2022. สิ่งลี้ลับที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านบางเขน

จั่วหัวมาก็เอาเลย บางคนที่เข้ามาอ่านคงจะคิดว่าเป็นเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ใช่มั้ย เฮ้ย!อ่านบ่อยแล้วปะ…..โน่วววว!!!

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เราพบเจอ “ด้วยตนเอง” ตอนอยู่มหาวิทยาลัย (ต่อจากนี้ขออนุญาตย่อว่ามหาลัยหรือ ม. นะคะ) ซึ่งเราเจอได้เยอะสิ่งมากอยู่ช่วงหนึ่ง คาดว่าเนื่องด้วยช่วงนั้นดูดวงให้เพื่อนบ่อยในขณะที่ตัวเองไม่ได้มีพลังมากขนาดนั้น และมีเหตุอื่นที่น่าจะเป็นสาเหตุหลัก (จะเล่าต่อไปภายหน้านะ ยาว)

– ขอแบ่งเป็นเรื่องๆนะคะ เพราะแต่ละครั้งที่เจอ เจอเล็กเจอน้อย ไม่ได้เชื่อมโยงกัน และไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตปัจจุบันค่ะ
– ไทม์ไลน์ไม่เรียงกันนะคะ แก่แล้ว ลืมค่ะ หุหุ

เรื่องที่ 1. “ใคร” ที่ริมรั้ว
เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เราศึกษาอยู่ในมหาลัยแห่งนี้ ในคณะที่เรียนเกี่ยวกับป่าไม้ (ได้ข่าวว่ามีคณะเดียว) ซึ่งคณะนี้เนี่ย จะมีรั้วล้อมรอบเป็นรั้วไม้ซึ่งแต่ละชิ้นถูกตีห่างกันประมาณ 1 นิ้ว (นึกภาพตามค่ะ) เหตุมันเกิดขึ้นเมื่อเรากับเพื่อนอีก 2 คนต้องปั่นจักรยานกลับโดยผ่านคณะของพวกเราไปออกประตูสัตว์แพทย์เพื่อส่งเพื่อนของเราคนหนึ่งกลับหอโดยสวัสดิภาพ ก็มีแต่ผู้หญิง ต้องดูแลกันเองดีๆค่ะ

ตอนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม เรา 3 คนกลับจากทำงานหรืออ่านหนังสือนี่แหละที่ชมรม ขอแทนเพื่อนทั้ง 2 ว่า A และ B นะ เรากับ B อยู่หอใกล้กันทางงามวงศ์วาน ในขณะที่ A อยู่หอตรงซ.พหลฯ เรากับ A มีจักรยานทั้งคู่ จึงตกลงกันว่าเราปั่นโดยมี B ซ้อนท้ายเพื่อไปส่ง A ที่ประตูสัตว์แพทย์ และค่อยกลับหอมาด้วยกัน ก็ปั่นไปเม้าท์ไป กินลมชมวิว(มืดๆ) จนถึงคณะของเรา ทีนี้หางตาเราเหลือบไปเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ผมสั้น ใส่เชิ้ตสีขาวแขนสั้นเหมือนเสื้อนิสิต โน้มตัวออกมาจากรั้วในลักษณะหันทั้งตัวมาทางพวกเราแล้วเอียงตัวข้างๆอะ เห็นแค่ครึ่งตัวบนที่โน้มออกมาเพราะครึ่งตัวล่างอยู่ในรั้ว ซึ่งทันทีที่เราเห็น สำนึกของเราบอกว่า ตรงนั้นมันไม่มีช่องว่างขนาดให้ตัวคนผ่านออกมาได้แน่ๆ เพราะฉะนั้น… เราจึงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น (ทุกครั้งที่เจอทำงี้ตลอด คิดเอาเองว่า ถ้าเราทำเป็นไม่เห็น “เขา” จะคิดว่าเราไม่เห็น) แล้วปั่นผ่านไปตามปกติ ปากก็ยังคงเม้าท์แม้จะเงียบไปแป๊บนึงตอนเห็นก็เถอะ ก็ทำการส่งเพื่อนถึงประตูได้สำเร็จก็ได้เวลากลับ ขากลับเราก็แอบภาวนาว่า อย่าเห็นอีกเล้ย ไปไหนก็ไปเห๊อะ แต่พอถึงจุดเดิม เห็นจ้า ลักษณะเดิมครบถ้วน แค่เปลี่ยนด้านที่หันมาทางด้านเราอีกรอบ คราวนี้เงียบ….และปั่นอย่างเร็ว ลูกระน่งระนาดไม่สนใจ B คงเจ็บก้น จึงเอ่ยปากว่า “ทำไมแกปั่นเร็วจัง” เราเลยบอกไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกแก”

แต่เราเรียนวิทยาศาสตร์ค่ะ ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ พอตอนเช้า(ขอพิสูจน์ตอนสว่างๆนะ) เราจึงเดินไปที่รั้วบริเวณนั้นเผื่อมีไม้หลุดออกสักแผ่นสองแผ่นและมีคนมาชะโงกตอนดึกๆจริง และพบว่ารั้วอย่างแน่นจ้า และไม่มีสิ่งของตั้งสูงใดๆที่จะทำให้ตาฝาดมองเป็นผู้ชายสวมเสื้อนิสิตได้เลย

เรื่องที่ 2. ตามกลับหอ
ตอนนั้นเราอยู่ปี 3 วันนั้นเป็นวันพระ พระจันทร์เต็มดวง (ลืมบอก เราจะเห็นวันพระที่พระจันทร์เต็มดวงทุกครั้ง) เราเพิ่งกลับมาจากบ้านตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง นึกครึ้มอกครึ้มใจหาเพื่อดูบอล เลยปั่นเข้าไปในคณะ กะว่าจะดูบอลที่สโมสรฯ อย่างที่บอกคณะเรามีรั้ว มีรั้วก็ต้องมีประตู และอีประตูนี่ปิดเร็วด้วย แต่ยังมีประตูอื่นที่ใกล้ๆกัน ปั่นไปก็คิดไปว่าประตูปิดยังว้า พอถึงประตูก็ปรากฏว่าปิดจริงๆ เราเลยปั่นไปอีกประตูใกล้ๆกัน แหงะไปเห็นที่ยอดประตูเท่านั้นแหละ สิ่งที่เห็นคือสภาพร่างขนาดเท่าเด็กทารก แต่ผอมติดกระดูกและพุงโล เกาะตรงยอดของรั้วอยู่ในลักษณะเหมือนกอดซี่ลูกกรงไว้แน่นและหันมามองเรา ป้าด! วิธีเดิมค่ะ ทำเป็นมองไม่เห็น แต่เราปั่นมาเร็วไง จึงต้องไถลไปกลับรถโดยผ่านรั้วตรงนั้นแล้วปั่นกลับอย่างเร็ว ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองปั่นเร็วมาก แต่ขณะเดียวกันรู้สึกหน่วงในหัว เหมือนปวดหัวตุ๊บๆแต่มีความกดดันมากๆอยู่ เรายิ่งรีบปั่น ปั่นข้ามถนน (ดีรถไม่ชน) ปั่นเข้าซอย จนถึงหอมีความรู้สึกกดดันตามมาด้วยตลอดและหนักขึ้นเรื่อยๆ เราจอดจักรยาน ไม่ล๊อคไม่อะไรทั้งสิ้น และเปิดประตูหอเข้าไป ผลั่วะ! หลุดค่ะ เบาสบาย ความรู้สึกกดดันเหมือนจะทนไม่ไหว หายไปทันที เรามองไปที่ศาล ศาลจีนตั้งพื้นสีแดงๆนี่แหละ ที่อยู่หน้าหอ รู้สึกว่าไอ้ “สิ่งนั้น” เข้ามาไม่ได้เพราที่นี่มีเจ้าของอยู่แล้ว เรายกมือไหว้ขอบคุณและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เข้าไปตรงนั้นตอนดึกๆอีก


เรื่องที่ 3 “ลูกอาจารย์”

ตอนนั้นเราอยู่ประมาณ ปี3 หลังจากทำงานในคณะเราก็ปั่นจักรยานกลับตอนประมาณทุ่มครึ่ง โดยออกทางหน้าคณะมุ่งหน้าไปยังประตูพหลฯ การจราจรคล่องตัว…ไม่ใช่ๆ พอปั่นออกมาได้นิดหนึ่งก็รู้สึกสังหรณ์ในใจแปลกๆ ทันใดนั้น ตาก็เหลือบไปเห็น “เงา”สีดำๆยืนอยู่ตรงกลางถนน ความสูงประมาณเด็ก 7 ขวบ คิดในใจ เอาล้าว ทางผ่านกุด้วย ทำเป็นมองไม่เห็นละกัน เราก็ปั่นต่อไปเรื่อยๆ

ใกล้เข้า….
ใกล้เข้า…
ใกล้เข้าไป…
พอถึงเงานั้น
ปิ๊นๆๆ!!!

สะดุ้งเกือบตกจักรยานค่า แต่ใจตกไปอยู่ตาตุ่มแล้ว เราจอดเลย มีรถเก๋งสีดำมาจอดอยู่ข้างๆ และเลื่อนกระจกลงมา เป็นอาจารย์ของเราเอง หัวเราะร่วนเลย คงขำมากสินะ อาจารย์

“xxxจะไปหนาย ฮ่าๆๆๆ”
“โหย อาจารย์ หนูตกใจ กำลังจะกลับหอค่ะ”
“โอเค กลับดีๆล่ะ อาจารย์กลับละ ฮ่าๆๆ”
“ค่าอาจารย์”
“คิกๆๆๆๆๆๆ” อันนี้ไม่ใช่เสียงอาจารย์ เป็นเสียงเด็กผู้หญิง ดังมาจากเบาะหลัง เราเลยมองเข้าไปในรถ ไม่มีเด็กนั่ง หรือถ้าเราจะมองไม่เห็นเอง อาจารย์มีลูก แต่เป็นเด็กผู้ชาย เสียงที่เราได้ยินคือเสียงเด็กผู้หญิงจริงๆ

อาจารย์ขับรถออกไปแล้ว เงาดำๆหายไปด้วย เรายืนอึ้งแป๊บนึงจึงปั่นจักรยานกลับ ในใจก็คิดเรื่องนี้ตลอด และเก็บเงียบไว้ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง

หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน เราและเพื่อนๆก็ได้ข่าวว่า อาจารย์ท่านนี้ท้องจ้า เราพูดขึ้นกลางวงเม้าท์เลยว่า “เชื่อปะ ว่าลูกอาจารย์เป็นผู้หญิง” แต่ก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เจอให้ใครฟัง จนถึงประมาณกี่เดือนไม่แน่ใจ เพื่อนก็มาบอกอีกว่า อาจารย์ไปซาวน์มาแล้ว ได้ผู้หญิง เพื่อนทั้งโต๊ะหันมามองหน้าเราแล้วถามว่ารู้ได้ยังไง เราก็แค่ยิ้มๆนะ เล่าไปเดี๋ยวกระทบกับตัวเด็ก

ตอนนี้เด็กที่ว่าโตแล้ว เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักและซนมากกก เวลามองหน้า เราก็คิดในใจ เด็กผีเอ้ย ไอ้เด็กบ้า ไอ้เด็กซน แกล้งกันสนุกมากมั้ย ประมาณนี้แหละ แต่น้องน่ารักจริงๆ เราไม่ได้เกลียดแค่หมั่นไส้ ฮ่าๆๆ และเวลาไปเจอเด็กชอบเล่นกับเรามาก คงผูกพันธ์กันมาตั้งแต่เป็นวิญญาณล่ะนะ

เรื่องที่ 4 “ปลุก”
ช่วงปี2 เป็นช่วงทำเกรดวิชานึง(ซึ่งขึ้นชื่อว่าโหดอยู่นะ สำหรับมหาลัยนี้)ของเรา เพราะปี1 กินปลามา แรงฮึดจึงส่งให้ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือตอน 7 โมงทุกวัน ก่อนที่จะไปเรียนในเวลา 9 โมง และเหตุการณ์ครั้งนี้มันก็เกิดขึ้นตอนที่เราต้องตื่นนี่แหละ

วันนั้นเราไปนอนหอเพื่อน ซึ่งเป็นหอหญิงล้วนใหม่เอี่ยม ช่วงนั้นไปนอนบ่อย นอนกัน 4-5 คนเลย ซึ่งหน้าที่ของเราคือ ตื่นมาอ่านหนังสือ อาบน้ำ แต่งตัวและปลุกเพื่อน ทำจนเป็นปกติ ในทุกวันก็ไม่มีอะไร จนคืนก่อนวันเกิดเหตุ เราลืมตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือ แต่คิดว่าตั้งแล้วเพราะมันเป็นวิถีชีวิตประจำวันช่วงนั้นไปแล้วอะ ก็นอนกันไป พอตอนเช้า เราได้ยินเสียง ่ผู้ชาย ่ มากระซิบข้างหูว่า “ตื่นได้แล้ว” เสียงนุ่มๆเลย พูดเบาๆ เหมือนไม่อยากให้ตกใจ เราก็ลืมตาผึงเลย หยิบมือถือมาดู เวลาที่หน้าจอบอกว่า 06:59 พอเรากดๆดูก็เลยเห็นว่าไม่ได้เปิดตั้งปลุกไว้ เลยลุกขึ้นมาคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย แค่พูดเบาๆว่า “ขอบคุณนะ ที่มาปลุก” แล้วก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง โดยเฉพาะเพื่อนที่เป็นเจ้าของห้อง เพราะมันกลัวผี ไปเล่าอีกทีคือถัดมาประมาณเดือนนึง เพื่อนย้ายห้องจากชั้น1ไปชั้น3 มันด่าใหญ่เลยว่าจะเล่าทำไม ก็เห็นว่าย้ายห้องแล้วเนาะ สรุปคืนนั้นก็ต้องนอนเป็นเพื่อนมันไป

เรื่องที่ 5 “หญิงสาวที่ท่าน้ำ” (เรื่องนี้เด็ดสุดในความรู้สึกของเรา เพราะประชิดตัวมาก)
คืนนั้นเราและเพื่อนในชมรมอีก 3 คน นึกครึ้มอกครึ้มใจ ไปนั่งคุยเล่นกันที่ท่าน้ำหน้าตึกกิจกรรม (ตึก8) งงสินะ ทำไมมีท่าน้ำ ขอเกริ่นนิดๆแล้วกัน เมื่อก่อนตึกและเรือนไม้บริเวณนั้นคือหอพักเก่าของนิสิต และในสมัยโบราณ คลองเล็กๆหน้าตึกนั้นคือที่อาบน้ำ เดาว่าคลองน่าจะกว้างและใสกว่าปัจจุบันมาก เมื่อก่อนนิสิตต้องอยู่หอในและนิสิตมีจำนวนน้อยเป็นเพศชายส่วนใหญ่ รายละเอียดอาจจะหาอ่านเล่นๆได้ในหนังสือนิยายเรื่อง “จักรยานสีแดงในรั้วสีเขียว” หรือหอจดหมายเหตุของมหาลัยค่ะ เมื่อมีการย้ายหอไปยังที่ปัจจุบัน การอาบน้ำที่ท่าน้ำก็หายไป เพราะแต่ละหอก็มีห้องน้ำแล้ว (ผิดถูกประการใดขออภัยด้วย) แต่บรรดานิสิตชมรมต่างๆนี่แหละ ที่เอาท่าน้ำเป็นที่นั่งเล่นกัน พังก็ซ่อมแซมกันเอง บางทีมหาลัยใจดีก็มาซ่อมแซมให้

กลับมาที่เรื่องของเรากัน ท่าน้ำที่เราไปนั่งเล่นกัน จะอยู่ติดถนนยื่นไปในคลองที่คั่นระหว่างถนนกับสนามรักบี้ ซึ่งขอบสนามที่ติดกับคลองเนี่ย จะมีต้นสนปลูกเว้นระยะห่างๆกันอยู่ แปลว่าถ้านั่งหันหน้าเข้าถนนจะหันหลังให้กับน้ำและสนามรักบี้นะ เพื่อน 3 คนที่ไปนั่งด้วยกันนั้น มีเซ้นส์ทั้ง 3 จ้า เหลือเราคนเดียวที่มีน้อยๆ บางเบาๆ ก็นั่งจุดเทียน กินขนม คุยเล่นกันไป โดยเรานั่งหันหลังให้สนาม เพื่อนเราขอแทนว่า A(ช) B(ญ) C(ช) นะ ก็นั่งล้อมกันเป็นสี่เหลี่ยมตามด้านของท่าน้ำเลย อยู่ดีๆเราก็มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองมาจากต้นสนที่สนามรักบี้ เวลาตอนนั้นประมาณ 3 ทุ่ม ไม่ใช่คนแน่นอนเพราะเพื่อนคนอื่นๆหันหน้าไปต้องเห็นและทักแน่ๆ จินตภาพในหัวมาเลยจ้า พี่แกต้องแอบอยู่หลังต้นไม้และชะโงกมาดูเราแน่นอน ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป มองก็มอง(ใช้มุขนี้ตลอด) ระหว่างที่นั่งคุยกันก็มีเสียง ตุ๋ม ต๋อม ตลอดเวลา เป็นเสียงเหมือนของตกน้ำ ดังทีก็หันที แต่ก็ลงมติกันว่าเป็นเสียงลูกไม้ ยิ่งดึกเสียงยิ่งถี่ขึ้นๆ สีหน้าทุกคนเวลามองกันคือรู้กันว่าไม่ใช่เสียงลูกไม้แต่ก็ไม่ได้กลัวกันนะ ด้วยความที่แต่ละคนเซ้นส์แรงจนสื่อสารกับวิญญาณได้อยู่แล้ว สักพัก A ซึ่งนั่งตรงข้ามกับเราก็ขอตัวกลับ เราและ B กับ C ก็นั่งกันต่อประมาณครึ่งชั่วโมงก็แยกย้าย ด้วยความที่รู้ว่า B กับ C มีเซ้นส์ น่าจะเห็นหรือรู้สึกได้ ประกอบกับความรู้สึกที่ถูกมองตลอดเวลา พอก้าวขอจากท่าน้ำขึ้นมาที่ถนนปากพล่อยๆก็ถามเลย

เรา: B ถามจริงๆ มีอะไรอยู่ข้างหลังเราป่าวอะ
B: เอิ่ม ไม่มีอะไรหรอก ปะๆ ปั่นจักรยานกลับไปกับ C นะ เรากลับหอในก่อน
เรา: โอเค
พอปั่นมาจนถึงทางที่จะต้องแยกกับ C แล้ว เราเลยถามขึ้นมาอีก
เรา: ตะกี้อะ ที่ท่าน้ำอะ มีอะไรอยู่ข้างหลังเราปะ รู้สึกเหมือนมีคนมองอะ
C: อืมมม ไว้ค่อยถามไอ้A นะ
เรา: อ้าว

แล้วเราก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย เพราะไม่ค่อยเจอ A ด้วย เนื่องจากอยู่คนละคณะกัน มาเจออีกทีตอนถัดมาอีก 2 อาทิตย์ พอนึกขึ้นได้ก็ถามเลย กะว่าคำตอบน่าจะออกมาประมาณว่าเค้าแอบมองมาจากหลังต้นไม้ แต่ได้คำตอบจาก A ว่า

“บ้าเหรอ เค้าไม่ได้อยู่หลังต้นไม้” อ้าว แล้วเค้าอยู่ไหนล่ะ “เค้านั่งหลังพิงกับแกอยู่อะ” ห๊ะ บ้าแล้วววว Aก็เลยเฉลยเหตุการณ์ทั้งหมดว่า

“เห็นเป็นเงาดำๆ และเห็นตั้งแต่มือปีนขึ้นมาจากน้ำ จนขึ้นมานั่งอยู่บนท่าน้ำทั้งตัว เป็นผู้หญิงผมยาว ตัวเปียก พอขึ้นมาได้ก็มานั่งหลังพิงกับเราเลย และเห็นว่านั่งอยู่อย่างนั้นจนขอตัวกลับ”แล้วทำไมไม่บอก A ให้เหตุผลว่า

กลัวว่าจะกลัว แล้วอีกอย่าง ดูแล้วเค้าไม่ได้มาทำอะไร แค่เหงา แล้วเห็นว่ามีคนมานั่งคุยกัน เลยขึ้นมานั่งฟังด้วย จริง B กับ C ก็เห็น แต่ไม่อยากจะพูดตอนนั้นเพราะคนที่เห็นชัดเจนที่สุดคือA นั่นเอง

พอถามไปว่า ถ้าเค้าเหงาจนลากเราลงไปอยู้ด้วยเล่า A ก็หัวเราะและบอกแค่ว่า ไม่หรอก เค้ามานั่งด้วยเฉยๆ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : Pantip (โดยคุณ ผู้หญิงเลือดเดือด)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของรูปด้วยครับ

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: