3817. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 17 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 17 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

มาสด้าปิกอัพสีฟ้าทะยานฝ่าความร้อนอบอ้าวมุ่งยังท่าเรือเพพื้นที่ สภ.อ.เมือง เพื่อส่งตัว ๒ สาว “เมียเช่า” จุ๋มกับเรียมยังสำนักเดิมโดยมิได้ล่ำลา เสร็จโซเฟอร์ผิวนิลไม่แวะสนทนากับเจ้าสำนัก ตีกลับรถเส้นทางเดิมความเร็วปานกลาง รุณ ตาแดงทำหน้าที่โซเฟอร์สงบเงียบได้พักหนึ่งคล้ายฉุกคิดอะไรได้เขาหันขวับมองหน้าผมสีหน้าเรียบเฉย กล่าวเสียงแผ่วเบา

“ลูกน้องเราที่ตั้งด่านกับที่ล้อมภูเขาอยู่ถูกยิงทิ้งเกลี้ยง!”

“เราเสียใจด้วยเพื่อน” ผมกล่าวสุ้มเสียงพอกัน

อดีตเจ้าพ่อเขาหวายสะบัดหน้ากลับ ตาจ้องเขม็งยังเส้นทางเลาะเลียบชายหาดยาวเหยียดสุดสายตา สองมือกำพวงมาลัยรถมั่น ริมฝีปากหนาดำปิดสนิทดั่งปรารถนากลืนเก็บบางสิ่งไว้ในอก ผมขยับล้วงบุหรี่ออก ๒ มวนจุดไฟส่งให้เขาก่อนรุณรับไปพร้อมกับยิ้มจางๆ

เวลาล่วงไป บุหรี่ไหม้ลามใกล้ถึงก้นกรอง รุณดีดหวือออกไปนอกรถพลางชี้ยังสองฝั่งบ้านเรือนริมทาง

“ที่นี่เรียกก้นอ่าว เปี๊ยกสังเกตให้ดีจะเห็นเหมือนแอ่งกระทะใบใหม่ ๕-๖ ปีก่อนที่ทางจะปลุกสวนสนที่ท่าเรือเพที่ดินแถบนี้ยังเป็นป่า เรากับพี่ชายลงแหลงอวนหาปลาน้ำตื้นไปทั่วอ่าว มาวันนี้เวลาผ่านไปไม่ถึง ๑๐ ปี เกิดถนนเลียบหาดตั้งแต่บ้านเพจรดหาดแม่พิมพ์อำเภอแกลง ชาวบ้านแย่งที่ดินทำกินฆ่ายังกับเมืองเถื่อน ทะเลก้นอ่าวมีแต่ศพถูกฆ่าลอยอืดไม่เว้นแต่ละวัน เรากับพี่ชายก็ร่วมก่อเวรกรรมอันนั้นด้วย ที่ดินตลอดทางที่รถวิ่งผ่านกี่แสนกี่หมื่นไร่ เรากับพี่ชายกว้านซื้อบังคับซื้อไปถวายนายทุนหมด…เสร็จแล้วเรากับพี่มีที่ดินหรือได้ครอบสักแปลงไหม?”

อดีตผู้สูญเสียทิ้งคำค้างไว้ดั่งเจตนาถามหรือหยันตนเอง ผมพรูลมหายใจเบากริบ พยายามลอบสังเกตอิริยาบถเขาเท่าที่โอกาสเอื้อ และโดยไม่มองเห็นผม เขากล่าวเสริมเสียงต่ำได้ยินชัดเจน

“เพราะความคะนอง เราถึงทำตัวเป็นศัตรูกับชาวบ้านจนถูกจับ พอใช้กรรมออกจากคุกเข้าป่าหวังสร้างแผ่นดินทำกินเป็นของตัวเองบ้าง แต่ดันหลงลืมบทเรียนจากพวกนายทุน ยอมเป็นมือตีนมันอีก ผลที่สุดก็หมดสิ้นทุกอย่างซ้ำสองเหมือนกงเกวียนกำเกวียน”

“แต่นายก็รอดชีวิตมาเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้นะเพื่อน” ผมได้ช่องประโลม

รุณหันขวับมองหน้าผม ยิ้มฟันขาว มือซ้ายเขาจับแขนขวาผมไว้ ปากบอกเสียงแน่น

“เปี๊ยก เรารอดตายเพราะมีเพื่อนอย่างนาย ขณะนี้เรายังเป็นหนี้นายอยู่นะ”

“อย่าคิดเป็นหนี้สินไม่ได้หรือ?”

“ต้องคิดนะเปี๊ยก เราคนเที่ยว ชั่วเลวขนาดไหนต้องไม่ลืม “คุณ” ผู้มีพระคุณกับชีวิตตัวเอง”

ผมคร้านรับฟังคำสรรเสริญรีบตัดบท “นี่รุณจะไปไหน?”

“หาข่าวไอ้ธมกับไอ้ดิษฐ์ที่บ่อนไฮโล”

ผมชักกังขา “ทำไมนายต้องหาข่าวด้วยตัวเองด้วย แบบนี้มันไม่โผล่หรอก”

“เราต้องการให้มันรู้ข่าวเพื่อจะได้ไม่กล้าเคลื่อนไหว”

“แปลว่านายรู้แหล่งที่มัน “กบดาน” กระมัง” ผมเดาเกมเพื่อน

“ไอ้นี่มีที่ชุกหัว ๓ แห่ง คือป่าเขาวงกับที่เนินกระปลอกพื้นที่ติดต่อกับบ้านฉาง กับที่เพ”

“ถ้ามันเข้าไปอยู่ในป่าละ?” ผมชักเข้าเป้า

อดีตผู้สร้างกฏเถื่อนป่าเขาหวาย-เขาวงกลับชะงักงันกับคำถามดังกล่าว ผมเสริมคำต่อหมายให้เพื่อนเข้าใจเจตนาที่ถามไป

“ที่เราถามน่ะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้านะ”

รุณยิ้มฟันขาวเหมือนเดิม ต่อคำสุ้มเสียงปกติ

“มีทางที่มันอาจเข้าไปหลบที่นั่นเหมือนกัน ถ้ามันรู้ว่าเราหมดท่าแล้ว”

“บ่อนที่เราจะไปนี่มีเปิดเล่นกลางวันหรือ?” ผมเปลี่ยนคำถาม

“มีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ วันนี้ตรงกับวันเสาร์”

สิ้นคำบอก รุณหักพวงมาลัยเลี้ยวรถตัดเข้าเส้นทางถนนลูกรังอันสองฝากฝั่งปลูกมันสำปะหลังราว ๒๐ ไร่ พอรถวิ่งพ้นเขตไร่มันสูงท่วมหัว สิ่งที่พบขณะมองผ่านกระจกรถออกไปเป็นสวนสนร่มครึ้มเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียด มีรถนานาชนิดตั้งแต่รถเก๋ง รกปิกอัพ จักรยานยนต์กับจักยาน ๒ ล้อนับสิบจอดเกลื่อนลานโล่งเตียน ครู่เดียวเสียงเครื่องยนต์รถได้พาชายฉกรรจ์แต่งกายครึ่งท่อนคล้ายทหารหน้าตาท่าทางเอาเรื่อง ๓ นาย เหน็บปืนสั้นติดเอวทุกคนโผล่จากท้านรถปิกอัพสีแดงสดยืนปักหลักจังก้า รุณเคลื่อนรถเข้าไปจนเหลือระยะ ๑๐ เมตร ๐ ใน ๓ ชายแต่งกายคล้ายนักรบยกมือขึ้นเชิงให้สัญญาณหยุดรถ รุณเหยียบเบรกหยุดรถพลางหมุนกระจกฝั่งตัวเองจนสุด ทั้ง ๓ หนุ่มฉกรรจ์จ้องตาเขม็งก่อนก้าวอาดๆ มาที่รถ ๒ ใน ๓ ชายปรี่ไปหาเพื่อน อีก ๑ ชายปราดมายืนประกบผม รุณทักทายเสียงดังฟังชัด

“สวัสดีน้อง ขอผ่านเข้าไปเสี่ยงโชคหน่อย”

ทั้งคู่เหมือนลังเลต่อน้ำเสียงทักทาย ต่างก้มลงมองผู้ทำหน้าที่พลขับให้เห็นชัดเจนถึงกับสีหน้าเปลี่ยน ลดอหังการสนองคำ พินอบพิเทาราวสมันปะสมิงร้าย

“หวัดดีพี่รุณ…เชิญเลยพี่ รถจอดชิดขวาข้างหน้าโน่นก็ได้พี่”

บัตรเคดิตโดยรุณ ตาแดงเปิดทางให้มาสด้าปิกอัพผ่านไปจอดยังโคนสนห่างจากโตโยต้าเก๋งสีดำเป็นมันวับศอกเศษๆ ๒ สมุนบนกระบะโจนผลุงลงจากรถ รุณกวักมือเรียกเข้ามาหา สั่งการห้วนๆ

“ไอ้กลิ้งอยู่ที่รถนี่ไม่ต้องเข้าไป แต่ถ้าเกิดเสียงปืนมึงต้องขับรถไปรับพี่โดยเร็ว”

“ครับพี่”

“ส่วนมึงไอ้จอน ตามพี่เข้าไปในบ่อนแล้วพยายามไปเตร่แถวๆ ประตูทางออก อย่าให้มีใครปิดทางเด็ดขาดหากเกิดเรื่อง”

“ครับพี่”

จากนั้นรุณกับผมพร้อมไอ้หนุ่มชื่อจอนซึ่งไว้จอนข้างหูหนาเตอะยาวจรดเคราที่ขึ้นหร็อมแหร็มพากันเดินฝ่าดงสนร่มครึ้มไปได้อีก ๒๐ เมตร จึงปรากฏบ้านไม้สักขนาดกลาง ๒ ชั้น ล้อมรอบด้วยรั้วสังกะสี สูงประมาณ ๒ เมตร ตั้งอยู่กลางหมู่สนสงัดเงียบลับหูลับตาผู้คน เรียกว่ามีปราการไร่มันกับป่าสนและรั้วสังกะสีถึง ๓ ด่าน โดยไม่พูดถึงด่านคนที่เป็นมือปืนพิทักษ์บ่อน

อีก ๑๐ เมตรจะถึงประตูบ่อน เสียงสนุขไม่ต่ำ ๒ ตัวเห่าเกรียวสนั่นป่าสน ครู่เดียวก็ปรากฏโฉมอัลเซเซี่ยนขนสีน้ำตาลแซมสีดำ ๒ ตัว สูงขนาดเอววิ่งตะกุยด้นลาก ๒ พี่เลี้ยงซึ่งเป็นชายวัย ๓๐ ปีเศษ ที่จับสายหนังรั้งคอมันไว้ปากปรามเมื่อรุณ ตาแดงบอกนาม ต่อมาประตูไม้สักบานเล็กเปิดกว้าง ชายร่างสูงใหญ่ผิวสีน้ำตาลนุ่งกางเกงขาก๊วยยาวกรอมเท้า ท่อนบนเปลือยโชว์มัดกล้ามบนแผงอก ลำคออวบใหญ่มีสร้อยเงินน้ำหนักประมาณ ๑๐ บาท ห้อยแขวนพระเครื่องมีชื่อราว ๑๐ องค์ มือขวากำปืนลูกซองยาว ๕ นัด ทว่าร่างสูงปานยักษ์ พอปะหน้าหนุ่มร่างเพรียวผิวนิลเต็มตาก็รีบยกมือวันทา ลดอาการก้าวร้าว

“หวัดดีพี่รุณ หายหน้าไปนานเลยนะพี่”

นายทวารทักทายอย่างสนิทสนมพร้อมเปิดทาง รุณก้าวนำไปหยุดเบื้องหน้าคนยักษ์ กล่าวเป็นกันเอง

“มึงก็อยู่ที่นี่นานเหมือนกันนี่หว่า”

“ก็เพราะ “เจ้านาย” สงสารครับพี่”

รุณสะบัดหน้าไปที่บันไดบ้าน เมื่อชายวัย ๕๐ ปี สวมแว่วสายตา ผิวขาวคล้ายลูกครึ่งจีนทั่วๆ ไปโผล่ออกมา

“อ้าว นายอรุณ เชิญเลย ชั้นบนนี่มีถั่ว ชั้นล่างนั่นไฮโล”

“ผมไม่ได้มาเล่น แวะมาคุนด้วยเท่านั้น”

ผู้สูงวัยกว่าคิ้วขมวดทันที “สำคัญมากใช่ไหม?”

“สำคัญสำหรับผม แต่อยากให้เสี่ยช่วย”

“ถ้าหยั่งงั้นเชิญชั้นบนที่ห้องทำงานผมเลย” จบคำรีบผายมือ

ห้องทำงาน “เสี่ย” ที่เพื่อนเรียกเป็นห้องทำงานเล็กๆ มีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ ๒ ตัวพร้อมเก้าอี้ชุดรีบแขกกับตู้เก็บเอกสารเหล็ก ๑ ใบ รอบๆ ห้องตามผนังติดรูปถ่ายนายตำรวจ นายทหารระดับผู้บังคับการจรดผู้ช่วย อ.ตร. ในชุดเต็มยศติดหราเสมือนประกาศเส้นสายของนายบ่อน เรา ๒ คนถูกเสี่ยเชื้อเชิญให้นั่งยังเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ โดยเจ้าของห้องเตร่ไปจัดเเจงเทน้ำร้อนลงกาชงชาหอมกรุ่นต้อนรับทีท่าเอาใจเป็นพิเศษซึ่งภาพจากพฤติกรรมเหล่านี้ผมไม่เคยมองผ่าน เพราะสามารถเป็นตัวชี้ถึงสถานะเพื่อนที่ผมร่วมทางด้วยยังไม่สิ้นลาย ทั้งยังได้หยั่งเชิงคู่สนทนาแม้แต่ศัตรูมาประกอบการตัดสินใจเมื่อเกิดเรื่องเฉพาะหน้าได้

“พวกคุณสูบบุหรี่พักผ่อนจตามสบายนะ ผมไม่มีธุระหรอก”

รุณหันเผชิญหน้านายบ่อนสูงวัยบอกเสียงนุ่ม “ผมขอเริ่มเรื่องเลยดีกว่าเพราะยังมีเรื่องอื่นอีก”

“ถ้าหยั่งงั้นนายรุณพูดมาเลย”

“เสี่ยคงรู้จัก ไอ้ธม กับ ไอ้ดิษฐ์”

“อ๋อ รู้จัก เคยเข้ามาเล่นที่นี่หลายครั้ง ส่วนใหญ่เสียกลับไป”

“เสี่ยรู้ไหมใครยิงครูพร”

ครั้งนี้ชายผิวขาวสูงวัยหรือ “เสี่ย” ขยับแว่นตาบอกอาการคิดหนัก ครู่หนึ่งจึงกล่าวไม่เต็มเสียงนัก

“เรื่องคนยิงนี่ผมยืนยันไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็นกับตา มีแต่ชาวบ้านพูดกัน”

“ชาวบ้านบอกใครยิง?” รุณรุกทันควัน

“เขาพูดกันว่า เสือธม กับ ลูกน้องชื่อ ไอ้ดิษฐ์ เป็นคนยิง”

“หลังจากครูพรถูกยิงแล้ว มัน ๒ คนมาที่นี่หรือเปล่า อย่าปิดบังกันนะเสี่ยก็รู้ว่าผมไม่ชอบเล่นเชิง”

“โถ…ผมจะไปปิดนายรุณทำไม เสียน้ำใจกันเปล่าๆ ผมไม่ปิดบังหรอก ระยะนี้มันมาที่นี่ทั้งคู่แหละ ดูเหมือนเสียถั่วไปหมื่นกว่าเห็นจะได้”

“คืนนี้หรือหลังจากผมกลับไปแล้ว เสีายช่วยออกข่าวว่าผมมาถามหามัน ๒ คนได้ไหมครับ?”

“ตกลงเลย” นายบ่อนรับคำง่ายดาย

“พูดฝากให้พวกที่เล่นทั้งหมดรู้กันทั่วๆ ยิ่งดีครับ”

“ผมไม่ทำให้ผิดหวังหรอก”

“ขอบใจเสี่ยมาก ขอรบกวนเท่านี้แหละ โอกาสหน้าผมจะมาใช้บริการลาล่ะครับ”

“อ้าว ไม่ลองเสี่ยงดวงดูหรือ?”

“ไว้โอกาสหน้าครับ”

ในที่สุดเรา ๓ คนได้ออกมาจากบ่อนกลางดงสนกลับไปที่รถโดยมี ๓ มือปืนคุมบ่อมตามประจบอดีตเจ้าพ่อดังประสงค์ฝากเนื้อฝากตัวจวบมาสด้าปิกอัพพ่นเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มป่า

“โชคดีครับ พี่รุณ”

ขากลับออกจากบ่อนเถื่อนรุณขับรถเลาะถนนริมหาดบ้านท่ากวาดไปตามหลัก ก.ม. ระบุปลายทางอีก ๒ ก.ม. ถึงหาดแม่พิมพ์ที่ทอดยาวเหยียดไปจนสุดหัวแหลม ซึ่งขณะนั้นถนนส่วนใหญ่เป็นลูกรัง นักท่องเที่ยวยังรู้จักน้อยมาก

รุณขับรถเข้าไปจอดยังร้านอาหาร “แม่พิมพ์” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นร้านจำหน่ายสุราอาหารร้านเดียวที่โอ่งโถงพอกับร้านค้าตามชายหาดชื่อดังทั่วๆ ไป

“หาข้าวหาเบียร์กินก่อนนะ ค่ำๆ ค่อยไปบ้านงานกราบขมาครูพรเพราะเรารับเป็นเจ้าภาพคืนนี้”

“กำลังหิวเลย” ผมคล้อยตาม

รุณยิมฟันขาวก่อนผลักประตูรถเปิด ผมทำตาม ๒ สมุนบนกระบะโดดลงมาสมทบ พนักงานสาวประจำร้านขับขานเสียงใสเข้ามาต้อนรับ แต่พอเห็นโฉมอดีตเจ้าพ่ออากัปกิริยาร่าเริงขมีขมันของหล่อนได้เปลี่ยนเป็นพินอบพิเทา

“เชิญคะพี่”

เรา ๔ คนเลือกโต๊ะที่ตั้งด้านนอกสุดอันเห็นทัศนียภาพทะเลยามเย็นกลางเกลียวคลื่นชัดซู่ซ่า อาหารทะเล อาหารป่า เหล้า เบียร์ บุหรี่ ตั้งเรียงรายเต็มโต๊ะคล้ายมาตั้งโชว์มากกว่าบรรจุลงกระเพาะ ไม่ทราบว่าเป็นธรรมเนียมหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตภายในแวดวงนักเที่ยว ทั้งมือปืนและเจ้าพ่อนิยมแสดงออกถึงความใจกว้างฟุ่มเฟือยเสมอต่อหน้าธารกำนัล อันนี้ตามความเห็นผมคาดเป็นการแสดงออกเพื่อลบปมด้อยทางพฤติกรรม “ลับ” ของตน แม้กระทั่งให้ “ทิป” ต่อพนักงานบริการก็พิเศษสุดกว่าเศรษฐีตัวจริงเสียอีก เหล้า เบียร์ และอาหารผ่านเข้าปากได้ ๔-๕ แก้ว สารทุกข์ในทรวงผมดุจถูกน้ำเมรัยชำระมลายสื้น ผมฟังเสียงคลื่นลมครืนโครมไพเราะราวฟังดรตรี วันใดหนอ ที่ชีวิตนี้ถึงจะสิ้นสุดการเดินทางเสียที กำลังเพริดทางความคิด ประสาทหูแว่วเสียงเรียก

“เปี๊ยก ทำไมเหม่อล่ะ หรือถูกมนต์เสน่ห์ ๒ สาวบ้านเพเข้าแล้ว”

ผมหันหน้าเข้าวงเหล้าคว้าแก้วเทเข้าปากกลางเสียงหัวเราะเพื่อนอันส่อถึงความสุขซึ่งหายากสำหรับผู้คนบนเส้นทางนี้

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Bank09Photography

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: