3588. ปะทะขุนหมอกฟ้าหนังเหนียว (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์บอกว่าเคยคิดจะหนีไปในที่ที่ไม่มีใครติดตามได้และดำรงชีวิตแบบสุจริตเป็นชาวไร่ เป็นพราน ก็แล้วแต่จะทำ แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดดังกล่าวทั้งหมด เพราะอาชีพสุจริตดังกล่าวมาไม่เหมาะกับตัวเองพ้นโทษมาแล้วจึงได้มารับจ้างเป็นยามเพราะเหมาะกับนิสัยที่รักการผจญภัย หลายครั้งที่เห็นสัจธรรมว่า

“ประตูวัดเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงกลับไม่ค่อยมีใครเข้าไป แต่ปะตูคุกปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงกลับมีคนเดินเข้าไปจนล้นคุก นี่มันอะไรกันแน่”

แหกคุกได้สำเร็จก็ดีใจเพราะจะได้มีโอกาสได้เห็นเดือนเห็นตะวันกับเขาบ้าง แต่พอถูกตามจับมาได้ก็เหมือนกับนกที่ถูกจับมาขังไว้ในกรงอีกครั้ง มันอึดอัดคับแคบแต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อตัวเองต้องอาญาแผ่นดินวนเวียนเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น หลายคนบอกว่าก่อนจะออกจากคุกให้หาเศษไม้ที่เป็นรอดของเรือนไม้ติดตัวออกไป เรียกกันว่า “ไม้รอดคุก” จะได้ไม่ต้องเข้าคุกเข้าตารางอีกต่อไป จะเป็นจริงหรือไม่ก็แล้วแต่จะเชื่อ สำหรับไพฑูรย์เชื่อว่าหากไม่ทำผิด หากินสุจริตเสียอย่างก็ไม่ต้องเข้าคุก

ขึ้นเหนือไปหาชาวเขาเผ่าอีก้อ ที่เป็นคนรู้จักกันมาแต่เมื่ออยู่เมืองตาก ”เล่าตา”เป็นคนงานในไร่ของพ่อไพฑูรย์ ตอนนั้นเขาหนีออกจากเผ่าเพราะถูกกลั่นแกล้งให้ตำรวจมาจับกุมในข้อหาค้าฝิ่น ทั้งที่มีอยู่เพื่อผสมยารักษาโรคเท่านั้น หมอแผนโบราณด้วยกันไม่ค่อยมีใครไปหา เพราะรักษาแล้วโรคไม่บรรเทาลง ส่วนเล่าตามือขึ้นเพราะรักษาถูกกับโรค ค่ายาไม่แพงจึงถูกป้ายความผิด

หนีเตลิดข้ามมาจังหวัดตากทำงานอยู่ในไร่ของพ่อไพฑูรย์จึงคุ้นเคยกัน ไพฑูรย์กลับไปเยี่ยมบ้านทีไรเล่าตาสุดแสนจะดีใจ เพราะไพฑูรย์มีของฝากติดมือมาทุกครั้ง

เมื่อทางเผ่าส่งข่าวมาว่าทุกอย่างสงบแล้ว เล่าตาได้เดินทางกลับและบอกสถานที่อยู่เรียบร้อย มีเรื่องคราใดก็ไปหาได้ ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือ ไปพบเล่าตาที่เผ่าอีก้อ แต่ปรากฏว่าเล่าตาตายเสียแล้วด้วยฝีมือของพวกคาราวานฝิ่นจึงได้พบแต่เล่าซันน้องชายที่ทำหน้าที่หัวหน้าเผ่าแทน

ชาวเขาส่วนใหญ่ปลูกฝิ่นกรีดยางฝิ่นเอามาเคี่ยวให้เป็นฝิ่นสุก แต่ไม่พอความต้องการ จึงต้องนำเข้าจากพม่า เอาใส่หลังฬ่อบรรทุกข้ามแดนจากโรงงานในพม่า อีตอนนั้นไพฑูรย์บอกว่าโรงยาฝิ่นในประเทศไทยได้ฝิ่นสุกจากภาคเหนือของประเทศไทยทั้งสิ้นที่เอามาหล่อเลี้ยงขี้ยา โรงยาฝิ่นมีคนติดฝิ่นเข้าไปนอนสูบยากันจนล้นต้องรอคิว แต่ละคนเนื้อตัวเหลืองเหมือนคนอมโรค ทำมาหากินได้ก็เอาไปสูบฝิ่นที่มีราคาแพง สมัยก่อนโน้นเขาขายกันเป็นจ๊อย เอาห่อกระดาษแก้วใสเอาไว้จะสูบกี่จ๊อยก็จ่ายเงินไป แล้วก็เลือกที่เอาที่นอนก็มีเสื่อปูมีหมอนสี่เหลี่ยมที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ

โรงยาฝิ่นเสียภาษีให้รัฐบาลเป็นภาษีบาปที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกับโรงเหล้า จึงทำให้โรงยาฝิ่นเปิดอย่างเสรี สร้างความพินาศให้ผู้คนอย่างหนัก ไม่มีเงินก็ขนของไปขายไปจำนำ หมดของขายหมดของจะจำนำ พออยากสูบยาฝิ่นก็หน้ามืดเที่ยวได้วิ่งราว ปล้นจี้ ก่อคดีอาชญากรรมอย่างไม่เกรงกลัวคุกตาราง ขอเพียงได้สูบยาเท่านั้น หากถึงเวลาแล้วไม่ได้สูบจะเกิดอาการกระวนกระวายที่เรียกกันว่า “เสี้ยนยา” จากการเสี้ยนยาก็จะกลายเป็นวาระสุดท้ายที่เรียกว่า “ลงแดง”

การลงแดง คือ อาการสุดท้ายของคนติดฝิ่นที่หมดตัวไม่มีเงินมาเสพ ต้องนอนกระวนกระวายตัวเนื้อสั่นเหมือนเจ้าเข้า อาการอาเจียนเอาอาหารออกมาหมด อาหารหมดก็เป็นน้ำ จากน้ำก็เป็นน้ำย่อยเกิดอาการเกร็งชักในที่สุดก็จะอาเจียนออกมาเป็นเลือดสดๆสีแดงฉาน อันเป็นอาการสุดท้ายที่เรียกว่าลงแดงนั่นเอง

ฝิ่นมาหมดไปจากเมืองไทยในสมัยจอมพลผ้าขาวม้าแดงปฏิวัติไล่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ อธิบดีตำรวจคู่ใจออกนอกประเทศ แล้วออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยกเลิกโรงยาฝิ่นทุกโรงในประเทศไทย ในกรุงเทพฯ มีการยึดยาฝิ่นกับกล้องยาฝิ่นเอามากองรวมกันเผาทำลายกลางท้องสนามหลวงมีผู้ลงแดงตายกันเป็นจำนวนมาก ณ เวลานั้น

เล่าซันเล่าให้ไพฑูรย์ฟังว่า เล่าตาร่วมมือกับทางการ อันมีนายอำเภอและตำรวจตะเวนชายแดนออกจับกุมกองคาราวานขนฝิ่นจากพม่า โดยเข้าไปดักรอบนเส้นทางผ่านที่ใช้ในการขนฝิ่นปะทะกันอย่างหนัก ยึดฝิ่นได้ก็เอามาเผาทำลาย คาราวานฝิ่นก็ไม่ลดละพยายาม หาช่องทางลำเลียงใหม่ๆเพื่อหลอกเจ้าหน้าที่ต้องมีการข่าวที่ดีจึงจะสามารถดักจับกองคาราวานนี้ได้ก็อาศัยชาวเขานี่แหละที่เป็นคนส่งข่าว

เล่าตาเป็นสายข่าวของตำรวจตระเวนชายแดน คอยส่งข่าวให้กับตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อบุกเข้าจับกุมฝิ่นบนเส้นทางลำเลียงซึ่งส่วนใหญ่มีพวกว้าผสมมูเซอร์และไทยใหญ่ในรัฐฉาน ที่แยกตัวออกไปเป็นอิสระจากไทยใหญ่เดิมเป็นผู้คุ้มกันกองลำเลียง เล่าตาจึงมีค่าหัวจากพ่อค้าฝิ่นชาวพม่าและชาวไทยสูงลิ่ว แต่ด้วยความระมัดระวังตัวทำให้เล่าตารอดพ้นตากการลอบสังหารของพวกพ่อค้าฝิ่นมาได้ จนวันหนึ่งขณะที่เล่าตาออกไปยิงสัตว์ในป่า ก็ถูกพวกมือสังหารของพ่อค้าฝิ่นว่าจ้างยิงตายคาป่า กว่าจะไปพบศพก็เหลือไม่ครบถูกเสือคาบเอาไปกิน

เป็นการปรามบรรดาชาวเขาว่า อย่าได้ให้ความร่วมมือกับทางฝ่ายบ้านเมือง หาไม่แล้วจะเป็นแบบเดียวกับเล่าตา เล่าซันจึงวางมือด้วยเกรงว่าจะพบจุดจบเดียวกับเล่าตาผู้เป็นพี่ชาย โดยทางการไม่ได้มาเหลียวแลเหมือนกับคำพังเพยโบราณที่ว่า “ตายฝังยังเลี้ยง” วันหนึ่งก็มีชาวเขาเผ่ามูเซอร์นำชายแปลกหน้ามาที่หมู่บ้านมาขอพบเล่าซัน

ชายแปลกหน้าแนะนำตัวว่าเป็นสมุนของพ่อเลี้ยงสม ต้องการอาสาสมัครไปทำงานในป่า มีรายได้พิเศษที่จ่ายให้เป็นรายวันพร้อมอาวุธปืน ที่นับว่าล่อใจก็คือเงินส่วนแบ่งพิเศษจากสินค้าที่ได้มาอีกต่อหนึ่ง มีหนุ่มๆชาวเขาไปเป็นอาสาสมัครได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ แต่หลายคนกลับมาแต่ร่างที่ไร้ลมหายใจ

เล่าซันบอกกับไพฑูรย์ว่า เป็นการมาหาอาสาสมัครไปปล้นกองคาราวานลำเลียงฝิ่นที่มีขุนหมอกฟ้าเป็นผู้ควบคุมกอง คาราวานเป็นกองคาราวานเดียวกันกับที่สังหารเล่าตา โดยขุนหมอกฟ้าเป็นผู้ตามล่าและยิงเล่าตาตาย

ไพฑูรย์ได้ยินจากปากของเล่าซันจึงตกลงร่วมไปกับอาสาสมัคร โดยเล่าซันได้บอกถึงลักษณะของขุนหมอกฟ้าว่า เป็นชายวัยกลางคนผิวขาวเหลืองใส่ชุดฟาติกแบบทหาร ที่สำคัญคือตาบอดข้างหนึ่ง ต้องใช้แผ่นหนังปิดเอาไว้เหมือนโจรสลัดในภาพยนตร์ฝรั่งเป็นคนหนังเหนียวสักยันต์ไว้เต็มพรืดไปหมดทั้งตัว

ไพฑูรย์บอกว่าเงินค่าตัวไม่ต้องการ แต่ต้องการเพียงได้ทำลายขุนหมอกฟ้าและฝิ่นที่เป็นเหตุให้เล่าตาเสียชีวิต เมื่อรับปากแล้วคนที่มาติดต่อก็จะจ่ายเงินรายวันให้ 10 วันๆละ 100 บาท สมัยนั้นเงิน 100 บาทถือว่ามากพอสมควรทีเดียว พอคนติดต่อกลับมาอีกครั้ง ก็คือวันที่ออกเดินทางไปในป่า เพื่อปล้นฝิ่นจากกองคาราวานของขุนหมอกฟ้า

คนที่มาติดต่อในชุดฟาติกแนะนำตัวเองว่า “จ่าน้อม” ขอให้ทุกคนฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม เส้นทางเดินลำบากมากต้องขึ้นเขาชันเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถึงเส้นทางที่เชื่อมเข้าไปสู่ชายแดนพม่า จึงพบกับแมวมองที่พ่อเลี้ยงสมจ้างไว้ให้ดูลาดเลาแมวมองบอกว่าขุนหมอกฟ้ากำลังเข้ามายังเส้นทางที่ดักรออยู่แน่นอน ขอให้ระมัดระวังตัวในการก่อฟืนควันอาจทำให้ถูกจับสังเกตซุ่มอยู่สามวันแมวมองก็มาส่งข่าวว่า ขบวนคาราวานฝิ่นออกมาจากจุดพักสุดท้ายในดินแดนพม่าแต่เช้าตรู่ คาดว่าจะผ่านจุดที่ดักปล้นประมาณตะวันบ่ายคล้อย

จ่าน้อมวางกำลังคนทันที ไพฑูรย์ถูกวางตำแหน่งให้เป็นหน่วยซุ่มยิงที่พร้อมจะเป็นหน่วยสนับสนุนในทันที สำหรับไพฑูรย์แล้วเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับอีก้อและเผ่าอื่นๆที่เป็นอาสารู้สึกว่าจะตื่นๆอยู่สักหน่อย

จ่าน้อมแบ่งกำลังออกเป็นสามตำแหน่ง ด้านซ้าย,ด้านขวาของทางเดินบนที่สูง ส่วนไพฑูรย์ซุ่มยิงอยู่ด้านหน้าเรียกว่า ชิงความได้เปรียบเอาไว้อย่างเหนือชั้นทีเดียว เสียงฬ่อส่งเสียงร้องดังแว่วมา จ่าน้อมโบกมือเป็นสัญญาณให้สมุนที่คุมอาสาสมัครได้โบกตอบว่าพร้อม นาทีระทึกขวัญมาถึง ในที่สุดเสียงปืนแตกดังสนั่น ขุนหมอกฟ้าสั่งสมุนให้นำฬ่อเข้าข้างทาง แล้วเปิดฉากยิงต่อสู้เพื่อกวาดล้างพวกที่มาปล้นกำลังสองฝ่ายก้ำกึ่งกัน

ขุนหมอกฟ้าแสดงความเหนือชั้นด้วยการส่งสมุนอ้อมขึ้นไปด้านบนอย่างเงียบๆ เพื่อโอบล้อมกำลังของจ่าน้อมที่ไม่คาดว่าจะถูกตีตลบหลัง ขณะที่ไพฑูรย์ยิงตรึงมิให้ขุนหมอกฟ้าเคลื่อนที่มาข้างหน้าได้สะดวก

สิบห้านาทีผ่านไปเสียงปืนจากกำลังของขุนหมอกฟ้าที่โอบเข้ามาก็ดังขึ้น ไพฑูรย์ร้องในใจว่า “ฉิบหายแล้ว” จากความได้เปรียบกลายเป็นเสียเปรียบทันที เพราะต้องหันมาระวังหลัง เป็นเหตุให้ขุนหมอกฟ้านำกำลังเคลื่อนที่ผ่านจุดสกัดไปได้ในที่สุดด่านสุดท้ายคือ ไพฑูรย์ ขุนหมอกฟ้ารูปร่างสูงใหญ่แต่งชุดฟาติกแขนสั้นนำมาด้วยความทระนงในความคงกระพันชาตรี

ไพฑูรย์ตัดสินใจใช้มีดหมอหลวงพ่อเดิมขว้างเข้าใส่ขุนหมอกฟ้า ปักตรึงที่หน้าอกด้านซ้ายต่ำลงมาจากบ่า อาถรรพณ์ของมีดทำลายความคงกระพัน ขุนหมอกฟ้าหน้าเสียรีบหลบเข้าที่กำบัง แต่ช้ากว่าลูกปืนที่พร่างพรูออกไปจากปากกระบอกปืนในมือไพฑูรย์ กระสุนทุกนัดเข้าจุดตายหมด ปิดบัญชีแค้นของเล่าตาลงเพียงนั้น เงินส่วนแบ่งที่ได้ทั้งหมด ไพฑูรย์มอบให้ภรรยาของเล่าตาเพื่อเป็นทุนชีวิตส่วนตัวเองหนีเตลิดต่อไป

ที่มา : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพ : ขอบคุณท่านเจ้าของรูปด้วยครับ

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: