3809. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 10 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
อนุทินนิรนาม ตอนที่ 10 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)
คำขอเป็นผู้สอบปากคำชาวบ้านถึงการหายตัวของเสืออิ้นหลังถูกยิงของผมทำให้รุณ ตาแดงมิได้ออกอาการอันส่ออารมณ์ร้าย ถึงกระนั้นนักเลงปืนผิวนิลก็ยังไม่ยอมเปืดปากให้ดำเนินการตามขอในทันที ครู่หนึ่งรุณสะบัดหน้าไปทางลุงโป้ชาวบ้านสูงวัยผู้นำข่าวร้ายมาบอก สั่งความเสียงเข้ม
“ลุงโป้อยู่กับเพื่อนผมนะ”
“ตกลงนายรุณ”
“เปี๊ยก” เพื่อนเจาะจงที่ผม สุ้มเสียงเบาแผ่ว “ทุกวินาทีมีค่าต่ออิ้น เราต้องช่วยเหลือมันนะ”
“เราจะใช้เวลาพูดคุยให้เร็วที่สุด”
“ถ้างั้นเราจะไปรอที่รถ”
จบคำร่างผิวสีนิลสันทัดในชุดนัดกุมสวมทับด้วยแจ๊กเก็ตฟีลด์ผละนำสมุนทั้ง ๖ คนไปที่รถ ลุงโป้ขยับเข้ามากระซิบสุ้มเสียงประหลาด
“พวกนี้ถึงเป็นคนบ้านป่าเขาก็มีหัวใจ ถ้าคุณไม่ทำให้พวกเขากลัวจนเกินไปนัก”
ผมยิ้มให้ผู้สูงวัยกว่าแทนลมปากที่แกเมตตาให้สติ พร้อมๆ กับทึ่งที่คนวัยครึ่งศตวรรษกลางป่าดงพงพีหลุดคำให้สติได้เยี่ยม อันต่างกับเรือนรูปคล้ำโทรมต่อชีวิตกรำงานหนักของแก อย่างไรก็ตามสถานะอย่างนั้นไม่มีเวลาให้ผมคิดกว้างไกลกว่าเรื่องเฉพาะหน้า จึงบอกแก
“ลุงเข้าไปกับผมเถอะ”
“ครับ” รับคำเบากริบ
เรา ๒ คนก้าวย่างเข้าหากลุ่มชาวบ้านอีกครั้ง คราวนี้ทั้งกลุ่มไม่ถอยนีหรือส่ออากัปกิริยาพรั่นพรึงเราดั่งเผชิญหน้ารุณ ตาแดง ผมหว่านด้วยยิ้มเสนอไมตรี ได้ผล…๒-๓ คนพยายามฝืนยิ้มพร้อมเหลือบตามองกัน
“ทุกคนคงรู้แล้วว่าพวกผมอยากรู้ว่าใครเป็นคนพาตัวนายอิ้นไปหลังจากถูกยิง หวังว่าพวกเราในที่นี้คงไม่ปิดบัง” ผมกล่าวประโยคแรก
ชายชาวบ้านเขาวงวัยไล่ๆ กับลุงโป้ยืนอยู่หน้าเพื่อน มือขวาชูคบลุกโชน เบนสายตาไปทางลุงโป้ กล่าวสุ้มเสียงบอกสำเนียงชาวอีสาน
“ลูกสาวเจ้าน่ะแหละที่มันเห็นคน ๓ คนหามนายอิ้นขึ้นรถกระบะไป”
“ไอ้บ้า อีแป้งลูกสาวกูมันไปเห็นได้ยังไงวะ” ลุงโป้ชักร้อนบ้าง
“มันเข็นรถไปตักน้ำ ตอนขากลับมันเห็น”
“ฉิบหายแล้ว” ลุงโป้อุทานพลางจับแขนผม “ไปพ่อหนุ่ม ไปที่บ้านผม”
ผมยกมือคารวะอำลาชาวบ้าน แต่มิทันหันกลับก็ปรากฏเสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่มมาจากท้ายหมู่บ้านเขาวง ผม ลุงโป้ และชาวบ้านต่างจับตาไปทางเส้นทางลูกรังดำมืด ชั่วอึดใจจึงเห็นแสงไฟหน้ารถพุ่งจ้ามุ่งมายังปากทางที่พวกเรายืนอยู่
เหลือระยะประมาณ ๑๐๐ เมตรที่รถจะมาถึงทางแยกกลับบังเกิดเสียงคนหวีดร้องผสานเสียงเครื่องยนต์ บ่งถึงหญิงสาวตกอยู่ในห้วนอันตราย รถยิ่งวิ่งใกล้เข้ามาเสียงหวีดร้องของผุ้หญิงยิ่งชัดเจน
“อีแป้ง!” ลุงโป้ร้องเสียงหลง
รูปการณ์แบบนี้ช้าไม่ได้ จึงคว้าแขนลุงโป้ไว้ บอกเสียงดัง “ไปที่รถเถอะลุง”
ผมกึ่งวิ่งกึ่งลากผู้สูงวัยกลับไปสมทบกับรุณ ตาแดงที่รถ ปากบอกเพื่อน
“สกัดรถนั่นไว้ มันฉุดลูกสาวลุงโป้”
นักเลงปืนผิวนิลคล้ายเห็นเหตุกับตาคาดการณ์ตรงกับผม สั่งการสมุนลงจากรถหามุมปักหลักสกัดรถซึ่งขณะนี้กำลังผ่านกลุ่มชาวบ้าน ส่วนผมกับลุงโ้ป้กระโจนเข้าหามะค่าต้นใหญ่ รุณ ตาแดงสตาร์ตเครื่องยนต์จี๊ปวิลลี่กรหึ่มป่า ไฟหน้าพุ่งจ้า พลันจี๊ปเล็กทะยานลิ่วเข้าปิดทางแยก ผมใจหายวาบเผลอกระชาก ๑๑ ม.ม. ออกจากซองซอกเอวขึ้นลำ ศูนย์ปืนจับยังโชเฟอร์รถปิกอพสีกลมกลืนความมืด
“นายรุณบ้าระห่ำเหลือเกิน” ลุงโป้พึมพำ
โชเฟอร์รถปิกอัพมหาภัยพอเห็นจี๊ปเล็กโผล่พรวดเข้าปิดถนนคงตะลึงรีบหยียบเบรกกะทันหันจนล้อรถครูดไปกับถนนดังแสบเหง้าหู ส่วนรถเสียศูนย์แฉลบทิ่มหัวลงไหล่ทาง เราทั้งหมดโผนออกจากที่กำบังชาร์จหาในบัดดล ปืนยิงเร็วทุกกระบอกจี้ยังร่างตะคุ่มๆ ของชายฉกรรจ์ ๒ คนที่เปิดประตูรถออกมา บนกระบะรถมีร่างคนในสภาพนอนหงายกับนอนคว่ำกลิ่นคาวเลือดโชยคลุ้ง
“ลุงโป้ ฉายไฟหน่อย” ผมบอกผู้สูงวัยที่กล้าเกินวัย
ไฟฉายขนาด ๕ ท่อนในมือลุงโป้สว่างโพลง ขณะเดียวกันรอบๆ ตัวปรากฏเสียงดังสับสน ภาพคนบนรถจากแสงไฟฉายที่เห็นเป็นสาวรุ่นนุ่งผ้าถุงดำ สวมเสื้อคอกระเช้าสีฟ้า กับชายฉกรรจ์วัย ๓๐ ปี ถูกยิงบาดแผลฉกรรจ์บริเวณทรวงอกกับไหล่ขวา ๓ แผล
“อีแป้ง…” ลุงโป้ครวญก่อนผลีผลามขึ้นไปบนกระบะรถจนต้องรีบรับไฟฉายจากแกไว้
“แป้งเอ๊ย เป็นยังไงบ้างลูก” ผู้พ่อบนรถครวญน่าสมเพช
ผมหันไปคว้าจับชีพจรชายฉกรรจ์ซึ่งถูกยิงบริเวณไหล่ขวาหายไปทั้งกระบิกับบริเวณชายโครงขวาอีก ๒ แผล พบชีพจรเต้นแผ่วพาเอาเหงื่อซึม
รุณ ตาแดงสั่งสมุนควบคุม ๓ ชายฉกรรจ์ที่มากับปิกอัพมหาภัยน้ำเสียงดุดัน ต่อมาเขาปราดมายืนเกาะกระบะรถ ผมปล่อยมือที่จับชีพจรชายฉกรรจ์นั่นวางลงข้างซากร่างไม่ไหวติง
“นั่นลูกสาวลุงโป้หรือ?” รุณถาม
ลุงโป้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าปรากฏรอยตีนกายับย่นเป็นมันเยิ้มบัดนี้แลดุดัน นัยน์ตาแทบร้างประกายตามวัยกลับเบิกวาวคลอด้วยหยาดน้ำใส ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริกก่อนหลุดปากแหบๆ
“อีแป้งลูกของลุงเอง มันคงไปฉุดจากบ้าน”
สิ้นเสียง นัยน์ตาผู้สูงวัยกะพริบถี่ หยาดน้ำใสร่วงพราว สองแขนโอบกอดสาวรุ่นที่หมดสติไว้กับบอก รุณถามทำลายบรรยากาศที่เครียดจากเหตุการณ์
“ไอ้อิ้นอาการเป็นยังไง…เปี๊ยก?”
“ชีพจรเต้นแผ่วมาก” ผมตอบ
“ลุงโป้ ผมจะทำให้ลุงสบายใจจนได้” รุณกล่าวน่าคิด “ไปเปี๊ยก ไปคุยกับไอ้ ๓ ตัวนั่นกัน”
นาฬกาข้อมือผมบอกเวลา ๒๓.๔๐ น. ใกล้ครึ่งคืนเข้าไปแล้ว ๓ ชายฉกรรจ์ผู้มากับปิกอัพถูกมัดมือมัดเท้านอนคว่ำกับพื้นถนนลูกรังริมทางโดยมีบริวารเพื่อนผลัดเปลี่ยนกันขึ้นขย่มเหยียบหลังให้เปิดปากบอกถึงตัวผู้บงการแต่ไม่ได้ผล ๓ เชลยยอดทรหดปิดปากสนิท แม้บางคราวถูกกระทืบบิดตัวเร่าๆ ครวญครางปานจะขาดใจ ขณะยืนชม #ยำใหญ่ ๓ เชลยกลับบังเกิดเสียงผู้หญิงร่ำไห้ระคนสะอึกสะอื้น ต่างจึงเบนสายตาไปยังกระบะรถ ปะลุงโป้กำลังประคองบุตรสาววัยรุ่นมุ่งมาหา รุณทักถาม
“อาการดีแล้วหรือ?”
“พวกห่านี่มันตบซะหน้าบวม” ลุงโป้ฟ้องเสียงเครียด
สาววัย ๑๘ ปี พอถูกบิดาพามายืนอยู่ต่อหน้าพวกเรารีบหยุดร่ำไห้ ใช้สองมือปิดหน้าหลบไปยืนด้านหลังบิดา รายการสอบซ้อม ๓ หนุ่มรถปิกอัพหยุดลง แต่ละคนยืนหอบหายใจฟืดฟาด ความสว่างจากไฟหน้ารถจี๊ปเล็กส่องให้เห็นทั้ง ๖ คง เหงื่อชุ่มเสื้อ
“แม่งทนยังกะแรด” ๑ ใน ๖ ยกย่อง
รุณกวาดตามองรอบตัวอันห่อหุ้มป่าทึบในความมืด ผมมองตามจึงพบว่าไม่มีชาวบ้านสักคนในบริเวณที่เกิดการเผชิญหน้า ไม่ทราบว่าหลบไปเมื่อไหร่
“ลุงโป้พาลูกกลับไปพักผ่อนเถอะ เจอใครก็บอกเขาว่าผมช่วยสกัดจับคนร้ายที่ยิงนายอิ่นกับฉุดลูกสาวลุงไว้ได้ ระหว่างต่อสู้กันทั้ง ๓ คนถูกปืนตาย”
“ถ้าหยั่งงั้นลุงกลับก่อนละนะ”
“อย่าลืมบอกทุกคนตามที่ว่านะลุง”
“ตกลง นายรุณ” ผู้สูงวัยรับคำ
ด้วยความที่นิยมชมชอบท่วงท่าความกล้าตลอดไปถึงน้ำคำลุงโป้ ทำให้ผมนำแกไปที่จี๊ปเล็ก ช่วยยกรถจักยาน ๒ ล้อให้ ลุงโป้ยกมือไหว้ท่วมหัวพลางจับแขนผมบีบ
“ถ้านายรุณได้ครึ่งของพ่อหนุ่ม บ้านเขาวงจะดีกว่านี้”
“ลืมมันเถอะครับ คนเรามีช่วงหนึ่งที่หลงผิดได้” จบคำผมรีบดึงแขนจากแกกระทำคารวะตอบ
๒ พ่อลูกปั่นจักยาน ๒ ล้อกลับเข้าหมู่บ้านโดยมีไฟฉายส่องนำ รุณกับ ๖ สมุนเคลื่อนไหวอยู่ที่รถปิกอัพอันสภาพหน้ารถทิ่มลงข้างทางท้ายโด่งเหมือนเดิม ลมภูเขายามดึกกรรโชกแรง อากาศรอบตัวเย็นยะเยือกดับร้อนในอกจากเหตุฉุกละหุกเมื่อครู่จนรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
“เปี๊ยก…เปี๊ยก ปิดสวิตช์ไฟรถดับวูบ ณ ทางแยกเข้าบ้านเขาวงดำทะมึนและเงียบจนแว่วเสียงสัตว์กลางคืนขับขานบทเพลงกล่อมไพร ทันใดเสียงปืนไม่ต่ำกว่า ๔-๕ กระบอกแผดรัวกัมปนาทก้องรัตติกาล แสงสีส้มฉีกประกายวูบวับ
ปัง! ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง! ปัง!
กว่าเสียงปืนจะสงบผมรู้สึกหูอื้อ ทั่วร่างเย็นเยียบ สองมือชาดิพร้อมฉุกคิดถึงคำพูดนักเลงปืนผิวนิลกล่าวกำชับลุงโป้ให้บอกกล่าวชาวบ้านเขาวงว่าเขาช่วยสกัดจับคนร้ายยิงนายอิ้นกับฉุดสาวรุ่นจนเกิดยิงต่อสู้กัน และที่สุดจบลงด้วย ๓ คนร้ายถูกยิงตาย วิสามัญฆาตกรรมหมู่ในหมู่โจร…รุณ ตาแดงเดินพาดเอ็ม-๑๖ ไว้กับบ่านำสมุนทั้ง ๖ กลับมาที่รถ ผมนั่งปิดปากตัวเองอย่างสงบ เหล่าบริวารปีนขึ้นนั่งท้าบรถ รุณประจำตำแหน่งโชเฟอร์พาดเอ็ม-๑๖ ไว้ข้างรถ
“เปี๊ยก ท่าทางนายคงชอบลุงโป้” เพื่อนชวนคุย
“คงเพราะลุงโป้มีหลายอย่างในตัวแกเหมือนพ่อเรา”
“เราโหดมั้ยที่ยิงไอ้ ๓ ตัวนั่นทิ้ง” เขาเปลี่ยนเรื่องฉับ มือขวาแตะที่ปุ่มสตาร์ต
“สมน้ำสมเนื้อกัน” ผมตอบตรงๆ
รุณแผดหัวเราะลั่น มือขวาจับแขนผมบีบเบาๆ ก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์กรัหึ่มป่า ผมรีบท้วง
“แล้วอิ้นล่ะ?”
“หมดลมแล้ว เราต้องทิ้งศพไว้ให้ญาติกับลูกเมียมัน”
จี๊ปเล็กเคลื่อนจากปากทางแยกเข้าบ้านเขาวงวิ่งเลาะไปตามทางลูกรังเชิงเขาอันเป็นเส้นทางเดิมเมื่อเข็มนาฬิกาบนข้อมือบอกเวลาครึ่งคืนแล้ว
อนิจจา…กว่าจะได้ล้มตัวลงนอนปิดตาสนิทในครั้งแรกก็ปาเข้าตี ๒ มารู้ตัวคราวพบว่ามีคนมาจับปลายเท้ากระตุก ๒-๓ ครั้ง จึงลืมตาพบเพื่อนในชุดยีนส์ประแป้งขาวลายทั่วหน้ายืนยิ้มฟันขาว
“สายแล้ว ลุงโป้แกขี่รถเอาโอยัวะมาฝากนายกับเรา ๒ ถุง เราอุ่นกำลังร้อนๆ ทีเดียว”
น้ำจิตจากมิตรที่ผมยอมรับเป็นเพื่อน ทำให้ต้องกุลีกุจอลุกไปล้างหน้าตาลวกๆ จากนั้นจึงร่วมชดกาแฟดำฝีมือลุงโป้ ซึ่งระหว่างดื่มกินรุณเล่าว่าผู้สูงวัยนามนี้เข้ามาตั้งรกรากที่นี่เกือบ ๒๐ ปีแล้ว คนเก่าๆ แถบเขาวง เขาชะเมา ป่ายุบ บอกเป็น #เสือเก่า หนีคดีมาจากที่อื่น แต่ไม่เคยมีชาวบ้านเห็นฤทธิ์เดช ลุงโป้กับลูกสาวคนเดียวบุกเบิกถางป่าจับจองไว้ได้ ๑๕ ไร่ ก็ลงทุนปลูกมันปลูกสับปะรดและมะละกอขายแก่พ่อค้าแม่ค้าคนกลาง จนสามารถตั้งร้านชำเล็กๆ ขึ้นกลางป่า
ค้าขายกับชาวบ้านชาวไร่และชาวอีสานที่เข้ามารับจ้างถางป่า สินค้าหลักในร้านลุงโป้ส่วนใหญ่ประเภทปัจจัย ๕ กับเครื่องดองของเมา เช่น ข้าวสาร ข้าวเหนียว ปลาร้า ปลาแห้ง พริก กะปิ หอม กระเทียม เกลือ สุราเถื่อนยันแม่โขงพร้อมหยูกยาแก้ไข้ แก้มาลาเรีย แก้ท้องร่วง แก้ปวดสารพัด ปัจจุบันลุงโป้ขายที่มาลงทุนปลูกบ้านใหม่กับขยายการบริการเพิ่มขึ้น เช่น เปิดจำหน่ายข้างแกง กาแฟไปพร้อมกับขายกับข้าวอย่างแข็งขัน จึงได้ชื่อเป็นคหบดีคนหนึ่งของหมู่บ้าน
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่แปลกคือ อีแป้ง ลูกสาวแกเราไม่กล้าฉุด หลายครั้งที่ไปกินเหล้าที่ร้านแกแล้วกะฉุด แต่ทำไม่ได้ แกดีกับเราหยั่งที่เปี๊ยกเห็นนั่นแหละ เป็นทั้งสัญญาณเตือนภัยกับหูตาให้เรามาตลอด
“แสดงว่ารุณกลัวความดี”
“อาจจะจริงว่ะ”
“วันนี้รุณมีโครงการทำอะไรบ้าง?”
นักเลงปืนผิวนิลยกโอยัวะในกระป๋องนมชดอึกสุดท้าย พลางชี้ยังด้านในซอกถ้ำ
“ฝังศพไอ้ ๒ ตัวในนั้นแล้วเราจะขับรถตรวจที่ทั้งหมดด้วยกัน”
“รุณฆ่า ๒ คนนั่นแล้ว”
“ตอนตี ๓ เมื่อคืนมันคลั่งอีก เราเลยรำคาญ”
“คืนเดียว ๖ ศพ”
“ไม่ใช่ ๖ ศพ ลูกน้องเราไอ้สิงห์ที่นอนเจ็บในเต็นท์ก็พ้นเวรด้วย”
“นายฆ่าเหรอ?”
เพื่อนส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน “เฮ้ย! เปล่า มันพ้นทุกข์เอง คืนก่อนเปี๊ยกก็เห็นแผลมันกับตาแล้วนี่”
ผมไม่ต่อคำเพื่อน แต่ในความคิดขณะนี้บอกตัวเองให้ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าไปในวังวนการฆ่าล้างผลาญที่ผมพยายามเอาตัวเองออกห่างมาตั้งแต่เริ่มเที่ยว
“เปี๊ยก…” รุณเรียกขาน
ผมจ้องหน้าเพื่อนแทนขานรับ เราประสานตากัน เขากล่าวคาดคะเน
“นายต้องไม่สบายใจแน่”
“คนตายมากเหลือเกิน” ผมบอกอย่างท้อแท้
“พวกเราถูกมันทำก่อนนะ”
“ให้เราพูดตรงๆ ได้ไหม?”
“พูดเลย เปี๊ยก”
“เรื่องเมื่อคืนในสายตาชาวบ้าน พวกเราเป็นพระเอกใช่ไหม?”
“ทั้งหมู่บ้านพูดแต่เรื่องพวกเราในด้านดีทั้งนั้น”
“แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
รุณเบิกตาวาว ตาจ้องหน้าผมเขม็ง ผมประสานตาเพื่อนหวังให้สื่อถึงความรู้สึกที่ใคร่เผยและกัดฟันต่อคำ
“เรื่องยิงทิ้งนายทำเพื่อให้ #กฏ ของนายศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม?”
“ใช่ เพราะเรามีที่ดินเป็นหมื่นๆ ไร่ ต้องคอยคุ้มครองรักษา”
“ขายเสียเถอะ มันไม่ใช่แผ่นดินส่วนตัวของใครทั้งนั้น”
รุณลุกพรวดขึ้นยืน สีหน้าเปลี่ยน ตวาดใส่หน้า “นายคิดบ้าๆ คนของเรากี่คนแล้วที่ตายไปเพราะรักษามันไว้!”
สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก อันธพาน ครองเมือง 2012