3664. คดีจ้างฆ่าเมียน้อยและชายชู้ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เกิดมาเป็นคนที่หนังสือพิมพ์ให้ฉายาว่า”ไอ้เสือไพฑูรย์”ตำรวจเรียกว่า”ไอ้อาชญากรตัวร้าย” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เรียกว่า”ไอ้เดนคุก”แต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีที่นักโทษในคุกเรียกว่า”อาจารย์” เพราะทำหน้าที่เขียนอุทธรณ์ไปจนถึงฎีกาให้นักโทษที่ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายหลายคนเป็นชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือไม่รู้กฎหมายไม่รู้สิทธิของผู้ต้องหาถูกตำรวจเจ้าของคดีเอาตัวมาเป็นแพะโดยหลอกให้เซ็นชื่อท้ายคำให้การ โดยถูกหลอกว่าเซ็นแล้วจะไม่ต้องรับโทษคนผิดลอยนวลแต่คนบริสุทธิ์ต้องเข้าคุก

อุทธรณ์และฎีกาหลายรายได้รับการพิจารณาจากศาลมีการรื้อฟื้นสำนวนทั้งจากตำรวจและอัยการตั้งศาลอุทธรณ์และฎีกากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเฉพาะในสมัยที่”คุณหลวงอดุลเดชจรัส” ฉายานายพลตาดุ เป็นอธิบดีกรมตำรวจมีคดีที่ศาลกลับคำพิพากษาหลายคดีทำให้ตำรวจที่ค้าขายสำนวนถูกย้ายถูกให้ออกจากราชการกันเป็นแถว

เพราะหลวงอดุลท่านประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนว่า

”ตำรวจทำผิดเสียเองผมไม่เลี้ยงเสียดายเงินเบี้ยหวัดของหลวงที่จ่ายให้ตำรวจที่กระทำผิดจับคนผิดเข้าคุกเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ถ้าจับคนบริสุทธิ์ไปเข้าคุกถือว่าเป็นโจรในเครื่องแบบตำรวจก็มีสิทธิ์ติดคุกไม่มีใครมาบีบบังคับผมได้ วันหนึ่งพวกคุณจะได้ข้อพิสูจน์”

ไม่นานนักหลังจากรับตำแหน่งก็มีผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่กรมตำรวจท่านรับเรื่องจากนั้นก็ได้ต่อสายมายังเลขาของท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อขอเข้าพบเมื่อได้รับอนุญาตแล้วท่านก็เข้าพบกับจอมพลป. พิบูลสงคราม

”ฯพณ.ฯ นายกรัฐมนตรีมีผู้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับกระผมที่กรมตำรวจกระผมจึงมากราบเรียนเชิญฯพณ.ฯไปให้ปากคำที่กรมตำรวจ ในเวลาที่ฯพณ.ฯสะดวก”

”ผมเป็นนายยกรัฐมนตรีนะคุณหลวงทำไมต้องไปให้ปากคำกับอธิบดีตำรวจด้วยล่ะ ผมไม่จำเป็นต้องไปและภารกิจของผมก็มากหาเวลาว่างไม่ค่อยได้ผมว่าปล่อยเรื่องไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน”

”มิได้ครับฯพณ.ฯ กระผมทำตามกฎหมายวิธีปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีกรมตำรวจตาม ป.วิอาญา หากไม่ปฏิบัติตามกระผมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกระผมเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้าตำรวจทั้งประเทศ ส่วนฯพณ.ฯ ก็เป็นผู้นำพลเรือนที่มีตำแหน่งสูงสุดด้านการบริหารหากทำผิดกฎหมายเสียเองมันจะเกิดผลเสียหายในสายตาประชาชน”

”ถ้าผมไม่ไปล่ะท่านอธิบดี”

”ฯพณ.ฯ ครับ กระผมมาขอเชิญ ฯพณ.ฯ ไปให้ปากคำที่กรมตำรวจประกอบคดีแล้วท่านจะสะดวกผมให้เกียรติท่านในฐานะผู้นำรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชาของผม หาก ฯพณ.ฯ ไม่เดินทางไปผมก็จะกลับมาใหม่พร้อมหมายเรียกและหากท่าน ฯพณ.ฯ ไม่ไปตามหมายเรียกโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรผมก็จะมาพบ ฯพณ.ฯ อีกพร้อมหมายจับตามขั้นตอนของกฎหมายได้โปรดเถอะครับ ฯพณ.ฯ

จอมพลป. พิบูลสงครามเห็นจริงตามที่หลวงอดุลได้กราบเรียน จึงเรียกเลขาเข้ามาให้ตรวจดูเวลาที่นัดกับรัฐมนตรีกับบรรดาส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และแขกต่างประเทศ เมื่อพบช่วงเวลาที่เหมาะสมอจึงแจ้งให้หลวงอดุลเตรียมจัด สถานที่ไว้รองรับการให้ปากคำของนายกรัฐมนตรีที่กรมตำรวจหลังจากให้ปากคำแล้วเรื่องไปถึงอัยการ อัยการเห็นว่าเป็นการกล่าวโทษที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงตามหลักฐานพยานจึงสั่งไม่ฟ้องในที่สุด

ไพฑูรย์ว่าหลวงอดุลท่านเป็นคนตรงทำให้ตำรวจทั้งกรมมีความเกรงกลัวแม้แต่นายกฯไปจนถึงรัฐมนตรีต่างก็ให้ความเชื่อถือในตัวหลวงอดุลเดชจรัสว่าเป็นคน”ตงฉิน” จนแม้ในยามสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านก็เข้าเป็นเสรีไทยอย่างลับๆ มีชื่อจัดตั้งจากฝ่ายพันธมิตรสายอเมริกาว่า ”พูเลา” หากไม่ได้หลวงอดุลช่วยเหลือแล้วเสรีไทยที่ถูกญี่ปุ่นจับจะได้ถูกญี่ปุ่นกระทำทารุณจนตายเป็นแน่

หลวงอดุลท่านแข็งท่านยืนโต้กับแม่ทัพกองทัพถึงข้อตกลงในการขอใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่าน มิได้ยึดอธิปไตย คนไทยที่ทำผิดแม้ฝ่ายญี่ปุ่นจะเป็นผู้จับกุมพร้อมด้วยหลักฐานจะพิจารณาความผิดเองมิได้ต้องส่งให้ฝ่ายไทยดำเนินการตามกฎหมายในศาลสถิตยุติธรรมที่ทำหน้าที่คล้ายศาลทหารด้วยอยู่ในระหว่างสงครามซึ่งมีเพียงศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียว

เสรีไทยหลายต่อหลายคนถูกญี่ปุ่นนำมาฝากขังไว้ที่กองปราบปรามในความดูแลของฝ่ายไทย มีอาหารให้รับประทานดีๆไม่ใส่เครื่องจองจำยกเว้นเมื่อผู้ตรวจราชการกองทัพมาตรวจดูนักโทษที่กองปราบปรามจึงจะใส่เครื่องจองจำให้ญี่ปุ่นเห็นแล้วสบายใจเท่านั้นเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามบรรดาเสรีไทยต่างพากันเฉลิมฉลอง มีหลวงพ่อดุลรวมอยู่ด้วย

ตำรวจในกองปราบจึงได้รู้ว่าที่แท้คุณหลวงอดุลก็เป็นหนึ่งในเสรีไทยด้วยการให้ปากคำของเสรีไทยและหลวงอดุลทำให้จอมพล ป. รอดพ้นจากข้อกล่าวหาของฝ่ายพันธมิตรว่าเป็นอาชญากรสงครามในฐานะให้การสนับสนุนของกองทัพพระเจ้าจักรพรรดิก่อสงคราม

ศาลทหารของฝ่ายพันธมิตรพิพากษาให้ปล่อยตัวจอมพลป. พ้นจากข้อหา”อาชญากรสงคราม” ได้มีโอกาสดูจอมพลฮิเดโรชิ โตโจกับขุนศึกที่บัญชาการทำการสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้ถูกศาลทหารฝ่ายพันธมิตรตัดสินประหารชีวิตในฐานะเป็นอาชญากรสงครามด้วยการแขวนคอทุกวันนี้ อัฐิ ยังอยู่ในศาลเจ้ายาสึคุนิ

คดีที่ไพฑูรย์ทำเรื่องอุทธรณ์ คือ เรื่องของนักโทษชายพ่วงที่ถูกจำคุก 20 ปีด้วยข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาซึ่งนักโทษชายพ่วงได้เล่าให้ฟังว่า

ตนเองเป็นลูกจ้างอยู่ในบ้านของคุณทองทิว เศรษฐีใหญ่แห่งบางกอกน้อยคุณทองทิวมีภรรยาน้อยหลายคนที่นับว่าขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุดก็คือคุณแหม่มที่คุณทองทิวปลูกบ้านให้อยู่ในบริเวณที่ดินด้านหลังบ้านของคุณนายสายหยุด เมียใหญ่

คุณทองทิวได้คุณแหม่มด้วยอำนาจเงินโดยช่วยไถ่บ้านและที่ดิน ที่นางแพรวมารดาของคุณแหม่มเอาไปเล่นในบ่อนคาสิโนที่ทางรัฐบาลเปิดอย่างถูกกฎหมายจวนจะถูกยึดนางแพรวมาพบคุณทองทิวเพื่อขอให้ไถ่บ้านและที่ดินโดยเสนอ คุณแหม่มลูกสาวที่แสนสวยให้เป็นภรรยาน้อย

คุณทองทิวเห็นรูปร่างหน้าตาของคุณแหม่มก็พอใจจึงตกลงนอกจากจะไถ่บ้านและที่ดินแล้วยังมีค่าสินสอดอีกจำนวนมาก

คุณแหม่มมีคนรักอยู่แล้วโดยได้เสียกันลับๆ ชื่อนายกนกเป็นพนักงานธนาคารครั้นเมื่อคุณแหม่มมาตกเป็นเมียน้อยของคุณทองทิว สองคนก็ต้องแยกทางกัน ทว่าสมรรถภาพทางเพศของคุณทองทิวที่อายุมากแล้วไม่สามารถสร้างความสุขให้กับคุณแหม่มได้คุณทองทิวไปสวรรค์คนเดียวคุณแหม่มตกนรกคุณแหม่มจึงมักออกไปนอกบ้านแล้วนัดนายกนกมาพบพากันไปขึ้นวิมานฉิมพลีกันในโรงแรม

ความลับไม่มีในโลกในที่สุดคุณทองทิวก็เริ่มระแคะระคายจึงจ้างคนสะกดรอยคุณแหม่มไปจนพบว่าไปเริงรักกับนายกนกตามโรงแรมคุณทองทิวเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อคุณแหม่มเอาเขามาสวมหัวให้ จึงวางแผนจัดการทั้งคุณแหม่มและนายกนกโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้พฤติกรรม

เมื่อวางแผนจนเห็นว่าแยบยลดีแล้วจึงออกเดินทางจากบ้านโดยนำคุณนายสายหยุดไปด้วย บอกว่าจะไปติดต่องานทางภาคเหนือทิ้งบ้านไว้กับคุณแหม่ม

นายพ่วงเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของคุณทองทิวทำงานต่อจากพ่อที่เป็นคนสวนก่อนคุณทองทิวจะออกจากบ้านได้กำชับนายพ่วงว่า

”พ่วงเอ็งคอยดูบ้านพักของคุณแหม่มไว้ให้ดี ข้าเป็นห่วง หากมีอะไรผิดปกติเอ็งรีบไปดูเหตุการณ์ไม่ต้องเกรงใจว่าเขาเป็นเมียข้า ข้าเป็นห่วงเพราะพวกขโมยขโจรมันชุมข้าไว้ใจเอ็งกว่าคนอื่น”

คุณทองทิวได้ว่าจ้างนายแจ้งกับนายกล่ำให้มาวนเวียนอยู่ใกล้บ้านพักของคุณแหม่มในตอนกลางคืนทุกคืน เมื่อใดมีชายหนุ่มแอบเข้าไปในบ้านให้รอจนแน่ใจว่าสองคนกำลังเปลือยกายเริงรักกันก็ให้เข้าไปใช้ปืนยิงให้ตายคาเตียงจากนั้นรออยู่จะมีคนใช้ในบ้านวิ่งเข้าไปดูให้ทำอย่างไรก็ได้ให้มันกำปืนด้ามที่ใช้ยิงแล้วหนีไปนอกนั้นคุณทองทิวจะจัดการเอง

คุณแหม่มกับนายกนกดวงถึงฆาตเมื่อแอบมาเริงรักกันบนบ้านของคุณทองทิวนายแจ้งกับนายตกล่ำก็พังประตูห้องที่ไม่ได้ใส่ก่อนเข้าไปเห็นคุณแหม่มกับนายกนกเริงรักกันอุตลุด ก็ใช้มือที่ใส่ถุงมือเหนี่ยวไกยิงจนตายทั้งคู่แล้วปิดไฟรอให้นายพ่วงวิ่งมาดูเหตุการณ์

พอนายพวกมาถึงสองคนก็แสร้งทำทีจะทำร้ายในพ่วงก็เข้าต่อสู้ นายกล่ำทำปืนตกไว้แล้วพากันหนีนายพ่วงคว้าปืนได้ก็ไล่ยิงไล่หลังไปก่อนจะถือปืนเดินไปเปิดไฟก็เห็นศพของคุณแหม่มกับนายกนกนอนพร้อมกันตายขณะร่วมเพศเลือดท่วมตัว

เสียงปืนทำให้เพื่อนบ้านโทรแจ้งตำรวจ ตำรวจมาตรวจสถานที่เกิดเหตุพบนายพ่วงวางปืนไว้ที่พื้นรอตำรวจอยู่ ตำรวจได้เก็บปืนพกไว้เป็นหลักฐานหลังจากตรวจสอบพลิกศพแล้วตำรวจได้จับตัวนายพ่วงไปที่โรงพักเพื่อสอบสวนโดยตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาไว้

ก่อนโดยตั้งสมมติฐานว่า นายพ่วงลักลอบได้เสียกับคุณแหม่มแต่คุณแหม่มกลับพานายกนกมาหลับนอนด้วยนายพ่วงดอดมาจะนอนกับคุณแหม่มเห็นคุณแหม่มเริงรักกับนายกนกจึงเกิดอารมณ์หึงหวงนำปืนที่ติดตัวมายิงจนตายทั้งคู่

นายพ่วงปฏิเสธตลอดข้อหาแต่คุณทองทิวได้ให้การปรักปรำนายพ่วงตามแผนที่วางไว้โดยให้การว่า ล่วงรู้ถึงพฤติกรรมของนายพ่วงกับคุณแหม่มมาตลอดแต่ไม่คาดว่าเมื่อไม่อยู่บ้านคุณแหม่มจะนำชายชู้อีกคนมาเริงรักจนเกิดเหตุสลดดังกล่าว

เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจหัวกระสุนที่พบในร่างของผู้ตายกับปืนของกลางพบว่ายิงจากกระบอกดังกล่าว ส่วนหัวกระสุนที่นายพ่วงอ้างว่ายิงไล่หลังคนร้ายไม่พบหัวกระสุน ส่วนร่องรอยคนร้ายที่นายพ่วงอ้างว่ามีสองคนไม่พบร่องรอยเพราะคุณทองทิวเป็นคนชี้จุดการเข้าออกที่จะไม่ปรากฏหลักฐานให้

พนักงานสอบสวนได้ประมวลหลักฐานแวดล้อมกับหลักฐานทางคดีคือปืนและกระสุนที่ใช้ยิง ยิงมาจากปืนกระบอกที่เป็นหลักฐานและลายนิ้วมือของนายพ่วงที่ติดอยู่ที่ด้ามปืนส่งให้พนักงานอัยการพนักงานอัยการทำเรื่องฟ้องร้องต่อศาล

นายพ่วงต้องสู้คดีแบบอนาถาโดยทนายที่ศาลจัดให้ ศาลวิเคราะห์จากพยานหลักฐานและพยานแวดล้อม ฟังได้ว่าจำเลยผิดจริงจึงพิพากษาให้จำคุก 20 ปี

ไพฑูรย์ได้ฟังตลอดแล้วจึงได้ถามนักโทษชายพ่วงว่าถนัดใช้มือไหนในการทำงานนักโทษชายพ่วงบอกว่าถนัดซ้ายจึงถามต่อไปอีกว่าในการพิจารณาคดีมีการหยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงหรือไม่

นักโทษชายพ่วงบอกว่าไม่มีเพียงแต่พูดในประเด็นว่าจำเลยได้ลงมือยิงผู้ตายจริงด้วยอาวุธปืนที่พกเท่านั้น

ไพฑูรย์ได้ทำอุธรณ์ทันทีโดยให้นักโทษชายพ่วงยื่นผ่านผบ. คุกตามระเบียบเนื่องจากไม่มีเงินจ้างทนายความ ขอให้ศาลได้โปรดหาทนายให้แบบคดีอนาถาศาลเห็นประเด็นใหม่ที่ทางไพฑูรย์ได้แนะให้ทนายยื่นต่อศาลให้รื้อหลักฐานสามอย่างคือลายนิ้วมือวิถีกระสุน และข้อต่อสู้ที่นายพ่วงนั้นเป็นคนถนัดมือซ้าย มาเป็นข้อต่อสู้

ศาลให้ทางฝ่ายนิติเวชกรมตำรวจทำการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือว่าเป็นมือซ้ายของผู้ต้องหาจริงแต่ผลการตรวจสอบวิถีกระสุนเปลี่ยนวิถีกระสุนที่ยิงมาจากมือขวาของผู้ถนัดมือขวาซึ่งเมื่อนำตัวจำเลยมาทดสอบการยิงก็พบว่าจำเลยยิงปืนด้วยมือขวาไม่ได้เพราะไม่ถนัดและยิงด้วยมือซ้ายใส่หุ่นเพื่อทดสอบก็พบว่าแตกต่างจากที่พบในศพทั้งสอง

มีการเปลี่ยนพนักงานสอบสวนใหม่ตามหลักฐานใหม่สามารถหักล้างสำนวนของพนักงานสอบสวนชุดเก่าที่อำพรางข้อเท็จจริงจนจำเลยถูกตัดสินจำคุกศาลจึงพิพากษาให้ปล่อยตัวนักโทษชายพ่วงทั้งอุทธรณ์และฎีกา

เจ้าพนักงานสอบสวนชุดใหม่สอบพบว่าคุณทองทิวได้ล่วงรู้ว่าคุณแหม่มมีชู้ โดยได้พยานหลักฐานที่นายทองทิวว่าจ้างให้คอยติดตามดูพฤติกรรมมีการเชิญตัวคุณทองทิวมาสอบปากคำจนในที่สุดคุณทองทิวก็สารภาพว่าเป็นคนว่าจ้างมือสังหารคือนายแจ้งกับนายกล่ำเป็นมือสังหารแล้วโยนความผิดให้นายพ่วง

ตำรวจตามล่ามือสังหารทั้งคู่นายแจ้งต่อสู้ตายคาปืนนายกล่ำยอมให้จับเป็นคุณทองทิวศาลพิพากษาให้ลดโทษจากประหารมาเป็นตลอดชีวิตเพราะให้การเป็นประโยชน์ส่วนนายกล่ำศาลพิพากษาให้จำคุก 20 ปี ไม่มีลดหย่อน

ทั้งสองคนเข้ามาพบกับไพฑูรย์ในคุกและรู้ว่าคนที่ทำอุธรให้นักโทษชายพ่วงคือไพฑูรย์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะสิงโตหินกินยาก

ตำรวจชุดสอบสวนชุดแรกรอดตัวเพราะนายพ่วงไม่ติดใจฟ้องกลับแต่หลวงอดุลสั่งย้ายไปทำงานด้านอื่นไม่ให้เกี่ยวข้องกับเรื่องคดีอีกต่อไป

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: