวกที่เรียกว่า กระมัง อย่างนี้กระมัง ดีกระมัง ไม่ดีกระมัง ใช้ได้กระมัง ใช้ไม่ได้กระมัง มัวแต่กระมังๆ เลยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างพระท่านบอกว่า ”วิกิจฉา”สงสัยมันไปหมดทุกอย่างเอาดีอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก : สองยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: