2023. เสียงลึกลับจากพงไพร ตอน “อาถรรพ์วังนำเขียว”

ใครที่เคยได้ยินเรื่องราวจากคนที่เข้าป่าบ่อย ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้าน ป่าไม้ หรือแม้กระทั่งนายพราน คงเคยได้ยินเรื่องราวจำพวก ตำนานเสือสมิง ผีบังตาทำให้หลงป่า การห้ามกางเต้นท์ตรงทางด่านเพราะถือเป็นทางผีผ่าน การห้ามนอนตรงพูพอน(รากที่ยกขึ้นมาสูงๆของต้นไม้ใหญ่) เพราะเป็นทางเข้าของรุกขเทวดา ฯลฯ มาบ้าง

เหตุการณ์ที่พบในตอนนี้ล้วนเกิดขึ้นที่ วังน้ำเขียว สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทยของเรานี่แหละ มีทั้งหมด 3 เหตุการณ์ด้วยกัน

ต้นกล้าป่าไม้ทุกคนล้วนต้องผ่านการเรียนในป่าทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งนิสิตปี 1 โดยที่ๆเราไปเรียน เรียกกันว่า “สถานีฝึก” ซึ่งแต่ละที่ ล้วนมีเรื่องเล่า (ถ้าปีแก่กล้าก็ชักแอบมีเรื่องเหล้าด้วย นิสัย!) ด้วยกันทั้งนั้นสำหรับครั้งนี้ก็คือ “สถานีฝึกวังน้ำเขียว” นั่นเอง

หมายเหตุ* แต่ละจุดอาจมีการอธิบายเยอะหน่อยเพื่อให้นึกภาพตามออกนะ ถือซะว่าเป็นการประชาสัมพันธ์คณะ ฮ่าๆๆ

วิชาที่เราไปฝึกที่นี่คือวิชา รุกขวิทยาป่าไม้ (Dendrology) หรือก็จะเรียกกันสั้นๆว่า “เดนโดร” ซึ่งต้องศึกษาต้นไม้ต่างๆจดจำชื่อไทย ชื่อสามัญ ชื่อวิทยาศาสตร์ ลักษณะต้น ใบ ดอก ผล เมื่อเข้าไปเรียนในป่า ก็ต้องทำงานส่ง ซึ่งงานชิ้นนึงก็คือการนำเอาใบไม้ของต้นไม้ต่างๆที่เราเรียนนี่แหละ มาพิมพ์ลงบนกระดาษด้วยหมึกโรเนียว พร้อมบรรยายลักษณะต่างๆลงไป รู้กันอยู่ว่าหมึกโรเนียวนั้น เหนียว และใบไม้บางชนิดก็ไม่ได้ทนต่อแรงกระทำนัก เรื่องมันก็เกิดขึ้นเมื่อ กลุ่มของเราทำใบไม้ ขาด

วันนั้นเป็นวันว่างจากการเรียนการสอนของพวกเราทุกคน ซึ่งเป็นอันรู้กันว่า เมื่อไม่มีสอน ก็คือเวลาทำงานกลุ่ม แต่ละกลุ่มก็จับจองอาณาเขตในการทำงาน ตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ใบไม้ที่เก็บกันมาระหว่างการเข้าป่าไปเรียนในแต่ละวัน จนมือไม้ดำปื๊ด บางคนดำลามไปถึงหน้าเลยทีเดียว

โรงเรือนที่ใช่ในการเรียนการสอน นึกถึงโรงเรียนประชาบาลที่เป็นลานโล่งๆ มีโต๊ะเรียน แล้วมีเสา มีหลังคาสูงๆ และกระดานดำอยู่ด้านหน้า อย่างนั้นเลย แต่สภาพดีนะ ลมโกรกกกกกก ติดกับอีกเรือนลักษณะคล้ายๆกัน แต่เอาไว้กินข้าว แต่ละกลุ่มก็กระจัดกระจายกันอยู่ 2 เรือนนี้แหละ

กลุ่มเรา พิมพ์ใบ “ต้นกระโดน” เป็นใบสุดท้ายของวัน ตอนนั้นเวลาประมาณบ่าย 3 แต่เมื่อภาพที่ได้ไม่สมบูรณ์ก็ต้องพิมพ์ใหม่ พิมพ์ไปพิมพ์มา ใบขาดเลย เมื่อใบไม้ที่เก็บมาขาด เราก็ต้องไปหาใบใหม่ ซึ่งก็ดันจำได้ว่า ในแปลงปลูกที่ติดกับโรงเรือน มีต้นกระโดนต้นน้อยๆอยู่ 1 ต้น กระโดนเมื่อโตเต็มที่จะมีลำต้นสูงมาก เก็บใบไม่ถึงแน่นอน ทางออกคือต้องเก็บจากต้นที่เพิ่งเกิดไม่นาน จึงจะได้ใบไม้มาพิมพ์

แปลงที่มีต้นกระโดนน้อยนี้อยู่ เป็นแปลงปลูกป่าโล่งๆ ไม่ใหญ่นัก เพราะแบ่งเป็น 2 แปลงย่อยๆอีก เนื่องจากมีลำธารเล็กๆตัดแปลง ริมลำธารนั้นมีต้นตะเคียนสูงใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง เนื่องจากเป็นคนที่จำได้ว่าต้นกระโดนที่ว่าอยู่ตรงไหน จึงเป็นหน้าที่ ที่เราต้องเป็นคนไปเด็ดมา

เนื่องจากแปลงนี้ไม่ไกลจากโรงเรือนมาก เดินมาตามทางแป๊บเดียวก็ถึง เลี้ยวขวาเข้าแปลงได้ก็ตรงดิ่งไปยังต้นกระโดนน้อยที่เราสามารถจำตำแหน่งได้แม่นจนน่าแปลกใจ (ตอนสอบจำอะไรไม่ได้ดีขนาดนี้น่ะ) เดินแค่ 10 ก้าวก็ถึงต้นไม้ต้นน้อยนี้ สูงแค่เพียงหน้าแข้ง คั่นระหว่างเรากับต้นตะเคียนที่ห่างออกไปอีกเพียง 4 ก้าว
เราก้มลงเด็ดยอดต้นกระโดน พอเงยหน้ามา…..
.
.
.
ก็ไม่มีอะไร //โดนตบ
เอาน่า เผื่อใครอ่านดึกๆแล้วหลอนไง คั่นอารมณ์หน่อย

พอเราเงยหน้าขึ้นมา เราก็หันหลังกลับไปยังทางเดิมที่เราเดินมา
ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ….. ก้าวที่สิบสาม ก้าวที่สิบสี่ ก้าวที่สิบห้า เฮ้ย! ทำไมมันไม่ถึงทางเดินสักที หรือเราจะหลงทิศ คิดได้ก็เดินกลับไปยังต้นกระโดนน้อยซึ่งตอนนี้ยอดด้วยไปแล้ว ไม่ผิดตำแหน่งแน่นอน ด้วนอยู่ต้นเดียว ฉากหลังเป็นตะเคียน เอาใหม่ เดินใหม่

ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ….. ก้าวที่แปด ก้าวที่เก้า ก้าวที่สิบ ทางเดิน….อยู่ไหน
ประสาทกินละ สมองหมุนติ้ว เหงื่อออกฝ่ามือ หน้าผาก เงยหน้ามองไปยังหลังคาโรงเรือนใกล้ๆเพื่อกำหนดทิศ แต่หลังคากลับหายไป! ทั้งๆที่ตอนเดินมา มองกลับไปยังเห็นหลังคาผ่านยอดไม้บางๆอยู่เลย แต่ตอนนี้ยอดไม้กลับดูแน่นทึบอย่างประหลาด ท้องฟ้าบ่าย3 ไม่เหมือนบ่าย3 แล้ว ตอนนี้เหมือนจะ 6 โมงมากกว่า เราเริ่มเดินวนรอบแปลง “มันต้องมีทางออก ใช่ เราเข้ามาได้มันก็ต้องมีทางออกสิวะ” โชคร้ายที่หาไม่เจอ

เราตั้งสติ แล้วค่อยๆเดินกลับไปที่ต้นกระโดนยอดด้วนต้นนั้น เบื้องหน้าตอนนี้คือต้นตะเคียนที่ยืนสงบนิ่ง ไม่มีธูป ไม่มีผ้าแพร ไม่มีของเซ่น ไม่มีการบูชาอะไรที่บอกว่าต้นตะเคียนต้นนี้ “พิเศษ” เรายืนจ้องต้นตะเคียนต้นนั้นอยู่นาน ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้องทำไม แค่รู้สึกว่าต้นตะเคียนต้นนี้จะให้คำตอบได้ เรายกมือเราข้างที่มียอดไม้อยู่มาแนบอก เหลือบมองต้นไม้ที่ตอนนี้ไม่มียอด แล้วหลับตา

“ถ้าการที่ข้าพเจ้าเด็ดยอดไม้นี้เป็นการลบหลู่ล่วงเกินท่าน เป็นการทำร้ายบริวารของท่าน ข้าพเจ้าทำไปด้วยความจำเป็น นี่เป็นหนึ่งในการศึกษา ข้าพเจ้าจำเป็นที่จะต้องทำลายในครั้งนี้เพื่อจะได้มีความรู้ไปปกปักษ์รักษาป่าไม้ต่อไป ข้าพเจ้าขออภัย ขอให้ให้อภัยด้วย”

เราลืมตา เบื้องหน้ายังคงเป็นต้นตะเคียน แต่บรรยากาศเปลี่ยนไป เราหันหลังกลับ เดินไปสู่ทางเดิน
ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ….. ก้าวที่แปด ก้าวที่เก้า ก้าวที่สิบ ทางเดินอยู่ตรงหน้าแล้ว เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ทางเดินมองขึ้นไป หลังคาโรงเรือนเด่นชัด ท้องฟ้าแดดแรงสมกับเป็นเวลาบ่ายสาม เราก้าวเดินกลับไปยังโรงเรือนเพื่อทำงานกลุ่มให้เสร็จต่อไป เพื่อนในกลุ่มคงเห็นเราทำหน้าแปลกๆ เลยถามว่าเป็นอะไร เราตอบไปแค่ว่า “ไม่มีอะไรหรอก รีบพิมพ์เหอะ ใบสุดท้ายแล้วนะ ระวังๆหน่อยล่ะ ขาดอีกไม่รู้จะไปเอาจากไหนแล้ว”
ในใจคิดว่า “ถึงมีต้นไหนให้ไปเด็ดอีกก็ไม่ไปแล้วนะ”

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : Pantip (โดยคุณ ผู้หญิงเลือดเดือด)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของรูปด้วยครับ

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: