1788.พลังกสิณท่านพ่อลี แสดงฤทธิ์ปราบทิฏฐิ สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ติสฺโส อ้วน)
“ท่านพ่อลี ธมฺมธโร”
พระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์เป็นจอมจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อได้ฟังธรรมจากสามเณรนิโครธซึ่งเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมว่า “#ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย #ผู้ประมาทแล้วเหมือนคนตายแล้ว”บทธรรมสั้น ๆ นั้นได้สร้างศรัทธาแก่พระเจ้าอโศก ฯ เป็นยิ่งนัก
ธรรมไม่มีวัย ใจไม่มีกาล คนจะดีจะชั่วจะบริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับความประพฤติและการกระทำ ไม่ใช่ว่าชาติตระกูลดี เกิดนาน บวชนาน จะดีบริสุทธิ์ขึ้นมาเองได้… ข้อนั้นไม่ใช่ทางแห่งพุทธธรรม
ในเรื่องนี้ขอนำเรื่องท่านพ่อลีสอนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เล่าโดย หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน มาตีแผ่ให้ท่านทั้งหลายได้อ่านทั่วกัน
พระสมเด็จ ฯ ผู้มีปฏิปทาอย่างนี้หาได้ยากยิ่งนัก !
เพราะสมัยปัจจุบันนี้อย่าหวังเลยว่า จะหาพระสมเด็จ ฯ ที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะเพื่อแสวงหาธรรมขั้นสูงนั้นเจอ
…ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯเป็นอย่างมาก
…แต่สมเด็จ ฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตเอง ก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว
ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จ ฯให้รู้ซะบ้างว่า
#ธรรมของจริง #ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร สมเด็จ ฯ ท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วัน ๆผ่านไปโดยไม่สนใจปฏิบัติสมาธิภาวนา พิจารณาสังขาร ทำแต่งานเผยแผ่ภายนอก คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิบัติการตอบแทนพระคุณท่านด้วยธรรมที่รู้เห็น มาตามสติปัญญาที่มี
เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการ
เบื้องต้น..ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ
..ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่สมเด็จฯ สมเด็จ ฯ ก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น
..บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง
แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ..แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆสมเด็จฯ ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า
“..เอ..วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น”
เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีท่าจับโน่นจับนี่ พูดว่า “ไหน..ไหน..มันเป็นอะไร? อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ..ขอรับเจ้าประคุณ !
เมื่อเป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน ด้วยความที่สมเด็จ ฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอ จึงเอะใจเป็นที่น่าสงสัย เพราะถ้าท่านพ่อลีมาเมื่อใด อาการนั้นก็หายทันที
ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า “เหตุที่เป็นดังนี้..ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน”
หลังจากนั้นมาสมเด็จฯ ท่านก็เข้าใจเพราะป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น
ต่อมาสมเด็จท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน เมื่อท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า
“#คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น
#แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง #ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย
#พระอาจารย์มั่นพระอาจารย์เสาร์ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา
#เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา
#เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ”
“…ท่านลี..เธอต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเราไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้รู้ว่าอยู่กับเราเท่านี้ก็พอ”
หลวงตามหาบัวได้สรุปไว้อย่างน่าฟังว่า ท่านพ่อลีนี่เองเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯได้ แต่ก่อนนั้นท่านเป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่
ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จฯได้พบกับหลวงปู่มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดกับหลวงปู่มั่นว่า
“เออ !ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ”
หลวงตามหาบัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อย ๆ ที่ริมฝีปากเป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ…”
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแผ่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญในธรรม สาธุ อนุโมทามิ
Cr.พเนจร สุดทางไป