1615.อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลวงพ่อท่านเขียว วัดหรงบน

อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์หลวงพ่อท่านเขียว วัดหรงบน
ในระหว่างระยะเวลาที่ “หลวงพ่อท่านเขียว” ได้ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลําเนาไพร ผ่านจังหวัดต่างๆในบริเวณภาคใต้ของไทยนั้น มีอยู่วันหนึ่งที่ หลวงพ่อท่านเขียว ได้อธิษฐานจิต แล้วเอามือทั้งสองกดลงบนหิน ภายในถ้ำเพื่อ “ทดสอบพลังจิต” จึงปรากฎว่า หินนั้นได้ยุบตัวลงไปเป็นรอบนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว

ซึ่งในขณะนั้นมีสามเณรน้อยรูปหนึ่ง ได้ติดตามท่านไปด้วยและได้แลเห็นโดยตลอดจึงเดินเข้าไปพิจารณาดูอย่างใกล้ชิด หลวงพ่อท่านเขียว จึงสั่งห้ามสามเณรน้อยห้ามนำเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้นไปบอกกับใครโดยเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่บังควร หากใครได้รับรู้รับทราบคงจะติเตียนไม่เชื่อสามเณรรูปน้อยรูปนั้นเป็นแน่ ภายหลังจากที่ได้ กำชับสามเณรน้อยให้ปฏิบัติตามสัจจะเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของสามเณรน้อยรูปนั้นเอง จากนั้นไม่นาน หลวงพ่อท่านเขียวก็เดินทางกลับมาที่วัดหรงบน ด้วยปิติสุขอย่างเปี่ยมล้น

เรื่องราวอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อมา เป็นเรื่องราวของชาวบ้าน ชื่อ นายบรรจบ บ้านดอกตก ตำบลไสหมาก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยคนร้ายจำนวนเจ็ดคน บุกเข้าปล้นวัวภายในบริเวณบ้าน กลางดึกของคืนวันหนึ่ง นายบรรจบ เมื่อรู้ตัวเกิดความเสียดาย แต่ภายในบ้านก็ไม่มีอาวุธอะไรไปต่อกรกับคนร้ายที่มีมากกว่า

จึงตัดสินใจหยิบผ้ายันต์รอยเท้ารอยมือของหลวงพ่อท่านเขียว ขึ้นจบขอบารมีอธิษฐานให้ความคุ้มครอง แคล้วคลาดปลอดภัย แล้วตัดสินใจคว้ามีดพร้าด้ามยาว ที่วางไว้ข้างเสาเรือน กระโดดลงเรือนตรงเข้าไล่ฟันคนร้ายที่กำลังจูงวัวออกไปห้าตัว

แต่ก็มีคนร้ายคนหนึ่งหันหลังกลับมา ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวกระหน่ำยิงใส่นายบรรจบ จนหัวทิ่มกระเด็นลงไปนอนบนพื้น แต่ทว่ากระสุนปืนลูกซองกลับไม่ระคายผิวหนัง มีแต่ฟกช้ำเท่านั้น นายบรรจบเห็นเช่านั้น

จึงเกิดความเชื่อมั่นในพุทธคุณของผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าของหลวงพ่อท่านเขียว จึงวิ่งเข้าใส่คนร้ายซึ่งเป็นการเสี่ยงชีวิต หากพลาดก็ตาย เพราะข้างฝ่ายนายบรรจบมีคนเดียวกับ กลุ่มคนร้ายถึงห้าคน แล้วนาทีระทึกใจก็มาถึง เมื่อคนร้ายรวมตัวกันระดมยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองยาวพร้อมๆกัน ถูกนายบรรจบ ถึงกับหงายท้องตีลังกา แต่กระสุนปืนก็ไม่ระคายผิวอีกเช่นกัน

นายบรรจบพยายามรวบรวมสติว่า หากขืนตามไปคนเดียวอาจถูกโจรยิงซ้ำอีก และคงเดินไม่ไหวเป็นแน่ จึงวิ่งกลับบ้านตีเกราะเคาะไม้เรียกเพื่อนบ้านมาช่วย เพราะกลัวว่าคนร้ายอาจย้อนรอยมาฆ่าอีก เมื่อชาวบ้านมารวมตัวกัน นายบรรจบ จึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของผ้ายันต์ ให้กับเพื่อนบ้านได้ฟัง หลังจากนั้นชาวบ้านจึงแห่กันไปที่วัด เพื่อขอบูชาผ้ารอยมือรอยเท้าไว้ป้องกันภยันอันตรายนั้นเองครับ

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
นายเหลี้ยง นะเสน ได้เล่าว่ามีชายคนหนึ่งไม่เชื่อว่าหลวงปู่เขียวเผาไม่ไหม้จึงได้เอาเทียนมัดรวมกันเต็มกำมือแล้วจุดไฟเอาไปจ่อที่จีวรที่ศพหลวงปู่เขียวปรากฏว่าเทียนดับจึงจุดใหม่และเอาไปจ่ออีกถึงสามครั้งเทียนก็ดับทุกครั้งจึงก้มลงกราบขอขมาแล้วฉีกเอาจีวรไปประมาณเท่าฝ่ามือ

มีอีกคนหนึ่งชื่อลุงศรีพุฒอยู่บ้านควายต่อหัว ทางทิศตะวันออกวัดคงคาวดี(วัดกลาง)ซึ่งเคยยกปิ่นโตทำบุญอยู่กับหลวงปู่เขียวประจำเรียกได้ว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันดีไม่เชื่อว่าไฟจะไม่ไหม้ศพหลวงปู่เขียวคิดว่าพวกกรรมการแกล้งทำเป็นแน่ขณะที่นำศพหลวงปู่เขียวไปมัดไว้กับเสากุฏิก็ได้จุดเทียนขึ้นหนึ่งกำมือแล้วจ่อเข้าไปในจีวรที่ศพหลวงปู่เขียวปรากฏว่าไฟลุกทะลุจีวรขึ้นไป

โดยไม่ไหม้จีวรแม้แต่น้อยถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียวเสียงชาวบ้านและลูกศิษย์ตะโกนลั่น ทำหลวงปู่ทำไมลุงศรีพุฒตกใจรีบก้มลงกราบศพหลวงปู่เขียวแล้วลงจากกุฏิหายไปทั้งสองเรื่องนี้ยังมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นเล่าให้ฟังได้อย่างแม่นยำ เมื่อเสร็จจากแจกจีวรกันแล้วคืนนั้นทางคณะกรรมการจึงนำศพหลวงปู่เขียวมามัดไว้กับเสาบนกุฏิของท่านให้ประชาชนกราบใหว้ไปพลางๆก่อน

ภายหลังจึงได้นำหีบแก้วมาบรรจุศพตั้งไว้บนกุฏิของท่านให้ได้กราบใหว้และชมร่างหลวงปู่เขียวได้อย่างชัดเจนมีเรื่องเล่าว่าทีแรกทางคณะกรรมการจะนำศพที่บรรจุในหีบแก้วไปตั้งไว้บนกุฏิหอรูปปั้นที่ได้สร้างไว้แต่ไม่สามารถนำขึ้นไปได้จึงต้องนำกลับมาไว้บนกุฏิของท่านในภายหลังปีพ.ศ.๒๕๓๐ทางวัดหรงบนได้สร้างมณฑบเจดีย์ขึ้นจึงได้นำหีบแก้วบรรจุศพหลวงปู่เขียวขึ้นไปประดิษฐานไว้บนมณฑบเจดีย์ให้ได้กราบใหว้บูชากันจวบจนทุุกวันนี้

ขอบคุณที่มา
http://watrhongbon.com/forums/index.php?topic=10.0

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: