2584.พระคาถา ยอดธรรม ยอดคาถา มีอานิสงค์มากปิดอบายภูมิ หลวงพ่อดาบส

ยอดธรรม ยอดคาถา

เวลาจะภาวนา ให้ว่ายอดธรรม ยอดคาถานี้ก่อนถ้าหลายคนว่าพร้อมกัน​

(ยะโขธัมมัง วรังตัสสะ เยชะนาเต ชะนาวะรัง โกจิตตังสัง ขะตังมุตโต เอโสปาระโม ทุกขังขะโย)​

ยะโขธัมมัง ธรรมใดแล, เป็นธรรมไม่มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, เป็นธรรมกวมทั่ว(คงที่), ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆอันจักพึงติดต้อง, เป็นธรรมว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ ฯ

วะรังตัสสะ ธรรมนั้นแล, เป็นธรรมพึงประจักษ์เฉพาะตน, อันบุคคลจักพึงเห็นเอง, คือพระนิพพาน เป็นที่หลุดรอด, ที่เรียกว่าฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก, เป็นธรรมประเสริฐ, อันพระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ

เยชะนาเต บรรดามนุษย์ทั้งหลาย, ชนเหล่าใดที่เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยาก ชนเหล่านั้นมีประมาณน้อย, ส่วนหมู่สัตว์ คือ ชนนอกจากนี้ๆ, ย่อมเลาะเลียบไปตามชายฝั่ง, คือไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียงกลิ่น อยู่นั่นแหละ เหมือนหลับอยู่, ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดประพฤติตามธรรม, ในธรรมที่พระตถาคตเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว, ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

ชะนาวะรัง ก็ชนใดทำจิตของตน, ไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังมาไม่ถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใสปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับ, ชนนั้นจักเป็นผู้พ้นทุกข์ เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

หรือมิฉะนั้นชนใด, เป็นผู้กำหนดรู้อารมณ์ อันใดอันหนึ่งเป็นที่ตั้ง, (มีรูปอารมณ์ เป็นต้น) โดยความแยบคายแห่งจิตอยู่เฉพาะ, ชนนั้นก็จักประจักษ์แจ้งอารมณ์ต่างๆ, ตามความเป็นจริงที่มันไม่จริง, คือว่างเปล่า, แล้วระอาท้อถอย, เหนื่อยหน่ายคลายวาง, เป็นผู้พ้นทุกข์เข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้น ฯ

โกจิตตังสัง ก็จิตของเรานี้เล่า, มันเพลินเที่ยวไปแล้วในอารมณ์ต่างๆ, ตามเห็นรูป รส โผฏฐัพพะ เสียง กลิ่นอยู่ เหมือนหลับอยู่,

ขะตังมุตโต ไฉนเล่า เราจักเป็นผู้พ้นทุกข์, จิตของเราจักเข้าถึงฝั่ง, ล่วงวังวนเป็นที่ตั้งอยู่แห่งความตาย, อันบุคคลข้ามได้แสนยากนั้นได้ ฯ

เอโสปาระโม เหตุนั้นกาลบัดนี้, เราจักทำจิตของเราไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก, ไม่ให้มีที่ล่วงมาแล้วและที่ยังไม่มาถึง, ไม่ให้มีทั้งที่กำลังเป็นอยู่, ไม่ให้ตามเห็นอารมณ์ต่างๆ, ให้ผ่องใส ปราศจากอารมณ์ต่างๆ อันมาติดต้อง, ให้ว่างเปล่าจากปวงสังขตะที่เกิดดับฯ

หลวงพ่อดาบส สุมโน

ยอดธรรม ยอดคาถา มีอานิสงส์ อันกล่าวไว้ในกาลก่อน ดังนี้
๑. ผู้ใดศรัทธา ดำรงไว้ในตนโดยเคารพ ไม่ไปอบายภูมิ คือ ไม่ไปนรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน
๒. มีอายุยืน มีความสุข ถึงแม้เป็นเทวดาแล้ว ก็ไม่พลันจุติ
๓. ตายจากมนุษย์ ย่อมไปเกิดสวรรค์ เสวยความสุข เลิศล้ำนักหนา
๔. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน หรือมิฉะนั้น จะได้สดับธรรมในสำนักพระอริยเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วได้บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลในศาสนาของพระองค์

อีกประการหนึ่งว่าผู้ปฏิบัติตามแนวยอดธรรม ยอดคาถา
๑. จะเป็นอริยบุคคลในชาติปัจจุบัน
๒. ถ้าชาติปัจจุบันยังไม่บรรลุเป็นอริยบุคคล ตายจากชาตินี้จะไปเกิดในแดนสวรรค์ เสวยสุขอยู่จนกว่าพระเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัส จึงจะจุติลงมาเกิด แล้วได้สำเร็จมรรคผลในพระศาสนานั้น
๓. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ รู้ความหมาย เจริญอยู่เนืองๆ จะมีความสุขสวัสดีมีอายุยืน
๔. ผู้ท่องจำได้ สวดได้ แต่ไม่รู้ความหมาย ดำรงไว้ในตนด้วยศรัทธาความเคารพ จะไม่ไปอุบาย
ความเป็นมาแห่งยอดธรรมยอดคาถา​

พระคุณเจ้าดาบส สุมโน ได้แสดงธรรมคาถาเทศนา ณ ที่ถ้ำเจดีย์แก้วหรือที่อาศรมวิเวกเจดีย์แก้ว(ถ้ำผาตูบ) จังหวัดน่าน ในพรรษาศีลที่ ๖ เดือน ๑๑ เหนือ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๘ ค่ำ วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ปีมะโรง มีความสำคัญดังต่อไปนี้..​

ก่อนที่จะกำเนิดมาเป็นพระคาถา ยอดธรรม ยอดคาถานี้ขึ้นมาได้นั้น มีสาเหตุเกิดขึ้นจาก ณ บนสวรรค์คือกาลนั้น ได้มีเทพบุตร ๒ ตน คือตนหนึ่ง มีเครื่องทรงเศร้าหมอง อีกตนหนึ่งมีทิพย์อาสน์ร้อน เพราะใกล้ถึงเวลาจุติ ก็ให้บังเกิดความกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่อยากจุติจากทิพย์สมบัติในสวรรค์ ภายหลังได้รับการอนุเคราะห์จาก “ธรรมโฆษเทพบุตร” ธรรมโฆษเทพบุตร จึงได้เล่าประวัติความเป็นมาแห่งตนจากการที่ดำรงไว้ซึ่งยอดธรรม ยอดคาถาให้เทพบุตรเหล่านั้นฟัง มีความว่าดังนี้…​

เมื่อก่อนธรรมโฆษเทพบุตรตนนี้ชื่อว่า “อุโปสถะเทพบุตร” เมื่อใกล้จะจุติจากสวรรค์(เรียกว่าหมดบุญ) จึงระลึกได้ว่า เมื่อตนหมดบุญแล้วจะต้องไปเกิดยังยมโลก เป็นสัตว์นรกอยู่ถึง ๘ แสน ๔ หมื่นกัลป์ จากนรกแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดียรฉานอีก ๗ จำพวก จำพวกละ ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นวิบากจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นมนุษย์พิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ง่อยเปลี้ย เสียขา ไม่ครบอาการ ๓๒ อีก ๕๐๐ ชาติ เพราะกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้แล้ว ความชั่วในปางก่อนติดตามทัน

เมื่ออุโปสถะระลึกได้ดังนั้น ก็ตกใจมีความกลัวเป็นกำลัง ขณะนั้นพอได้ทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าขึ้นมาโปรดสัตว์ชั้นดาวดึงส์ ประทับอยู่ใต้ต้นปริชาติ อุโปสถะจึงน้อมเกล้าเข้าไปขอธรรม เพื่อให้ระงับการจุติเสียในขณะนั้น เพื่อจะได้บำเพ็ญกุศลสืบต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เทศนายอดธรรม ยอดคาถา โปรดอุโปสถะเทพบุตร เมื่ออุปโปสถะเทพบุตรได้ยอดธรรม ยอดคาถามาดำรงไว้ในตน จึงบันดาลให้อุโปสถะเทพบุตรกลับมีสภาพใหม่และได้นามว่า “ธรรมโฆษเทพบุตร” แต่นั้นมา และมีอายุยืน ไม่ได้จุติลงไปยังยมโลกและโลกมนุษย์ตราบเท่าทุกวันนี้

ที่มา​ คาถาครูพักลักจำ

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: