3815. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 15 (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 15 (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

หลังตกปากรับคำกับอดีตเจ้าพ่อเขาหวายจะร่วมทางไปยังเกาะช้างเพื่อพักผ่อนแล้ว ตลอดทางที่เพื่อนขับมาสด้าปิกอัพออกจากป่ากว่า ๓๐ ก.ม. รุณได้ชักถามถึงสัมพันธ์ระหว่างผมกับแดง แหว่งสมัยอยู่คุกลาดยาว ก็บอกเล่าไปตามเหตุจริง เพราะความจริง แดง แหว่งกับผมในอดีตไม่ได้ถือเป็น “เพื่อน” เนื่องจากเราผูกพันกันน้อยมาก ทั้งในคุกและนอกคุก แต่จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แดงได้ให้ “ความสำคัญ” แก่ผมทุกด้านจนกำนันจิต หมวดนงค์ จ่าเยี่ยม และเสือเสาร์ ถึงขั้นเปลี่ยนแผนฆ่ารุณ ตาแดงเพื่อฮุบรถกับเงินสด ซึ่งผมคาดควรจะเป็นเงินสด ๑ ล้านบาท แต่ทางฝ่ายมือสังหาร “อม” ไว้ ๕ แสนบาทมากกว่า

อันนี้ในกลุ่มมือปืนส่วนใหญ่ก็ทราบกันดี และทำกันจนเป็นธรรมเนียบส่วนเหตุที่แดง แหว่งกล่าวกับผมก่อนจาก

“หายกันแล้วเพื่อน อยู่ลาดยาวนายเคยช่วยเราไว้”

เรื่องนี้ผมเล่าให้รุณฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๔ อันเป็นยุคที่นักเลงและผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศถูกหัวหน้าคณะปฏืวัติ พลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์กวาดล้างจับกุมครั้งใหญ่ บรรดา “ดาว” แต่ละถิ่นที่ทั่วขวานโบราณนี้จึงโคจรมาพบกัน คุกลาดยาวความจริงประสงค์ไว้รองรับผู้ต้องขังหรือนักโทษที่ระบายไปจากคุกคลองเปรม(เรือนจำพิเศษกรุงเทพ) เมื่อมีคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติให้กวาดล้างอาชญากรทั่วประเทศอย่างเด็ดขาด ผลที่ตามมาคือ “ตะราง” ชั้นสอบสวนไม่พอคุมขังบุคคลที่ถูกจับกุมในข้อหาประพฤติตนเป็นอันธพาล ในที่สุดทางมหาดไทยต้องใช้คุกลาดยาวเป็นที่คุมขังบุคคลอันธพาลทั่วประเทศแทน

ณ ที่นี้เองที่ผมบอกรุณว่ารู้จักแดง แหว่งในฐานะเป็น “มือดี” จากระยอง เป็นคนใกล้ชิดหลงจู๊เส็ง “เจ้าพ่อสิงห์ป่าซุง” เคยพบปะกันในยุคที่ผมกับกลุ่มวัยรุ่นชื่อดังในเมืองหลวงขึ้นไปบุกเบิกทำธุรกิจเถื่อนที่สนามบินอู่ตะเภาเมื่อมาพบกันในลาดยาวจึงทักทายตามปกติ จวบวันหนึ่ง อันธพาลทั้งคุกก่อจลาจลและไม่ยอมขึ้นตึกขังโดยใช้ผ้าห่มกางขึงเป็นกระโจมนอนกันกลางสนาม ระหว่างที่มวลอันธพาลตกอยู่ในสภาพตึงเครียด เกิด “ของ” (เฮโรอิน) ของมาเฟียคุกนาม “เสี่ยตง” หายไปถึงครึ่งกิโลกรัม ซึ่งจะส่งผลให้ชาวคุกที่ติดเสพท้อถอยต่อการร่วมมือ “ชน” กับรัฐบาลเรียกหาเสรีภาพ นั่นเพราะกว่าครึ่งคุกล้วนติดเสพ ช่วงจราจลดังกล่าวจึงไม่มีการซื้อขาย แต่เตรียมไว้จ่ายแจกทุกคนที่ติดเสพเพื่อเป็นพลังในการเป็นหัวหอกในวันรุ่งขึ้น และเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ทางเสี่ยตงได้บัญชาลูกน้องออกตามสืบ หากรู้ตัวและได้ “ของกลาง” ก็ให้ฆ่าทิ้งทันที สถานการณ์ขณะนั้นทุกคนสามารถตายฟรี!

ผมเองอยู่ในกลุ่มผู้ก่อจลาจลพลอยได้ทุกข์เกรงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะล้มเหลว เพราะกำลังพลกลุ่มติดเสพล้วนได้ชื่อ “มือดี” กับเป็นหัวหอกต้านการรุกจากคอมมานโดอยู่ด้วย หากก่อนฟ้าสางพวกเขาไม่ได้รับแจก “ยอด” เฮโรอิน กำลังพลก็จะง่อยเปลี้ยทำให้งานใหญ่พังพินาศ จึงออกตามหาร่องรอยกับพรรคพวก พบแดง ซามูไรปากแหว่งเสพเฮโรอินขนาดหนัก นั่งพิงคอกหมูแดนเกษตรหลับกรนครอกน้ำลายไหลยืดโดยหารู้ภัยใกล้ถึงตัวเขา ความที่เคยเห็นกันมาก่อน ผมบอกกับรุณว่าผมได้ใช้เวลาพูดหว่านล้อมให้แดงคืนเฮโรอินส่วนใหญ่ที่เขานำไปซุกซ่อนแก่ผมเสียโดยรับรองกับให้สัจจะลูกผู้ชายกับเขาจะไม่เปิดเผยเรื่องดังกล่าว และจะหาทางให้เรื่องนี้จบโดยเร็วจวบใกล้สว่างแดงจึงขุดเฮโรอินที่เขาฝังดินไว้ให้

“ชีวิตผมฝากไว้กับเสมียน” แดงบอก ณ วันนั้น

ได้เฮโรอินกลับคืนมาแล้วผมนำไปคืนกับเสี่ยตง พร้อมชี้แจงเรื่องที่พบเห็นโดยไม่ได้ระบุชื่อมือโจรกรรมไปตามความจริง จากนั้นจึงขอร้องมาเฟียใหญ่ให้จบเรื่องแค่นั้น ซึ่งอาจเป็นด้วยกำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน เสี่ยตงได้สัญญาไม่เอาความเรื่องดังกล่าว

“ตลอดเวลา ๕-๖ ชั่วโมงที่เราพูดหว่านล้อมแดงให้ยอมคืน “ของ” ที่เหลืออยู่นั้นพวก “ซามูไร” นับสิบออกล่ามือจัญไรอยู่ หากพวกนั้นพบแดงก่อนที่เราจะพบ รับรองมันแทงพรุน”

ผมสรุปเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆ รุณ ตาแดงผงกศีรษะรับรู้โดยไม่ต่อคำ แต่มีสีหน้าครุ่นคิด พลอยทำให้กังขา เกรงเรื่องที่เล่าทั้งหมดมีบางสิ่งกระทบใจเพื่อน

“เราพูดทำลายจิตใจนายในเรื่องที่เล่าหรือเปล่า?”

รุณรีบละสายตาจากถนนมาปฏิเสธลั่น “เปล่าเลย เราเพียงแต่สงสัยเท่านั้น”

“สงสัยเรื่องไหน?”

นักเลงปืนผิวนิลหักพวงมาลัยรถหลบหลุมขนาดใหญ่บนถนนกะทันหันรถเกิดอาการโคลงเคลงทั้งคัน

“รุณ นายสงสัยเรื่องอะไร?” ผมตามเรื่อง

“แดงเรียกนายไปพูดเรื่องอะไร?”

“เขาขอร้องไม่ให้เรากลับไปที่นั่นอีก”

“มันพูดถึงเราหรือเปล่า?”

“เปล่า”

“สั่งห้ามเราด้วยหรือเปล่า?” ประโยคนี้เพื่อนคล้ายย้ำ

“เปล่า แต่ถ้าเราเป็นนายเราจะไม่เข้าไปอีก”

“มันยังค้างเงินเราอยู่ ๕ แสนนะ”

อยากจะบอกเพื่อนว่า “นั่นแหละที่ตาย” ก็จะเป็นการยั่วยุให้เขาเพิ่มทิฐิคิดเอาชนะจึงเงียบไว้ จวบรถโผล่ยังปากทางนายายอามจุดสำคัญที่รุณกับผมปล้นชิงตัวครูสมพรนั่นเอง

๕ ทุ่มเศษบรรดาเรือนห้องแถวไม้ตลอดไปถึงร้านค้าปิดประตูเงียบ ป้อมยามตำรวจปากทางมีจ่าแก่ๆ นั่งหง่าวอยู่นายเดียว ปิกอัพมาสด้าโดยโชเฟอร์ผิวนิลทะยานเข้าเส้นทางสุขุมวิทอีกครั้งโดยมุ่งกลับระยองกลางม่านราตรีประดับเดือนดาวระยับ ไม่นานผมก็นั่งหลับสุดแต่เพื่อนจะนำพาไป รู้สึกตัวอีกครั้งจากเสียงประตูดังตึงจึงรีบลูบหน้า รุณชะโงกบอกใกล้หูขณะงัวเงีย

“เดี๋ยวไปที่สวนวังแก้ว เรารับ “เด็ก” มา ๒ คน อยู่ท้ายรถ”

ผมหันไปชมยังท้ายรถพบ ๒ สาวขึ้นไปนั่งบนกระบะรถแล้ว รุณสตาร์ตเครื่องยนต์กระหึ่ม ไฟหน้ารถพุ่งเป็นลำยาวส่องให้เห็นสภาพสถานที่ที่รุณ ตาแดงมาเช่าซื้อ ๒ สาว โดยรอบปลูกบังกะโล ซ้ายมือมีบ้านหลังใหญ่ที่หน้าบ้านห่างจากที่เราจอดรถมีรถจักยานสามล้อ, มอเตอร์ไซค์ กับรถเก๋งและรถปิกอัพจอดอยู่หลายคัน รุณกล่าวก่อนเคลื่อนรถ สุ้มเสียงกับสีหน้าดีขึ้น

“เปี๊ยก เราจะเปิดที่พักในสวนวังแก้วให้นะ ผู้หญิง ๑ ใน ๒ คนหลังรถนั่นจะอยู่เป็นเพื่อนนายด้วย ๑ คน ส่วนเราจะเข้าอำเภอเมือง พอรุ่งเช้าค่อยตระเวนเอาเงินไปให้ลูกเมียเรา หลังเที่ยงเราจะมารับขึ้นจังหวัดตราดเลย…เอ้า นายเอาเงินส่วนนี้ไว้ติดตัวบ้าง”

จบคำเขาส่งธนบัตรแดงฉานให้ผมปึกหนึ่ง ผมปฏิเสธทันควัน

“เรายังมีติดตัวอยู่เป็นหมื่น นายเก็บไว้ให้เด็กๆ เถอะ”

รุณสบตาแวบหนึ่งพลางยัดธนบัตรทั้งปึกใส่กระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ตฟีลด์ผมโดยไม่ยอมรับการปฏิเสธทุกกรณี พอรถวิ่งไปบนถนนวาดยางได้ราว ๓-๔ กิโลเมตร สภาพถนนที่เป็นลูกรังเริ่มขรุขระ ผมหันมอง ๒ สาวท้ายรถ ทั้งคู่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ปิดคลุมศีรษะป้องกันฝุ่น

“เราเครียดมาทั้งวัน ผู้หญิงกับความเมาเท่านั้นที่จะชดเชยกันได้”

อีกครั้งหนึ่งที่อยากจะกล่าวกับเพื่อนว่า “แต่ไม่สมควรแสวงหาความสุขด้วยการทารุณทางเพศ” ซึ่งก็คงกล่าวได้แต่เพียงในอก เพราะจังหวะไม่อำนวยจึงสนองคำเขาให้ใกล้เคียงไว้

“แต่ก่อนนั้นเราเคยคิดแบบนายว่าความเมากับ “ผู้หญิง” สักคนคงช่วยบรรเทาเครียดได้ หลายหนเราจึงตัดตวงจากผู้หญิงเต็มที่ ทุกรสที่ต้องการเราจะแสดงออก มีบ้างที่อาจพิสดารผิดวิสัยมนุษย์ เช่นทำให้เธอเจ็บ เพราะคิดว่าอาการดิ้นรนทุรนทุรายผลักไสของเธอจะเพิ่มรสให้วิเศษ…ผลเป็นยังไงรู้ไหม?”

“เป็นยังไงหรือ?” รุณถามทันที

“ทุกแห่งที่เราไปเที่ยวต่างซุบซิบนินทาสารพัด ภายหลังจึงรู้ว่ามีผู้หญิงที่โรงแรมกู๊ดลักซ์คนหนึ่งมดลูกซ้ำจนถึงขั้นตัดทิ้ง นับแต่นั้นมาเราตั้งปณิธานไว้เลยว่าจะนุ่มนวลต่อผู้หญิงทุกคน ความสุขบนกองทุกข์แบบนี้ไม่ต่างฆ่ากันทั้งเป็น ไม่มีใครหรอกชอบความทารุณความเจ็บปวด”

ผมทิ้งคำไว้พลางล้วงบุหรี่ออก ๒ มวนจุดแล้วส่งให้โซเฟอร์ผู้สหายรับไปอัดควันเข้าปอดราวกระหายหนัก สายลมยามรัตติกาลโกรกกรูเข้าทางหน้าต่างรถเป็นระยะๆ ผมอัดควันบุหรี่ตามเพื่อน ตามองทะลุกระจกใสตามแสงไฟหน้ารถซึ่งถนนเริ่มลาดยางเลาะชายหาดยาวเหยียด

“ที่นี่กำลังจะเป็นแผ่นดินทอง นายดูต้นสนสูง ๒ เมตรนับพันๆ ต้นสองข้างทางนี่สิ ต่อไปอีก ๑๐ ปี มันจะเป็นอุทยานสวนสนสถานที่พักผ่อนริมหากที่ชาวบ้านเพภูมิใจที่สุด มิหนำซ้ำฝั่งตรงข้ามยังมีเกาะที่ธรรมชาติยังสมบูรณ์ที่เห็นไฟแดงลิบๆ นั่นอีก”

“เขาเรียกเกาะอะไร?”

“ภาษาทางการเรียกเกาะแก้วพิสดาร”

สิ้นเสียงตอบรุณ ตาแดง เสียงเคาะกระจกจากฝีมือ ๒ สาวบนกระบะด้านหลังดังไม่แรงนัก ผมรีบหันไปมองสาวหนึ่งหน้าแค่รางเลือนในชุดสีเหลืองอ่อนชะโงกหน้าตะโกนเสียงใส

“พี่ๆ ขอบุหรี่ ๒ มวน จุดให้ด้วย”

ผมจัดแจงให้บริการพร้อมสอดมือออกไปนอกรถยื่นบุหรี่ ๒ มวนจุดแล้วให้ แต่…แปลกเธอกลับจับมือผมบีบก่อนที่จะรับบุหรี่ไป คราวนี้ผมชักมีปัญหา มีคำถามเข้าให้แล้ว คือผู้หญิงคนนี้แสดงเช่นนั้นเพื่อประสงค์อะไร? พลัน..ภาพเด็กสาวในซ่องซอย ๒ เมืองแกลงที่ทรุดลงกราบเท้าผมปรากฏขึ้น ถ้าสาวงามนางนี้มีสภาพเดียวกับสาวน้อยซอย ๒ นางนั้น ผมจะช่วยเธออย่างไรดี? หรือเธอแสร้งกระชับมิตรเพื่อหวัง “ทิป” หลังหลับนอนแล้ว? และหรือเธอกระทำแทนคำขอบคุณที่ผมส่งบุหรี่ให้?

๒ ยามตรง มาสด้าปิกอัพพุ่งลิ่วผ่านสวนสนเลาะหาดไปได้อีกพักเดียวก็ชะลอความเร็วพร้อมใช้สัญญานไฟเลี้ยวขวาข้ามเลนไปหยุดยังหน้าท่อนเหล็กทาสีขาวสลับแดงกลางแสงไฟนีออนที่ติดอยู่เหนือป้าย “สวนวังแก้ว”

“ดึกดื่นแบบนี้เขาจะเปิดให้เช่าหรือ?” ผมกังขา

“คนดูแลที่นี่รู้จักเราเกือบทุกคน” รุณบอกพลางดับเครื่องรถ

ครู่เดียวชายฉกรรจ์ชุดน้ำเงินติดปลอกแขนสีแดงก้าวออกจากตู้ยามหลังท่อนเหล็กที่ขวางทางเข้าอยู่ปราดมาที่รถ อดีตเจ้าพ่อเขาหวายหมุนกระจกรถฝั่งตัวเองลงจนสุด ชายชุดน้ำเงินหรือฝ่ายรักษาความปลอดภัยเดินมาหยุดยืนหยีตามอง รุณเปิดไฟหลังคารถโชว์ ปากบอก

“เราเอง รุณ มีบังกะโลว่างบ้างไหม?”

ยามหนุ่มเปิดยิ้มกว้าง ตอบสุ้มเสียงบอกความคุ้นเคย “พอมีพี่ เดี๋ยวผมจะให้เด็กติดรถไปเปิดให้”

จบคำยามหนุ่มชายตาไปทาง ๒ สาวบนรถกระบะรถ ยิ้มเป็นนัยแบบชายรู้เชิงชาย จากนั้นค่อยก้าวยาวๆ ไปที่บล๊อก ปลุกเด็กรุ่นลุกเดินขยี้ตามาขึ้นรถปานหุ่น แต่พอเห็นสาวงามบนกระบะไอ้หนุ่มทำตาโต และคงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

รุณเคลื่อนรถเมื่อท่อนเหล็กที่ขวางทางเข้าถูกยกขึ้น พอรถผ่านประตูวิ่งขึ้นทางลาดชัน มัคคุเทศก์วัยรุ่นชะโงกหน้าบอกทิศทาง ผ่านบังกะโลอันคล้ายปลูกบนเขาลูกขนาดย่อมๆ ล้วนเปิดไฟนอนทุกหลัง รถวิ่งอ้อมไปทางด้านหลังซึ่งเป็นหน้าผาและหันหน้าออกทะเล มีบังกะโลสีฟ้าสีขาวปลูกเรียงรายทิ้งระยะสูงต่ำและห่างกันพอสมควร บรรยากาศทั่วไปโรแมนติกเพราะร่นครึ้มด้วยหมู่ไม้ โดยเฉพาะลั่นทมดาษดาอยู่ทั่ว คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง หมู่ดาราประดับอยู่เกลื่อนม่านดำผืนมหึมา ผู้คนส่วนใหญ่หลับใหล รอบตัวแว่วแต่เสียงคลื่นลมหวีดหวิวซู่ซ่า

“หยุดที่บังกะโลสีฟ้าข้างหน้าครับพี่” วัยคะนองบอก

นักเลงปืนผิวนิลผู้ไม่สิ้นบารมีขับรถไปจอดตามตำแหน่งที่แนะพร้อมหมุนกระจกฝั่งตนเองปิด

“เปี๊ยกปิดกระจกด้วย เรามีเรื่องพูดครู่เดียว”

ผมจัดการหมุนกระจกขึ้นดุจเดียวกับเขา ๒ สาวโดดลงจากรถโฉบไปยืนชมสีสันทะเล เสียงทุ้มนุ่มของเพื่อนดังขึ้น

“เปี๊ยก นายอยู่ที่นี่กับเด็กนะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงเราจะมารับ บรรยากาศที่นี่จะช่วยให้เห็นวิมานยิ่งขึ้น”

“อ้าว…นายไม่พักด้วยจริงๆ หรือ?”

“เราว่าจะกลับไปนอนกับลูกเมียบ้าง แล้วก็แบ่งเงินให้ใช้ด้วย”

“แล้วผู้หญิงอีกคนล่ะ นายจะเอาไปด้วยหรือไง?”

“เดี๋ยวเราจะพาไปส่งคืนที่ซ่อง”

“ดีเลย นายเอาไปทั้ง ๒ คนเลย เราอยากอยู่กับธรรมชาติมากกว่า”

“ไม่ได้หรอก…เปี๊ยกต้องเลือกไว้คนนึง”

สิ้นคำรุณผลักประตูรถเปิด วัยรุ่นนำทางปรี่เข้ามาโค้งกับส่งกุญแจเปิดที่พักให้ ผมลงจากรถไปยืนบิดตัวคลายเมื่อยขบ

“เปี๊ยก เอากุญแจไว้สิ เลือกคนไหนล่ะ?”

“คนสูง ผมยาว” ผมระบุสาวที่บีบมือตอนส่งบุหรี่ให้

“นายตาเยี่ยมมาก…แม่นั่นน่ะแน่นปึกทั้งตัวที่เดียว โชคดีเพื่อน คืนนี้ฝันดีตลอดคืนนะ”

“เหมือนกันเพื่อน”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก เพรชฆาตดาวโจร

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: