3797. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 1 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 1 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

นาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลา ๑๙.๒๐ น. บริเวณโดยรอบสถานีขนส่งเอกมัยขวักไขว่ผู้เดินทางชาย-หญิงและเด็กเล็ก รกบัส บ.ข.ส. วิ่งเวียนกันเข้าออกสถานีเพื่อรับส่งผู้ใช้บริการกลางแสงไฟสว่างจ้าราวกลางวัน เสียงใสๆ ของโฆษกหญิงประกาศผ่านทางลำโพงที่ติดตั้งไว้โดยรอบชี้แจงเส้นทางและเวลาที่รถแต่ละสายจะให้บริการ

หนุ่งฉกรรจ์ร่างหนาทึบ ใบหน้าสี่เหลี่ยม ผมทรงรากไทรในชุดสีน้ำเงินก้าวยาวๆ ไปเปิดประตูรถฝี่งคนขับ แล้วรั้งตัวเองขึ้นนั่งประจำตำแหน่งโเฟอร์ก่อนดึงประตูปิด ผมนั่งทัศนาอาการเคลื่อนไหวภายในชานชาลาทั้งรถและคนดังกล่าวได้อีกพักหนึ่ง ปรากฏหนุ่มฉกรรจ์หน้าเข้ม ติดหนวดหนาเตอะ แต่งกายรัดกุมเดินแหวกผู้คนเข้ามาหา จึงเขม้นตาพิจารณา เขายิ้มกว้างพลางค้อนร่างลงทักทายพอได้ยิน่

“หวัดดีเปี๊ยก จำเราได้ไหม?….ชาญ ระยองยังไงล่ะ”

ผมฉุกนึกถึงเค้าหน้าไอ้หนุ่มเมืองกวีเอกขึ้นมาได้ในบัดนั้น

“โอ…ชาญ ไว้หนวดชะจนจำไม่ได้ เกือบ ๑๐ ปีแล้วที่ไม่ได้เจอกันนั่งก่อนสิ”

ชาญ ระยองขยับไปนั่งยังที่ว่างซ้ายมือ ปากกล่าวด้วยทีท่าและน้ำเสียงปีติ

“เปี๊ยกแลผิวคล้ำไป ไม่คิดจะได้พบก็พบ เรายืนมองอยู่นานถึงตัดสินใจเข้ามาทัก เป็นยังไงเพื่อนมีโชคบ้างไหม”

“ไม่เลย”

“เจอเสืออบหรือเปล่า?”

ผมสั่นหน้าแทนปฏิเสธ อดีตนักเลงคุมคิวหน้าแคมป์สมัยอู่ตะเภาเฟื่องชักต่อ ตามองถุงเป้สีเทาข้างกาย

“นี่เปี๊ยกจะไปไหน?”

“ไปเรื่อยๆ ให้สุดภาคนี้เลย ถ้ามีงานทำก็จะทำ”

“ทำไมไม่ไปหาเฮียซุ้ยล่ะ?”

“อยากใช้ชีวิตอิสระ”

ชาญนิ่งอึ้งคล้ายครุ่นคิด ผมล้วงบุหรี่ออกส่งให้เพื่อน เขายิ้มรีล้วงไฟแซ็กจุดบุหรี่ให้ก่อน พอถอนไฟจากปลายบุหรี่เพื่อนถามอีกประโยค

“ตอนนี้มีจุดหมายหรือยัง?”

“ว่าจะไปจันท์?”

“ทำไมไม่ลองเข้าไปเสี่ยงโชคที่ #บ่อทอง พนัสนิคมดูละ เสี่ยโยชน์แกเจอแร่พลวง นักขุดแร่จากจันท์แห่ไปกันเพียบ ข่าวว่า #ผู้ใหญ่ย้ง เป็นเจ้าพ่ออยู่”

ผมไม่ต่อความทันที เพราะตังเองขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะมุ่งยังจังหวัดใดก่อน ดังนั้นการพูดถึง #แร่พลวง ที่ ส.ส.ชลบุรี (พ.ศ.๒๕๑๒) พบในเขตอำเภอพนัสนิคม ตำบลบ่อทอง จึงทำให้สะดุดใจ ใคร่ลองขึ้นไปแสวงโชค

“ถ้าไม่อยากอยู่เมืองชลก็ลองเที่ยวแถวระยองไหมล่ะ เรามีเพื่อนสนิทอยู่ จะเขียนจดหมายแนะนำให้”

“เขียนมาก็ได้ เผื่อเราเข้าระยอง”

ชาญหันรีหันขวาง ผมถาม “หาอะไร?”

“กระดาษกับปากกา”

ผมคว้าถุงเป้หยิบปากกาหมึกแห้งกับฉีกกระดาษโน้ตยื่นส่งให้เขาวางแผ่นกระดาษกับท่อนขาแล้วก้มลงเขียน

“รุณ เพื่อนรัก เราขอฝากเพื่อนให้ช่วยสนับสนุนหางานทำให้ด้วยนิสัยดีมาก…เรื่องทางบ้านปล่อยให้เงียบสักพักเราจะกลับ…ชาญ”

พอเเขาเงยหน้าขึ้น ผมถามบ้าง “จะไปตามหานายรุณนี่ได้ที่ไหน?”

“เปี๊ยกไปลงรถที่ตลาดตำบลสองสลึง อำเภอแกลง ถามหารุณ ตาแดง คนที่นั้นเขาจะบอกทันที”

“ดังเหรอ?”

“พอตัว เพื่อน”

“งั้นเราไปคืนนี้เลย”

“แจ๋ว…เปี๊ยกคอยที่นี่นะ เราจะไปซื้อตั๋วให้”

อีก ๗ นาที ๒ ทุ่มครึ่งใต้แสงดาวของคืนข้างแรม บัส บ.ข.ส. สายจันทบรี-กรุงเทพฯ ที่ผมนั่งโดยสารมาพร้อมผู้โดยสารชาย-หญิงเต็มทุกที่นั่งผ่านเข้าพื้นที่ชลบุรีกลางความมืดและแสงไฟสองข้างทางสลับไปมาได้บอกถึงความเติบโตอย่างรวดเร็ว สภาพเศรษฐกิจที่คาดกันว่าหลังจากอเมริกาถอนฐานบิน บี.๕๒ ที่อู่ตะเภาแล้วจะซบเซาก็เกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ทั้งนี้ เพราะภูมิภาคชายฝั่งทะเลตะวันออกมีทรัพยากรสมบูรณ์ทั่งในน้ำและบนดิน อีกทั้งมีแหล่งม่องเที่ยวมากมายทุกจังหวัด

รถชะลอความเร็วเมื่อใกล้ย่าน “กิโล ๑๐” ปลายเขตพื้นที่ชลบุรีอันเคยเป็นแหล่งพำนักในอดีตเมื่อเกือบทศวรรษยังคงทิ่งซากโรงเรือนและอาคารสถานบันเทิงรถร้างไว้บางแห่งในความมืด บรรดาอาคารร้านรวงที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่มีผุดขึ้นมากมาย รถ บ.ข.ส. จอดส่งชาย-หญิงพร้อมเด็ก โดยมีผู้โดยสารชายสวนขึ้นมาอีก ๒ คนทางด้านหลัง ถึงสนามบินอู่ตะเภา อดีตฐานบิน บี.๕๒ ของทหารอเมริกาที่เคยเฟื่องฟู บัดนี้บริเวณหน้าแคมป์มีรถสองแถวเก่าๆ จอดอยู่ ๒ คัน ฝั่งตรงข้ามมีรถเข็นขายปลาหมึกติดตะเกียงแก๊สส่องแสงวอมแวม

๓ ทุ่ม ๑๐ นาที รถ บ.ข.ส. พาหนะของผมทะยานฝ่าความมืดเข้าใกล้แสงสว่างอีกครั้ง เด็กรถโฟนมาจากด้านหลังสำนวนกวนหู “ฉางครับฉาง ขยับก้นเตรียมตัวได้”

สาวใหญ่ที่นั่งคู่กับผมลุกขึ้นคว้ากระเป๋าบรรจุสัมภาระบนราวเหนือหัวเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็มีชายสูงวัยกับวัยรุ่นเตรียมลงอีก ๒ คน รถชะลอความเร็วเมื่อเข้าย่านชุมชนตำบลบ้านฉาง (ปัจจุบันยกระดับเป็นอำเภอบ้านฉาง) ซึ่งยังมีผู้คนหนาตากว่าหน้าสนามบิน ผมบิดตัวคลายเมื่อยขบ เมื่อ ๓ ผู้โดยสารจากต้นทางลงจากรถ ๒ หนุ่ม วัย ๒๐ ปีเศษ ทรงผมรากไทรส่วนสัดไม่ต่ำกว่าแบนตัมเวต นุ่งยีนส์ใส่เสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยเสื้อยีนส์ ทั้งคู่สวนขึ้นมา ๑ ใน ๒ นัยน์ตาโต คิ้วเข้มปราดมานั่งคู่กับผม อีกคนนั่งยังฝั่งตรงข้าม รถเริ่มเคลื่อนช้าๆ เด็กรถโฟนโหวกเหวกยันรถวิ่งพ้นย่านชุมชน “ระยอง…แกลง…ท่าใหม่….เมืองจันท์”

ไฟหลายดวงบนหลังคาปิดลงอีกครั้ง ภายในรถคงสว่างเพียงสลัว ผู้โดยสารกว่า ๒๐ คนหลับไหล ไอ้หนุ่มตาโตล้วงซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าเสื้อยีนส์พลางคลำหาไฟอยู่หลายกระเป๋า ครู่หนึ่งไม่พบก็หันไปทางเพื่อนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามส่ง “ซิก”
ขอไฟจุดบุหรี่ เพื่อนหนุ่มชะโงกบอก “มึงก็รู้ว่ากูไม่ได้สูบบุหรี่”

คราวนี้พวกสะบัดหน้ามาทางผม ถามสำเนียงคนระยอง “พี่มีไฟไหม?”

ผมอยากปฏิเสธเพราะสถานที่ไม่เหมาะสมที่จะเสพ แต่ด้วยหัวอกขี้ยาเหมือนกันจึงยกก้นจากเบาะคลำหาไฟแซ็ก ก็นึกขึ้นได้ว่าใส่ไว้ในถุงเป้พร้อมบุหรี่วางอยู่บนราวรถเหนือหัว “คอยสักครู่นะ ผมใส่ไว้ในเป้” บอกพร้อมกับยืนขึ้นหยิบถุงเป้ พอทรุดลงนั่งก็รู้สึกว่าข้อศอกขวากระทบเข้ากับวัตถุแข็งๆ ที่ซอกเอวซ้ายผู้เอ่ยขอไฟ พอล้วงไฟแซ็กออกส่งให้ไอ้หนุ่มรีบรับไว้ กล่าวขอบคุณในลำคอพลางก้มลงข้างเบาะบังลมจุดบุหรี่ ปลายกรุงทอง ๘๕ แดงวาบ เขาอัดควันเข้าปอดจนแกล้มโบ๋ ควันสีเทาลอยกรุ่นขึ้นมาถูกแรงลมพัดกระจายไปด้านหลัง เขาคืนไฟแซ็กให้ ถามแทบไม่ได้ยิน

“พี่เป็นคนจันท์กระมัง?”

“ผิดครับ ผมเกิดเมืองนนท์ แต่มาโตกรุงเทพฯ”

“หุ่นพี่ถ้าไม่ทหารก็ตำรวจ…ผิดไหมพี่”

“ชาวบ้านธรรมดาครับ”

ไอ้หนุ่มตาโตยิ้มประหลาดก่อนก้มลงอัดบุหรี่ต่อ ผมผินหน้าไปนอกรถเห็นแต่ม่านมืดทะมึนดำก็ทำเป็นสนใจเพื่อเลี่ยงตอบคำถาม และลอบสังเกตอิริยาไปตามสัญชาตญาน ทั้งนี้ด้วยมั่นใจว่าวัตถุแข็งๆ ที่เหน็บอยู่ซอกเอวซ้ายนั่นต้องเป็นปืน! เมื่อนึกถึงปืน ภาพชายฉกรรจ์ ๒ คนขึ้นมาบนรถขณะจอดที่กิโล ๑๐ ผุดเด่นขึ้นมาทั้ง ๒ คนยังนั่งอยู่เก้าอี้หลังสุด ส่วน ๒ คนที่เพิ่งขึ้นที่บ้านฉางนั่งกลางรถและคู่กับผมนายหนึ่งยังคงก้มหน้าสูบบุหรี่คล้ายกระหายหนัก บางครั้งผมสังเกตพบนิ้วที่คีบบุหรี่สั่นรัวจวบกระทั่งเขาทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นและดับด้วยพื้นรองเท้า เขาหล่มองผม เมื่อเห็นผมจับตาอยู่ที่สีส้มราตรีนอกรถก็เหยียดร่างลงกึ่งนั่งกึ่งพิงปิดตาพริ้ม

เวลาล่วงไปประมาณ ๒๐ นาที รถเข้าตัวเมืองระยองโดยหยุดรับผู้โดยสารชายวัย ๓๐ ปี มีผู้โดยสารลง ๓ คน หนุ่มฉกรรจ์ทรงเตี้ยล่ำ ผมสั้นเกรียนติดหนวดไว้ใต้จมูกหนาเตอะนุ่งยีนส์ ใส่เสื้อฮาวายสีครามเข้ม บริเวณใบหน้าซีกแก้มขวามีแผลเป็นถูกของมีคมยาวราว ๕ ซ.ม. ทำให้แลน่าเกรงขาม ผู้ขึ้นมาใหม่เดินลัดเลาะเก้าอี้ไปยังเก้าอี้ว่าง ไอ้หนุ่มตาโตที่นั่งข้างผมทำทียกมือเสยผม ไอ้หนวดผมเกรียนหรี่ตาให้แล้วก้าวไปทรุดลงนั่งยังเก้าอี้ว่างด้านหลังโชเฟอร์

ผมขยับคว้าถุงเป้บนท่อนขาลุกขึ้นเพื่อเก็บไว้บนชั้นดังเดิม แต่ถือโอกาสชำเลืองไปยังท้ายรถสังเกต ๒ หนุ่มที่ขึ้นมาจากกิโล ๑๐ พบทั้งคู่นั่งอยู่คู่กันและจ้องตาเขม็งมาทางหน้ารถ จากการประมวลคร่าวๆ และจากประสบการณ์ที่ภิกขาจารยังวังวนคนเลือดข้นมาพอสมควร ผมคาดว่าผู้โดยสารชายหญิงราว ๒๐ คนตกอยู่กลางมหันตภัย แต่มิทันได้ตั้งสติแก้ไขสถานการณ์โดยเฉพาะกับตัวเอง ปรากฏเด็กรถเดินมาหา ผมมองวัยคะนองเจ้าของปากมอมเต็มตา มันยิ้มบอกสุ้มเสียงเกรงใจ

“อีกราว ๒ กิโลเมตรจะถึงบ้าน “สองสลึง” เฮียชาญสั่งให้ผมคอยเตือนพี่”

“ขอบใจครับ”

มิทันได้จัดการกับตัวเอง ไอ้หนุ่มตาโตข้างกายพรวดลุกขึ้นยืนพร้อมกระชากวัตถุดำมะเมื่อมจากซองเอวซ้าย เสียงห้าวใหญ่ของไอ้ตาโตคำรามสนั่นรถที่เริ่มชะลอความเร็วกะทันหัน “ทุกคนอย่าขยับตัวเด็ดขาด”

ผมกวาดตาไปทางด้านหลังและหน้ารถอย่างรวดเร็ว ๒ หนุ่มฉกรรจ์ที่ขึ้นมาจากกิโล ๑๐ บัดนี้ลุกขึ้นกระชับปืนสั้นสีดำมะเมื่อมส่ายปากกระบอกไปยังผู้โดยสารทุกคน ไฟในรถเปิดสว่างจ้าทุกดวง รถเริ่มเลี้ยวขวาออกจากเส้นทางถนนสุขุมวิท ที่ด้านหน้าของรถตัวโชเฟอร์เองก็ถูก “ไอ้หน้าบาก” จี้ปากกระบอก ๑๑ ม.ม. ที่ท้ายทอยบังคับให้ขับรถตามสั่ง

ผู้โดยสารตระหนกตะลึงนั่งนิ่งหน้าซีดเผือด ไอ้ตาโตเฉี่ยวตามองผมรถบัสทั้งคันเริ่มโครงเคลง ผมชะเง้อมองตามแสงไฟหน้ารถไปเห็นเส้นทางเป็นถนนลูกรัง สองฝั่งทางวิบากเป็นหมู่ไม้หนาทึบ รถบัสวิ่งโคลงเคลงหลบหลุมบ่อไปได้อีกพักใหญ่ก็หยุดลง แต่เครื่องยนต์ยังครางชัดหูในความเงียบ

“ขอขอบใจที่ให้ความร่วมมือ”

ไอ้หน้าบากที่ยืนใช้ปืนจี้ท้ายทอยโชเฟอร์กล่าวขอบคุณผู้เคราะห์ร้ายเสียงเหี้ยม

“จากนี้ พวกเราขอให้ผู้ที่นั่งทางฝั่งซ้ายมือค่อยๆ ลุกเดินลงจากรถโดยห้ามจับต้องสิ่งของทุกอย่าง ลงไปแต่ตัว…จำไว้นะ ฝั่งซ้ายมือลุกขึ้นก่อน”

ต่อมา ๒ ใน ๕ ดาวปล้นโดดลงจากรถ ไอ้ตาโตผลักเด็กรถที่มันคุมเชิงอยู่จนถลาเกือบชนเก้าอี้พร้อมสำทับตาม

“มึงลงไปก่อน”

เด็กรถปากเสียกุลีกุจอลงจากรถโดยมีผู้โดยสารแถวหน้าทยอยลงจากรถไปถูก ๒ ดาวปล้นจี้ด้วยปืนให้นอนคว่ำหน้ากับพื้นลูกรังเรียงเป็นแถว หญิงวัยกลางคนลักษณะบอกเป็นชาวสวนรีบจูงมือลูกสาววัย ๑๐ ขวบซึ่งตกใจกลัวคนร้ายร่ำไห้สะอึกสะอื้นลงจากรถ เดินพลาดขณะลงบันไดถลาล้มทั้งแม่ลูกดูน่าสมเพช ถึงผมบ้างก็ลุกเดินตามผู้โดยสารอื่นลงไปนอนคว่ำกับพื้นถนนเหมือนทุกคน จวบผู้โดยสารแถบที่นั่งขวามือถูกบัญชาให้ตามลงมาบ้างจึงรวมเป็น ๒ แถว พลันปรากฏแสงไฟรถคู่หนึ่งพุ่งมาจากเส้นทางด้านใน กระทั่งเห็นด้านหน้ารถมาสด้าปิกอัพไม่ติดป้ายทะเบียนสภาพปานกลางแต่ยังไม่ทันเห็นสีรถ ไฟบนรถ บ.ข.ส. กับเครื่องยนต์ดับวูบ

ณ ที่นั้นมือสนิท ปิกอัพดังกล่าวพุ่งไฟหน้ามายังเชลยโจรที่นอนคว่ำเป็นแถวก่อนขับเคลื่อนไปจอดประกบกับรถบัส เสียงประตูรถเปิดและปิดดังตึง ไฟฉาย ๒-๓ ดวงฉายกราดยังเหยื่อ เสียงห้าวๆ ของผู้มากับรถปิกอัพสั่งการ
“ปลดของในตัวก่อน เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๔ ขึ้นไปบนรถจัดการของบนนั้น มีเวลาแค่ ๑๐ นาที…เร็วโว้ย”

ผมนอนมองปฏิบัติการปล้นเป็นทีมโดยใช้คนรวม ๘ คน ลงมือปลดทรัพย์สินติดกายกับสัมภาระบนรถของแต่ละคนโยนลงบนกระบะรถปิกอัพพัลวันก็สะท้อนอกที่ต้องมาหมดตัวก่อนถึงจุดหมายปลายทาง พอเสร็จกิจทั้ง ๘ คนกลับขึ้นรถปิกอัพ ๑ ใน ๓ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้ารถระเบิดกระสุนปืนยิงยางล้อหน้าทั้ง ๒ เส้นของรถ บ.ข.ส. เสียงสนั่นไพร ปัง! ปัง! ปัง!

๕ คนที่นั่งทับกองกระเป๋าผู้โดยสารอยู่บนกระบะส่งเสียงไชโยโห่ร้องปานชนะศึกใหญ่ ครู่เดียวมาสด้าปิกอัพกับ ๘ ดาวปล้นก็วิ่งตะกุยฝุ่นทะยานลิ่วจากไปแล้ว ทุกคนรีบลุกขึ้นปัดฝุ่นบ้างวิ่งขึ้นไปบนรถหมายสำรวจสมบัติตนว่าถูกโจรขนไปหรือเปล่า โชเฟอร์ บ.ข.ส.เดินบ่นงึมงำขึ้นไปบนรถเปิดไฟให้ปากบอกเสียงขุ่น “ขับออกไปไม่ได้หรอกครับ ต้องเดินออกไปถนนใหญ่แจ้งความ ส่วนใครจะรอตำรวจอยู่ที่นี่ก็ได้”

เมื่อโชเฟอร์แนะอย่างนั้นก็ไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้ารถ ต่างพากันเดินตามโชเฟอร์พลางก่นด่าโคตร ๘ ดาวปล้นแซ่วถนน ผมเองอยู่ในกลุ่มผู้มีกรรมเป็นของตนด้วยย่ำตีนเงียบกริบตามเขาไปจนเหงื่อผุดจึงถึงปากทางขึ้นถนนสุขุมวิท ป่านนี้ไม่ทราบกี่ทุ่มกี่ยามแล้ว นาฬิกาเก่าๆ ติดข้อมือซ้ายผมเรือนเดียวที่จำนำไม่ได้ถูกโจรปลดไป

“ไปคอยที่ศาลานั่นก่อนเถอะ ผมจะไบกรถไปแจ้งความ” โชเฟอร์ บ.ข.ส. แนะนำ ทุกคนปฏิบัติตาม ส่วนผมเดินเข้าไปหาเขา ถามพอได้ยิน

“บ้านสองสลึงไกลจากนี่มากไหมครับ?”

เจ้าของทรงอ้วนกลมในชุดน้ำเงินหันมามองแวบหนึ่งก็ชี้ไปข้างหน้า

“คุณเดินตรงไปประมาณ ๒ กิโลครับ”

ผมกล่าวสนองคุณเขาเบาๆ แล้วตัดสินใจเดินไปให้ถึงเป้าหมายได้ ๓-๔ ก้าว โชเฟอร์วัย ๔๐ ปีรั้งไว้”

“คุณไม่อยู่เป็นเจ้าทุกข์หรือ?”

“ผมเสียหายไม่มากครับ”

“ถ้าหยั่งงั้นช่วยแจ้งตำรวจที่ป้อมยามบ้านสองสลึงด้วยนะ”

“ครับ”

เดินดุ่มๆ ฝ่าความมืดหนาวเย็นภายใต้แสงดาวอันออกจะต่างกับทุกคราว เนื่องจากทั้งตัวมีเศษเหรียญกรุ๊งกริ๊งอยู่ ๒-๓ อันในกระเป๋า จึงสร้างความลำบากใจพอสมควร พักใหญ่ เมื่อเดินพ้นโค้งถนนผมเริ่มเห็นแสงไฟวอมแวมข้างหน้าลิบๆ ก็หยุดหอบหายใจ สิบล้อคันหนึ่งประดับวูบไฟวูบวาบกระหึ่มเครื่องทะยานลิ่วผ่านไป ทำเอาหน้าเย็นเฉียบผสมกลิ่นคาวปลาทะเลคลุ้งตลบ ๑๐ นาทีต่อมาผมได้มุ่งไปยังป้อมยามตำรวจตำบลบ้านสองสลึงอันมีจ่าแก่ๆ นั่งหง่าวอยู้ผู้เดียวจึงเข้าแจ้งเหตุร้ายทั้งปวงให้ทราบ ซึ่งก็ถูกชักถามพอสมควรก่อนที่แกจะวิทยุไปยังร้อยเวร สภ.อ.แกลง จ.ระยอง ให้นำกำลังไปสอบสวน

ผละจากป้อมยามตำรวจผ่านไปถึงปั๊มน้ำมันระดับกลางยังเปิดไฟสว่างโร่ เห็นเด็กปั๊ม ๒ คนนั่งบนม้าหินเล่นหมากฮอสอยู่ก็โฉบเข้าไปถาม

“หนุ่ม…ขอโทษเถอะ พอจะได้ยินชื่อหรือรู้จักคนที่ชื่อ “นายรุณ ตาแดง” บ้างไหม?”

วัยรุ่นทั้งคู่ฉวัดตามองหน้าผมทันควัน คนหนึ่งสำรวจสารรูปตั้งแต่หัวจรดตีน

“ผมเป็นเพื่อนเขา มาจากกรุงเทพฯ ไม่รู้จะไปติดต่อกับใครได้ก็เลยถามน้องๆดู”

พี่ข้ามถนนไปถามพวกที่นั่งในร้านกาแฟนั่นเถอะ พวกนั้นรู้จักดี” วัยรุ่นแนะ

“ขอบใจมากหนุ่ม”

ละจาก ๒ วัยรุ่นข้ามถนนไปยังบ้านไม้ห้องแถว ๒ ชั้นที่ปลูกเรียงไปเป็นตับ ส่วนใหญ่ปิดหน้าบ้านหน้าร้านแล้ว มีร้านอาหารกับร้านกาแฟ ๒ ร้านที่เปิดอยู่ปรากฏแสงไฟสว่างโร่ ที่ร้านกาแฟมองจากระยะ ๓๐ เมตร มีวงหมากรุก ๑ วง มีผู้เล่นผู้ชมกลุ่มหนึ่งประมาณ ๕-๖ คนที่ด้านหน้า ด้านในมีชายวัยฉกรรจ์ ๒ คนนั่งดื่มโอเลี้ยง เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ชายสูงวัยผู้หนึ่งหันมามอง พาให้อีก ๒ คนมองตาม ผมยิ้มพลางกระทำคารวะและขยับก้าวเข้าไปใกล้อีกนิด

“หวัดดีครับ ผมมารบกวนถามหาเพื่อนครับ ไม่ทราบคุณลุงจะพอรู้จักไหมครับ?”

ผู้สูงวัยย้อนถาม “คนที่นี่หรือ ใครล่ะ?”

“เขาชื่อ รุณ ตาแดง ครับ”

ผู้สูงวัยเบิกตาโพลง ทั้งวงหมากรุกกับอีก ๒ หนุ่มฉกรรจ์ต่างจ้องเขม็งมาที่ผมเป็นตาเดียว ทันใดมอเตอร์ไชค์คันหนึ่งพุ่งปราดเข้ามาจอด ผู้ขับขี่เป็นหนุ่มวัย ๓๐ ปี ผิวสีนิล แต่งกายรัดกุม สวมหมวกจ๊อกกี้หลุบหน้า

“เมื่อกี้คุณบอกมาหาใครกันพ่อหนุ่ม?” ผู้สูงวัยถามขึ้นกลางคัน

“นายรุณ ตาแดงครับ”

“ก็นั่นยังไงล่ะ” แกชี้ไปยังนักบิด

ผมยืนร่างชาวาบ ไม่คาดฝ้นจะพบง่ายดายปานนี้!

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: