2187.น้อมจิตเข้านิโรธ น้อมจิตอย่างไร หลวงปู่มั่น

#พระอาจารมั่น_ภูริทัตตะมหาเถระ..

“ได้เคยเล่าเรื่องการเข้านิโรธของพระอาจารย์
ลูกศิษย์ท่านองค์หนึ่งให้ฟัง ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่
จำพรรษากับท่าน ท่านได้ประกาศให้บรรดาสานุศิษย์ทั้งหลายทราบทุกๆ องค์ว่า”

“ท่าน… จากกันไปนาน การภาวนาเป็นอย่าง
ไรบ้าง ดีหรือไม่”

ท่านอาจารย์องค์นั้นตอบถวายท่านพระอาจารย์
มั่นว่า “กระผมเข้านิโรธอยู่เสมอๆ”

“เข้าอย่างไร?”

“น้อมจิต เข้าสู่นิโรธ”

#ท่านพระอาจารย์มั่น ย้อนถามว่า..?

“น้อมจิตเข้านิโรธ น้อมจิตอย่างไร”

ก็ตอบว่า “น้อมจิตเข้านิโรธ ก็คือ ทำจิต
ให้สงบแล้วนิ่งอยู่โดยไม่ให้จิตนั้นนึกคิด
ไปอย่างไร ให้สงบและทรงอยู่อย่างนั้น”

“แล้วเป็นอย่างไร เข้าไปแล้วเป็นยังไง”
ท่านพระอาจารย์มั่นซักถาม

“มันสบาย ไม่มีทุกขเวทนา”

#ท่านพระอาจารย์มั่นถามว่า..

“เวลาถอน เป็นอย่างไร”

ท่านพระอาจารย์องค์นั้นตอบว่า
“เวลาถอนก็สบายทำให้กายและจิตเบา”

#กิเลสเป็นอย่างไร

“กิเลสก็สงบอยู่เป็นธรรมดา แต่บางครั้ง
ก็มีกำเริบขึ้น”

“พอถึงตอนนี้ ท่านพระอาจารย์มั่นจึงได้
ประกาศเรื่องนิโรธให้บรรดาสานุศิษย์ทราบ
ทั่วกันว่า”

“นิโรธแบบนี้ นิโรธสมมติ นิโรธบัญญัติ
เพราะเป็นนิโรธที่น้อมเข้าเอง ไม่มีตัวอย่างว่า
พระอริยเจ้าน้อมจิตเข้านิโรธได้ ใครจะไปน้อม
จิตเข้าได้

เมื่อจิตยังหยาบอยู่ จะไปน้อมจิตเข้า
ไปสู่นิโรธที่ละเอียดไม่ได้ เหมือนกับบุคคลที่ไล่
ช้างเข้ารูปู ใครเล่าจะไล่เข้าได้ รูปูมันรูเล็กๆ หรือเหมือนกับบุคคลที่เอาเชือกเส้นใหญ่จะไปแหย่ร้อยเข้ารูเข็ม มันจะร้อยเข้าไปได้ไหม…?

เพราะนิโรธ
เป็นของละเอียด จิตที่ยังหยาบอยู่จะไปน้อมเข้าสู่นิโรธไม่ได้ เป็นแต่นิโรธน้อม นิโรธสมมติ นิโรธบัญญัติ นิโรธสังขาร นิโรธหลง…!”

# แล้วท่านก็เลยอธิบาย เรื่องนิโรธต่อไปว่า

“นิโรธะ” แปลว่า ความดับ คือ ดับทุกข์ ดับเหตุ
ดับปัจจัย ซึ่งเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์
ทั้งหลาย ดับอวิชชา ดับตัณหานั่นเอง จึงเรียกว่า เป็นนิโรธ อย่าไปถือว่าเอาจิตที่ไปรวมลงสู่ภวังค์
หรือฐีติจิต จิตเดิม เป็นนิโรธ มันไม่ได้ ท่านว่า

จิตชนิดนั้นถ้าขาดสติปัญญาพิจารณาทางวิปัส
สนาแล้ว ก็ยังไม่ขาดจากสังโยชน์ ยังมีสังโยชน์ครอบคลุมอยู่ เมื่อถอนออกมาก็เป็นจิตธรรมดา เมือกระทบกับอารมณ์ต่างๆ นานเข้า ก็เป็นจิตที่ฟุ้งซ่านและเสื่อมจากความสงบหรือความรวม
ชนิดนั้น

#ท่านพระอาจารย์มั่นได้ประกาศให้ทราบว่า

“ผมก็เลยไปพิจารณาดูนิโรธพระอริยเจ้าดูแล้ว
ได้ความว่า นิโรธ แปลว่าความดับ ดับเหตุ ดับปัจจัย ที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย คือ ทำตัณหาให้สิ้นไป ดับตัณหาโดยไม่ให้เหลือ ความละตัณหา ความวางตัณหา ความปล่อยตัณหา ความสละ สลัด ตัด ขาด จากตัณหา นี้ จึงเรียกว่า “นิโรธ”

# นี่เป็นนิโรธ ของพระอริยเจ้า…ท่านว่า

#นิโรธของพระอริยเจ้านั้นเป็น

“อกาลิโก” ความเป็นนิโรธ การดับทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลา ไม่เหมือน “นิโรธ”
ของพวกฤๅษีไพรภายนอกศาสนา ส่วนนิโรธของพวกฤๅษีชีไพรภายนอกศาสนานั้น มีความมุ่งหมายเฉพาะ อยากแต่จะให้จิตของตนรวมอย่างเดียว สงบอยู่อย่างเดียว วางอารมณ์อย่างเดียว

เมื่อจิตถอนจากอารมณ์แล้ว ก็ไม่นึกน้อมเข้ามาพิจารณาให้รู้เห็นสัจธรรม คือ ให้รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงธรรมเป็นที่ดับทุกข์ ยินดีเฉพาะแต่จิตสงบหรือรวมอยู่เท่านั้น ว่าเป็นที่สุดของทุกข์เมื่อจิตถอนก็ยินดี เอื้อเฟื้อ อาลัยในจิตที่รวมแล้วก็เลยส่งจิตของตนให้ยึดในเรื่องอดีตบ้าง อนาคตบ้าง ปัจจุบันบ้าง ส่วนกิเลสตัณหานั้นยังมีอยู่ ยังเป็นอาสวะนอนนิ่งอยู่ภายในหัวใจ

“ท่านอธิบายถึงนิโรธของพระพุทธเจ้า
และพระอริยเจ้าต่อไปว่า”

นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ของพระอริยเจ้านั้น ต้องเดินตามมัชฌิมาปฏิปทา… ทางสายกลาง คือ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ ตั้งใจไว้ชอบ … นี่จึงจะถึงนิโรธความดับทุกข์ ดับเหตุให้เกิดทุกข์ นิโรธของพระอริยเจ้านั้นเป็นนิโรธอยู่ตลอดกาลเวลา ไม่อ้างกาล ไม่อ้างเวลานั้นจึงจะเข้านิโรธ กาลนี้จึงจะออกนิโรธ ไม่เหมือนนิโรธของพวกฤๅษีชีไพรภายนอกพระพุทธศาสนา

นี่เป็นคำสอนของท่านพระ
อาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตะมหาเถระ
ที่แสดงไว้ ข้าพเจ้าจำความนั้นได้

#ที่มา_กุลเชฏฐาภิวาท
[พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ]
*******************************
เทิดไว้เหนือเศียรเกล้า​ ด้วยเกล้า​ สาธุ.
ขออนุญาตนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทาน
แก่ผู้ที่มีความศรัทธา.​ **************

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: