3628. อาถรรพ์ป่าผีดิบกองกอย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์มักกล่าวบ่อยครั้งว่าคนที่กลัวตายมักตายเพราะความกลัวคนที่ไม่กลัวตายมักไม่ตายเพราะไม่มีความกลัวถูกตัดสินประหารชีวิต 2 คดีท่านว่าเหมือนกับตายไปแล้วไพฑูรย์จึงไม่กลัวตายเพราะอยู่หรือตายไม่แตกต่างอะไรกันนัก

ไพฑูรย์เอ่ยถึงภาษิตตะวันตกที่ถือเป็นคติประจำใจมาแต่เมื่อเป็นนายทหารพระธรรมนูญที่สั้นง่ายแต่ความหมายลึกซึ้ง

‘’ชาติเสืออย่าร้องไห้’’

ไพฑูรย์อธิบายว่าเสือโคร่งที่มันอยู่ในป่าเมื่อถูกพรานยิงมันจะคำรามเพียงครั้งเดียวแล้วหลบไปซ่อนตัวไปเลียจนแผลหายสนิทไม่เคยร้องครางแต่สุนัขเท่านั้นที่เมื่อเจ็บแล้วร้องเอ๋ง

เมื่อถูกจับมาถูกโบยถูกซ้อม 2-3 สลบก็ไม่เคยปริปากร้องขอความปราณี กัดฟันทนจนสลบฟื้นขึ้นมาถูกอัดจนสลบอีกอย่าหวังว่าจะได้ยินเสียงร้องจากสิงโตหิน

ไพฑูรย์บอกว่าเรื่องทุกเรื่องที่ได้เขียนและเล่าให้ผู้เขียนฟังมิได้ต้องการจะประกาศตัวเองว่าเก่งหรือการเป็นอาชญากรเป็นเรื่องดีแต่เขียนเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการเป็นอาชญากรนั้นเมื่อถูกตามล่าก็เหมือนเสือถูกพรานล่า นอนที่ไหนไม่เคยเต็มตื่น เพราะต้องเปลี่ยนที่นอนทุกคืนด้วยไม่แน่ใจว่าตำรวจจะตามมาพบเมื่อใด

แม้มีที่ซุกหัวนอนพอตอนดึกก็ต้องออกไปนอนนอกบ้านที่เป็นที่หลบซ่อนนอนในสวนผลไม้ สวนยางก็แล้วแต่ว่าไปซุกหัวนอนที่ใด อยู่นานนักก็ไม่ได้ด้วยหากมีผู้สังเกตเห็นผิดสังเกตแล้วไปแจ้งตำรวจเงินสินบนนำจับ 20000 บาทมันยั่วยวนชวนกิเลสเป็นอย่างยิ่ง

หนีไปในป่าต้องเจอกับไข้ป่า ผีป่า สัตว์ร้ายในป่าเช่นเสือ หมี เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเลี่ยงไม่ได้ต้องสู้กันระหว่างเสือคนกับเสือลายพาดกลอนใครดีใครอยู่

สำหรับไปค้างแรมในป่าหลวงพ่อเดิมท่านได้เมตตาให้คาถานอนป่าเอาไว้ว่า

ตั้งนะโม 3 จบแล้วว่า

‘’สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ สัพพะสังฆานุภาเวนะ สัพเพสัตตา ทวิปาทา จตุปาทา อปาทา สัพเพมิจฉาทิฐิเทวา ปีศาเจวะ อะปะราชะยัง’’

ไปนอนในป่าในที่ไม่เคยคุ้นในที่วิเวกวังเวงหรือแม้แต่ในโรงแรม ให้ภาวนาคาถานี้ 3 จบ กราบลงที่หมอนจะป้องกันอันตรายได้

ในป่าลึกของจังหวัดตากที่ติดกับชายแดนพม่าเป็นป่าดงดิบดงดำที่ไข้ป่าชุกชุมสัตว์ร้ายไปจนถึงงูชนิดต่างๆ แต่ไม่เท่ากับสิ่งที่เรียกกันว่า ‘’ผีกองกอย’’ ไพฑูรย์เล่าว่าเคยได้ยินเรื่องผีกองกอยมาแต่เมื่อเป็นเด็กโดยพ่อที่เป็นพรานป่ามาก่อนมักเล่าให้ฟังเสมอว่า

‘’กองกอยเป็นผีดิบประเภทหนึ่งกินของดิบโดยเฉพาะเลือดมนุษย์พ่อบอกว่ากองกอยมีมนต์ประหลาดที่เมื่อร่ายแล้วจะสะกดเหยื่อให้หลับใหลไม่ได้สติจึงออกมาช่วยกันเอาเขี้ยวเจาะเส้นเลือดแล้วดูดกินจนตายเพราะเลือดหมดตัวสำหรับพ่อมีกระสุนปืนแก๊ปพิเศษที่หลอมด้วยตะกั่วลงอาคมลูกปืนทั่วไปทำอันตรายผีกองกอยไม่ได้

แต่กระสุนปืนที่หลอมด้วยตะกั่วลงอาคมจะล้างอาถรรพ์ผีกองกอยได้ที่น่าแปลกคือแม้ยิงถูกก็ไม่ได้ศพมีแต่รอยเลือดสีดำคล้ำหยดเป็นทางหายไปตรงโคนต้นไม้ใหญ่ไร้ร่องรอยต้องรีบออกจากอาณาเขตกองกอยอย่าให้ทันตะวันตกดินจะเกิดอันตรายได้’’

ไพฑูรย์ซอกซอนหนีเข้าป่าจะข้ามไปพม่าตอนนี้นอนเป็นสุขที่สุดไม่มีตำรวจหน้าไหนตามมารังควานเพราะป่าทึบแบบนี้ไม่ว่ากองปราบไม่ว่าท้องที่ไม่กล้าโผล่หัวตามมา แต่เวลานอนนั้นจะหลับบนพื้นดินไม่ได้เพราะการก่อกองไฟนั้นอาจเผลอหลับไปไม่ได้เติมฟืนพอไฟมอดเสือจะเข้ามาลากไปกินต้องไปผูกเปลผ้าขาวม้านอนบนคบไม้สูงหน่อยเพราะหากนอนเตี้ยๆเสือจะปีนขึ้นไปคาบขบสมอง

ถามว่าไม่กลัวตกลงมาตายหรือคนที่ไม่เคยใช้ชีวิตแบบพรานเดี่ยวคิดว่านอนดิ้นแล้วตกจากเปล แต่สำหรับพรานแล้วนอนในเปลดิ้นไม่ได้เพราะเปลบังคับเอาไว้พอขยับตัวเปลก็ไหวต้องตื่นอยู่ดี

คืนนั้นขึ้นไปนอนบนเปลเป็นคืนเดือนเพ็ญ ป่าทั้งป่าไม่มีสงบสัตว์น้อยใหญ่ออกมาอาบแสงจันทร์และเล่นสนุกกันแต่หัวค่ำยิ่งดึกยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนเสียงเสือคํารามเสียงสัตว์เช่น เก้ง กวาง ร้องเรียกกัน นกกลางคืนส่งเสียงวิเวก หลับไปเมื่อใดไม่รู้ตื่นมาอีกทีเพราะปวดปัสสาวะจึงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ หรีดหริ่งเรไรที่เคยกรีดปีกร้องเงียบกริบเสียงสัตว์ที่เคยส่งเสียงร้องกลับเงียบสนิท

ในท่ามกลางความเยือกเย็นของน้ำค้างเสียงหนึ่งดังแหวกความเงียบขึ้นมา
‘’ปอย ย ย ๆ ๆ ๆ’’

เป็นเสียงประหลาดที่ออกเสียงสั้นแล้วลากเสียงยาว แม้จะออกป่ากับพ่อหลายหนแต่ไม่เคยได้ยินแบบนี้นึกถึงคำของพ่อที่ว่าผีกองกอยมักส่งเสียงที่โหยหวนแต่ก็ไม่เคยประสบกับหูตัวเอง เสียงดังใกล้เข้ามาคล้ายกับพวกมันกำลังรุมล้อมเข้ามาที่ต้นไม้ที่ไพฑูรย์นอนอยู่

ไพฑูรย์ลุกขึ้นจากเปลมานั่งห้อยขาอยู่ที่คบไม้ปืนในมือวาดปากกระบอกไปทางต้นเสียงที่ได้ยินใกล้เข้ามา

มีลมพัดมาวูบหนึ่งเมื่อกระทบตัวแล้วหนาวยะเยือกไปถึงท้องน้อย พ่อเคยบอกว่ามนต์กองกอยนี้ร้ายนัก ให้จุดบุหรี่สูบพ่นควันให้มากๆ ภาวนาคาถา 4 ตัวว่า ‘’ทุ สะ นะ โส’’ ช้าๆ ชัดๆ พ่อบอกว่าเป็นหัวใจเปรตไม่ว่าผีธรรมดาหรือกองกอยได้ยินแล้วจะแก้วหูแตกอย่ากลัวให้ทำจิตให้สงบเสียงที่ดังใกล้เข้ามากลับหยุดแต่แล้วกลับดังคล้ายแยกกันดังทั้งด้านหน้าและด้านหลังคล้ายกับล้อมเข้ามา

ปืนคู่มือเป็นปืนที่ได้นำไปให้หลวงพ่อเดิมท่านเสกให้เพราะไพฑูรย์นับถือหลวงพ่อเดิมประดุจพ่อบังเกิดเกล้าและสมัยนั้นพวกตำรวจทหารนักนิยมนำปืนพกประจำตัวไปให้หลวงพ่อเดิมเสกเพื่อเป็นสิริมงคลหลวงพ่อเดิมท่านก็ทำให้

เสียงดังใกล้เข้ามาอยู่ห่างจากต้นไม้ที่ไพฑูรย์นั่งห้อยขาจนต้องหดขาขึ้นมาเป็นนั่งยองๆ

ท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญร่างของอสูรกายก็ปรากฏขึ้น ลักษณะของมันคล้ายลิงแต่มีขนดกทั่วตัวคลุมหน้าคลุมตาจนมองไม่เห็นองคาพยพ เวลาเดินหน้าหรือถอยหลังบอกไม่ถูก พ่อบอกว่าผีดิบพวกนี้เท้าของมันกลับด้านหน้าเป็นหลังกลับหลังเป็นหน้ารวมกัน 3 ตัว ไพฑูรย์ยิงปืนใส่เพื่อสกัดโดนเข้าอย่างจังจนหงายหลังแต่ลุกขึ้นมาทันที

เข้าตาจนแล้วไพฑูรย์เห็นควรอันตรายอยู่ตรงหน้านึกถึงคำพ่อ ลูกปืนธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้ต้องลูกปืนเสกแล้วจะเสกอย่างไรกัน ในเมื่อพ่อไม่ได้บอกคาถาไว้

ในนาทีวิกฤติไพฑูรย์นึกถึงมีดหมอหลวงพ่อเดิมขึ้นมาได้จะลงไปแทงกับมันหรือเป็นไปไม่ได้ทันนึกคิดดึงมีดหมอปากกาออกมาถอดมีดออกจากฝักยกขึ้นจรดหน้าผากรำลึกถึงหลวงพ่อเดิมว่าลูกเข้าตาจนแล้วขอมีดหมอหลวงพ่อช่วยลูกด้วย

ปลดโม่ออกดึงลูกปืนออกมาทีละลูกใช้ใบมีดกีดบนรอบหัวลูกปืนจนครบ 5 ลูกเพราะยิงไปแล้ว 1 ลูกบรรจุกลับเข้าไปในโม่เจ้าอสูรกาย 3 ตัวนั้นเข้ามาประชิดโคนต้นไม้ไพฑูรย์เล็งศูนย์ลงมาที่หัวของเจ้าตัวที่ทำท่าจะปีนขึ้นมา

‘’ตูม!’’

กระสุนเข้าที่หัวเห็นถนัดเลือดสีดำๆพุ่งสวนรูทะลุของลูกปืนออกมามันหงายหลังดิ้นพราดๆ เจ้าสองตัวที่เหลือเข้าไปดูส่งเสียงร้องแหลมคล้ายเสียงหวีดไพฑูรย์เล็งใส่แล้วเหนี่ยวไก

‘’ตูม!’’

เข้าที่หน้าอก 1 ใน 2 ตัวล้มลงดิ้นพราดไปอีกตัว เจ้าตัวที่เหลือออกวิ่งกลับไปทางที่มันมาไพฑูรย์หอบหายใจด้วยความตื่นเต้นเพราะหากลูกปืนที่ใช้ปลายมีดหมอหลวงพ่อเดิมขีดวนรอบไม่ได้ผลก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นั่งอยู่บนคบไม้จนสว่างไม่กล้าลงไปจนสายแดดจ้าแล้วจึงเก็บเปลแล้วไต่ลงไปดูเจ้าอสูรกายนั่น

เจ้าอสูรกาย 2 ตัวกลายเป็นซากเน่าเหมือนตายมาแล้วหลายวันส่งกลิ่นเน่าเหมือนศพไพฑูรย์บอกว่าต้องโก่งคออาเจียนออกมาโอ้กใหญ่ไม่กล้าแม้จะเอาเท้าเขี่ยได้แต่เอากิ่งไม้แห้งใบไม้แห้งทับบนล่างของอสุรกายทั้งสองร่างจุดไฟแล้วหาฟืนมาใส่ทำการเผาซากเพื่อให้ไปผุดไปเกิดไม่ต้องมาทนทุกข์เวทนาเป็นผีดิบอีกต่อไป

ไพฑูรย์บอกว่าป่ามีอันตรายยิ่งยวดโดยเฉพาะป่าดงดิบเพราะเป็นดินแดนอาถรรพณ์ป่าบางแห่งเหมือนแดนหิมพานต์ไม่มีความรู้เรื่องป่าแบบพรานละก็ ร้อยทั้งร้อยหลงป่าเอาชีวิตไปทิ้งแม้จะมีวิชาพรานที่เคยออกเที่ยวป่ากับพ่อไพฑูรย์ก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเจ้าผีดิบกองกอยที่ได้พบเห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต

ไพฑูรย์เล่าว่าผีกองกอย มีผู้พบเห็นกันในรูปลักษณะที่แตกต่างกันเพราะผีดีบพวกนี้มีมนต์ตราที่สามารถสะกดผู้คนให้หลับใหลแล้วดูดเลือดกินสดๆจนตายป่าดงดิบก็คือป่าหิมพานต์ในโลกมนุษย์เราดีๆนี่เองแต่ปัจจุบันป่าดงดิบกำลังถูกทำลายลงไปทุกวันจนแทบไม่เหลือความเป็นป่าดงดิบเอาไว้ ให้กองกอยได้อยู่อาศัยจนอาจสูญพันธุ์ผีดิบไปแล้วก็ได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : สยองสยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: