3710. ฝ่าวงล้อมที่หนองโพตอนจบ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ฝ่าวงล้อมที่หนองโพตอนจบ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

หลังจากที่ไพฑูรย์ได้ปะทะกับตำรวจที่วัดหนองโพและได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่กำบังนั้นหวังว่าจะหลบหนีออกจากวัดหนองโพ
ร.ต.อ.เยื้อนก็เเน่เหมือนกัน แม้อยู่ไม่กี่วันแต่สำรวจเส้นทางไว้เป็นอย่างดี นำตำรวจกองปราบอ้อมไปอีกทางเพื่อดักหน้าไพฑูรย์ในเส้นทางที่จะออกจากเขตวัดหนองโพ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวที่จะลัดออกไปด้านหลัง

เมื่อไพฑูรย์วิ่งมาถึงจุดที่ซุ่ม ก็ปะทะกับ ร.ต.อ.เยื้อนในระยะห่างพอสมควร ตำรวจยิงเข้าใส่ก่อนไพฑูรย์จึงยิงสวน ประกายไฟแลบกระฉูด เสียงฝ่ายตำรวจร้องบอกให้รู้ว่าถูกยิง

ไพฑูรย์ฉากออกด้านข้างเพื่อจะอ้อมไปอีกทาง แต่ร.ต.อ.เยื้อนก็ฉากออกเหมือนกัน จึงมาเผชิญหน้ากันในความมืด ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน มีเเต่เสียงเเชะๆของนกที่สับจานท้ายกระสุน แต่กระสุนไม่ทำงาน ไพฑูรย์อุทานในใจ หมวดเยื้อนนั้นเอง

ลดปืนลงแล้วคลานถอยออกไปด้านหลัง ซุ่มเงียบอยู่ เสียงตำรวจตะโกนว่า

”หมวดเยื้อน พลฯ ถมบาดเจ็บสาหัส จะให้พาออกไปก่อนหรือไม่”

”อย่าเพิ่งไป บุกตามหลังเข้ามาก่อน คนร้ายอยู่เเถวนี้แหละ”

ตำรวจที่เหลือจึงคลานตามมาด้านหลังเป็นปีกกา ไพฑูรย์นึกในใจคราวนี้เข้าตาจน จะทำอย่างไรดี พลันก็ใจชื้นขึ้นเพราะมีเสียงปืนดังมาจากด้านหลังของฝ่ายตำรวจ เสียงประจวบร้องสำทับว่า

”ไม่ต้องกลัวเพื่อนยาก กูมาช่วยแก้ไขให้มึงหลุดจากวงล้อมเเล้ว”

ไพฑูรย์ยิงเบิกทางแล้ววิ่งฝ่าความมืดไปข้างหน้า ประจวบยิงสกัดไม่ให้ตำรวจเคลื่อนที่เข้าใกล้ได้ ไพฑูรย์จึงพ้นจากจุดที่ถูกสกัดไปยังทางที่ประจวบซุ่มอยู่ สองคนพากันวิ่งฝ่าความมืดไปยังจุดนัดพบ

หมวดเยื้อนหัวเสีย สั้งให้นำพลฯ ถมยากลับไปที่วัดหนองโพ เพื่อเตรียมนำส่งโรงพยาบาล

ส่วนไพฑูรย์กับประจวบรีบรุดเดินทางไปที่เขาทอง ระหว่างทาง ประจวบถามไพฑูรย์ว่า

”เพื่อนทำไมไม่ใช้ปืนกลเล่า”

”ดันลืมไว้ในเกวียน ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น มันไม่น่าจะเกิดเลย”

ใกล้สว่างก็มาถึงเขาทองที่มีเกวียนจอดรออยู่ ยอดกับสมพงษ์ซุ่มรออยู่ก่อนเเล้วด้วยความเป็นห่วง ไพฑูรย์กับเพื่อนนั่งเกวียนไปจนถึงพยุหคีรี จึงลงจากเกวียนเดินเท้าไปท่าน้ำอ้อย ไปอาศัยพักผ่อนที่บ้านลุงโทน ผู้ที่ไพฑูรย์ให้ความนับถือ ก่อนจะเเยกทางได้สั่งให้เจ้าของเกวียนไปบอกกับนายท้ายเรือว่าอีกสองวัน เวลาเที่ยงคืน ให้เตรียมเรือไว้ ตนจะกลับกรุงเทพฯ

ถึงวันนัด เวลาเที่ยงคืน เรือกลไฟก็นำไพฑูรย์กับเพื่อนล่องตามแม่น้ำเจ้าพระยามาขึ้นที่ท่าน้ำราชวงศ์ อันเป็นถิ่นอั้งยี่ที่ไพฑูรย์เคยใช้ชีวิตอยู่มาก่อน ส่วนสามสหายแยกไปยังนางเลิ้งเพื่อซ่อนตัว

หลวงอดุลฯ ปรารภกับพระกล้ากลางสมรถึงเรื่องนี้ว่า

”อ้านเสือไพฑูรย์มันเเน่ หมวดเยื้อนรายงานว่า เขากับอ้ายไพฑูรย์เผชิญหน้ากันแต่ยิงกันไม่ออกมันมีของดีติดตัว อีกอย่างบารมีหลวงพ่อเดิมยังคุ้มมันอยู่”

”อ้ายไพฑูรย์มันมีรอยเท้าของหลวงพ่อเดิมคุ้มตัว ผมเคยโบยสกัดเลือดมันเเต่ทำไม่ได้ เพราะกระชายดำที่ฝังในเนื้อเเขนของมันคุ้มไว้ คุณหลวงส่งสายสืบไปเฝ้าไว้ให้ดีก็เเล้วกัน สักวันหนึ่งมันต้องพลาด”

ไพฑูรย์เล่าว่า ร.ต.อ.เยื้อนต่อมาได้เลื่อนยศและมีชื่อเสียงในการสืบสวนคดีลอบสังหาร เหียกวงเอี่ยม ปราบปรามอั้งยี่เล็บเขียว และกวาดล้างพวกกรรไกรขาเดียวที่ก่อคดี รวมทั้งการจับกุมเสือปิง มือปืนตัวฉกาจ หลังเกษียณอายุราชการได้เขียนบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีในเยาวราช

จนมีผู้ดัดแปลงมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องกตัญญูประกาศิตในที่สุด

ร.ต.อ.เยื้อนเป็นนายตำรวจมือดี เป็นศิษย์หลวงพ่อเดิม เป็นตำรวจตงฉินที่สร้างชื่อเสียงให้กรมตำรวจ หลวงอดุลฯ มักเรียกมาคุมคดีสำคัญๆอยู่เสมอ

หลังจากที่ฝ่าวงล้อมที่วัดหนองโพมาได้ ไพฑูรย์หลบอยู่ในเยาวราชในความดูแลของเเม่ดอกเหมยที่รัก ประมาณ 3เดือน จึงออกจากเยาวราชกลับขึ้นไป จ.ตาก เพื่อทำบุญให้กับบิดามารดาที่ล่วงลับไปเเล้ว ตามที่เคยทำมาทุกปี โดยใช้การพรางหน้าดุจเดียวกับการปล้นพวกเศรษฐีสำหรับการเเปลงโฉมนั้น ตลอดเวลาให้ภาวนาคาถากำกับไว้ด้วย เรียกว่าคาถาเเปลงรูป

”ติ หัง จะ โต โล ถิ นัง ติ”

แม้ไม่แปลงโฉมแต่ต้องผ่านตาศัตรู หรือให้คนเห็นเเล้วจำไม่ได้ ก็ให้ภาวนาในใจตลอดเวลาด้วยจิตที่ตั้งมั่น ไพฑูรย์เคยเล่าว่า

”คนเราจะดีไม่ดีอยู่ที่ใจ สำหรับตัวผมเอง ผมถือว่าจิตผมแข็ง เวลาผมมีมือเปล่า ศัตรูมีมีดปลายแหลม ผมจะมองดูมีดแล้วทำจิตให้เกิดพลังว่า ที่เห็นมันมีดยาง ปลายมันไม่แหลม มันทู่ เห็นดาบในมือศัตรู ก็ให้ทำจิตให้เกิดพลังว่า ที่เห็นมันเป็นดาบทองหลาง สำหรับให้พวกลิเกเล่น เห็นไม้กระบองก็ทำจิตว่ามันเป็นไม้ระกำ เห็นปืนก็ทำจิตบอกว่ามันเป็นปืนเด็กเล่น ยิงไม่ออก”

หากทำได้เช่นนี้ จิตจะเเข็งและไม่เกรงกลัวศัตรู พร้อมจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ สำหรับการภาวนา
พุทโธนั้นไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ผาดโผนอยู่ในวงการนักสู้ แต่เหมาะกับผู้ที่ถือศีลภาวนามากกว่า สำหรับภาวนาเพื่อให้เเลค้วคลาดของผู้ที่อยู่แวด วงนักเลง คือคาถา ที่เรียกว่า”กระทู้เจ็ดเเบก”ที่ว่า

”อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา อิ”

คำว่ากระทู้เจ็ดเเบก หมายความว่าให้ทดลองดูได้ โดยให้ผู้
ทดสอบนั้งภาวนาคาถานี้ให้มั่น จากนั้นเอาไม้กระทู้พุ่งใส่ ไม้กระทู้ที่เเบกบนบ่าถึงเจ็ดคนแบก จะไม่ถูกกายของผู้ภาวนาคาถาเลย

อีกวิธีหนึ่ง ให้ผู้ต้องการทดสอบนั้งภาวนาในใจใต้ต้นพุทรา ให้คนขึ้นไปเขย่ากิ่งพุทรา ลูกพุทราที่หล่นลงมาจากกิ่งจะไม่ถูกตัวของผู้ภาวนาแม้เเต่ลูกเดียว ไพฑูรย์เคยทดลองมาเเล้วด้วยตัวเองเเล้วยืนยันว่าได้ผลจริง

ส่วนพระเวทสังข์ถ่วงไม่ประสิทธิ์ให้ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นวาสนา
บารมีของเเต่ละคน ไม่ใช่ว่าได้คาถาไปแล้วจะทำได้ก็หาไม่ บางคนได้คาถาไปเเล้ว ไปทดลองจนถึงแก่ความตายในน้ำ มันเป็นบาปทั้งคนให้และท่านผู้เป็นเจ้าของตำรับ เพราะเเม้เเต่หลวงพ่อเดิมท่านก็เลือกประสิทธิ์ประสาทเฉพาะคน ไม่ได้ให้ทั่วไป

จะให้เเต่คาถาสะเดาะโซ่ตรวนที่เรียกว่า ”มหาสะเดาะ” เพื่อว่าหากท่านตกอยู่ในสภาวะคับขันจะเอาตัวรอดได้ คาถามหาสะเดาะมีอยู่ 4ตัวด้วยกัน

”จะ ภะ กะ สะ”

ทดลองง่ายๆ เอากุญเเจมาดอกหนึ่ง เอาเชือกร้อยกุญเเจแขวนไว้ จากนั้นนั่งจ้องกุญเเจ ภาวนาคาถาว่า ”จะ ภะ กะ สะ”ให้จิตมั่น เป่าลมพ้วงไปที่ลูกกุญเเจ หากใจมั่นจริง กุญเเจจะหลุดลงมาที่พื้นเอง ไม่ต้องเอาลูกกุญเเจมาไข หรือเอามือดึงกุญแจไปภาวนาไป ถ้าจิตมั่นกุญเเจจะหลุดออกเอง

สำหรับคาถาสังข์ถ่วงนั้น เมื่อภาวนาได้ที่เเล้ว กุญเเจ โซ่ ตรวน จะหลุดหมด โบราณว่าไม่เชื่ิอ อย่าลบหลู่ คาถาทุกบท สิงโตหินใช้ได้ผลมาเเล้ว ไม่ใช่มาเขียนอวดตัวเอง แม้เเต่คาถาอาพัดข้าวง่ายๆที่ภาวนากินข้าว 9 คำเเรก ที่ว่า

”อัตตะ ฑี โต นะโม พุทธายะ”

ทำให้ได้ครบ 30วัน ทำทุกมื้ออย่าให้ขาด จะคงกระพันถึงกระดูกเลยทีเดียว แต่ส่วนใหญ่มักดูเเคลนว่าไม่น่าเชื่อถือ แม้เเต่คาถาอาพัดเหล้าง่ายๆที่ว่า

”นะ มะ พะ ธะ”

เคยให้ไปเเล้ว หลายคนหัวเราะเยาะ บอกว่าธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เขารู้กันหมดเเล้ว นั้นเเหละท่านผู้อ่าน ไพฑูรย์บอกว่า
”หญ้าปากคอกควายนี่แหละ รักษาโรค 108 ให้หายมาเเล้ว”

*อยากได้ของดีใจต้องถึงคับแฟนเพจคนสมัยก่อนที่มีอาคมขลังส่วนหนึ่งพวกท่านนั้นได้มีโอกาสเผชิญอันตรายต่างๆเเทบตลอดเวลาทั้งสัตย์ร้าย ภูตผี คุณไสยต่างๆ เพราะคนในยุคก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้มีเเต่เเสงเดือนเสงเทียนเเละความสงบสงัดวังเวงวิเวกจึงเหมาะเเก่การฝึกจิตให้เเกร่งกล้ามาก ผิดกับคนเราสมัยนี้เจอความมืดที่วิเวกเข้าหน่อยละเป็นจิตเตลิด กันเลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: