498.มหัศจรรย์เรื่อง “หลวงปู่เขียว วัดหรงบน” ตายไม่เน่า เผาไม่ไหม้

มหัศจรรย์เรื่อง “หลวงปู่เขียว วัดหรงบน”
ตายไม่เน่า เผาไม่ไหม้
ในเมืองไทยเรามีพระสงฆ์ผู้มีความศักริ์สิทธิ์ก็อยู่หลายรูป
แต่จะหาอริยะสงฆ์แบบพ่อท่านเขียว วัดหรงบน จ.นครศรีธรรมราช นั้นคงน้อยมากๆ เพราะว่าอะไรเราลองมาหาคำตอบกันดีกว่าครับ
“วัดหรงบน” เมื่อ 40 กว่าปีก่อน ยังมีการติดต่อได้ลำบาก จากลุ่มน้ำปากพนัง ต้องล่องเรือนานกว่าชั่วโมง ก่อนขึ้นฝั่งที่ บางตะพงษ์ แล้วจะต้องเดินลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้าไปอีกไกล จึงจะถึงวัดหรงบน เพื่อกราบนมัสการ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์แห่งลุ่มน้ำปากพนัง เนื่องจากไม่มีถนนเข้าไปถึง อีกทั้ง “พ่อท่านเขียว” ก็ยังไม่มีคนต่างถิ่น รู้จักมากนัก นานทีจึงจะมีคนเข้าไปกราบนมัสการท่าน
“พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพไปแล้ว ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดหรงบนนัก และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจากบางตะพงษ์นั่นเอง การจัดการศพของท่านนั้น พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ เจ้าอาวาส วัดคงคาวดี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่าน ได้ตั้งศพของพ่อท่าน ไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืน พร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่าน
จากนั้นรุ่งขึ้นจึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยังวัดหรงบน ปรากฏว่าเมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน ระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยบรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่าน ต่างต้องการแสดงความกตเวทิตคุณ ตามประเพณีงานศพของทางภาคใต้ ซึ่งเป็นประเพณีพื้นถิ่น คือทำการจุดดินปืนที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีนี้คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่ามีงานศพ ปรากฏว่าการจุดในคืนแรก ดินปืนด้านหมดทั้งสามลูก ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว

ต่อมาคืนที่สอง ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมดห้าลูก แต่ก็ด้านหมดทุกลูก ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรก ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างพากันประหลาดใจ ว่าเป็นเพราะเหตุใด จากนั้นพอคืนที่สาม ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืนก็ ไม่ยอมลดละ ได้ทำการจุดดินปืนที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่าจุดไม่ติด เช่นกันกับสองคืนแรก
จะมีก็เพียงควันพวยพุ่งขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดงวยงงสงสัย ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อย ก็จะทำการฌาปนกิจศพพ่อท่าน ตามประเพณี แต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแตก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยากให้เผาศพพ่อท่าน แต่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ ให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่อยากให้เผา
แต่เสียงส่วนใหญ่ต้องการให้เผาศพพ่อท่าน จะได้หมดห่วงหมดกังวล จึงทำให้ ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา ทำการต่อรองขอว่า “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” ทุกฝ่ายจึงต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี

การฌาปนกิจศพ “พ่อท่านเขียว” ได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่กลางลานวัด โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่ายๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี แต่พอถึงเวลากลับไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่านเลย ดังนั้น นายเหลี้ยง ชนะเสน เถ้าแก่โรงสี บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่ง จึงเป็นผู้อาสาจุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธีขอขมาศพพ่อท่านก่อน แล้ววานท่านอาจารย์เพชร เป็นผู้จุดไฟที่ดอกไม้จันทน์ที่ตนถืออยู่ก่อน จากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อยๆลุกลามขึ้นไหม้ทั้งดอกไม้จันทน์
ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพ และฟืนที่รองอยู่ จนควันโขมงและค่อยๆโหมแรงขึ้นๆจนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่ โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกา ว่าจะครบ ๑ ชั่วโมงเมื่อใด ไฟได้โหมแรงขึ้นๆจนกองฟืนที่สุมไว้ไหม้เกือบหมดแล้ว แต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการหงุดหงิดตามๆกัน แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่เร่งเวลาให้ครบชั่วโมงโดยเร็ว แต่ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดก่อน ที่ผู้ที่จับเวลาจากนาฬิกาที่มีถึงสามคน จากทั้งสองฝ่าย ก็ได้ตะโกนบอกว่า “ครบชั่วโมงแล้ว”
เสียงฆ้องเสียงระฆัง จึงตีรัวดังขึ้น ตามที่นัดหมายกันไว้ นาทีนั้นโดยไม่มีใครคาดคิด นายเหลี้ยง ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมาก แต่ นายเหลี้ยง ไม่นำพาและไม่ได้หวาดหวั่นกับไฟที่ยังคุกรุ่นเหล่านั้นเลย กลับเดินแหวกควันไฟเข้าไป พร้อมเอามือช้อนลงอุ้มศพของพ่อท่านขึ้นให้ทุกคนดู ปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยใดๆ ให้เห็นว่าผ่านการถูกเผามาเลย แม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน
ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ จึงต่างส่งเสียงดังลั่น ส่วนนายเหลี้ยง ที่ใช้มือช้อนใต้ศพ จึงถูกเหล็กรองโลงศพเข้าเต็มๆ แต่แทนที่เหล็กจะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับเย็นเฉียบ ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลย ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างงงงวยกันยิ่งขึ้นไปอีก เพราะเป็นเรื่องที่สุดอัศจรรย์โดยแท้ พอได้สติบรรดาญาติโยมต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านเก็บไว้ จนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ

เรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงานฌาปนกิจศพพ่อท่าน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคนยืนยันได้ เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์ ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไปร่วมงาน ต่างยืนยันได้ทุกคน แสดงว่าบุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นยิ่งใหญ่จริงๆ เพราะเพียงแค่ “ท่านมรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้ว แต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่จีวรที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย
ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้ว สรีระของท่านแข็งและแกร่งมาก แต่คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ใส่โลงแก้วไว้ เพื่อให้ผู้คนทั่ว ไปได้กราบ ไหว้บูชาและได้ชม สรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง เพราะหากใครได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้ง ก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง
ย่อจากบทความของ ‘แฉ่ง บางกะเบา’ จาก นสพ.เดลินิวส์ วันที่ 1 กันยายน 2550

จาก “ลุ่มน้ำปากพนัง” ล่องเรือนาน กว่าชั่วโมงก่อนขึ้นฝั่งที่ “บางตะพงษ์” แล้วเดินลัดเลาะข้ามทุ่งหญ้าเวิ้งว้างไปยาวไกล มองเห็นพุ่มพฤกษ์พันธุ์นานาอยู่ข้างหน้าคนนำทางหนวดเฟิ้มบอกว่า “โน่นแหละวัดหรงบน” ผู้เขียนพร้อมด้วย “คุณประกอบ กำเนิดพลอย” และ “คุณณรงค์ เลติกุล” เดินตามไปด้วยความอ่อนล้ากว่าจะก้าวเข้า “วัดหรงบน” เพื่อกราบนมัสการ “พ่อท่านเขียว” เกจิอาจารย์ขลังแห่งลุ่มน้ำปากพนังก็แทบหมดแรงไปตาม ๆ กัน

การเดินทางไป “วัดหรงบน” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ สภาพความเป็นไปดังกล่าวนั้นเนื่องจาก “ไม่มีถนน” เข้าไปถึงอีกทั้ง “พ่อท่านเขียว”พระเกจิอาจารย์องค์นี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังมีคนรู้จัก “ไม่มากนัก” นานทีจึงจะมีคนเข้าไปกราบนมัสการท่านและการเดินทางไป “วัดหรงบน” ครั้งนั้นผู้เขียนและคณะก็ต้องพบกับความ “ผิดหวัง” เพราะ “พ่อท่านเขียว” ได้มรณภาพไปแล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ณ วัดคงคาวดี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก “วัดหรงบน” และเป็นเส้นทางเดินผ่านมาจาก “บางตะพงษ์” ที่ผู้เขียนได้ผ่านมาแล้วนั่นเองดังนั้นการไปครั้งนั้นเพื่อหวังได้กราบ “ยอดเกจิอาจารย์” จึงเป็นการไป “เสียเที่ยว” แต่ไหน ๆ เมื่อไปแล้วผู้เขียนจะ “ไม่ยอม” ให้เสียเที่ยวต่อจากนี้ไปจึงขอ “ถ่ายทอด” เรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นขณะ “พ่อท่านเขียวมรณภาพแล้ว” ที่ผู้เขียนทำการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องมาด้วยตนเองเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒

“พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์” เจ้าอาวาส “วัดคงคาวดี” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ “พ่อท่านเขียว” ได้ตั้งศพของพ่อท่านไว้ที่วัดคงคาวดีหนึ่งคืนพร้อมทำการสวดอภิธรรม เพื่อให้บรรดาสานุศิษย์ได้เคารพศพพ่อท่านจากนั้นรุ่งขึ้น จึงนำศพของพ่อท่านเดินทางไปยัง“วัดหรงบน” รากฏว่าชาวบ้านเมื่อรู้ข่าวต่างพากันมาร่วมไว้อาลัยพ่อท่านมากมาย และมีการสวดอภิธรรมจนครบ ๓ คืน แต่แล้วระหว่างงานสวดอภิธรรมนั้นได้เกิด “เหตุอัศจรรย์” ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อแต่ก็ “เป็นไปแล้ว” เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและมี “พยาน” ที่พร้อม จะอ้างอิงได้อีกด้วยคือ….

บรรดาลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือพ่อท่านต่างต้องการแสดง “ความกตเวทิตาคุณ” ตามประเพณีงานศพคือทำการ “จุดดินปืน”ที่ใส่ “กระบอกเหล็ก” ยาว ๑ ศอก (ประเพณีที่คนภาคใต้นิยมจุดกัน) คล้ายกับพลุเพื่อ “ส่งสัญญาณ” ให้คนที่อยู่ไกลออกไปได้ทราบว่า “มีงานศพ” ปรากฏว่าการจุดใน “คืนแรก” ดินปืนด้านหมดทั้ง “สามลูก” ไม่ยอมดังหรือติดเลยแม้แต่ลูกเดียว ต่อมา “คืนที่สอง” ลูกศิษย์เริ่มจุดอีกช่วง ๑๘.๐๐ น. ปรากฏว่าครั้งนี้จุดทั้งหมด “ห้าลูก” แต่ก็ด้านหมด “ทุกลูก” ไม่ดังและไม่ติดเช่นเดียวกันกับคืนแรกผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากัน “ประหลาดใจ” ว่าเป็นเพราะเหตุใด

จากนั้น “คืนที่สาม” ลูกศิษย์ผู้ที่จุดดินปืน ก็ไม่ยอมลดละได้ทำการ “จุดดินปืน” ที่เตรียมมาใหม่ ในเวลาเดิม ๑๘.๐๐ น. แต่ปรากฏว่า “จุดไม่ติด” เช่นกันกับสองคืนแรกจะมีก็เพียง “ควันพวยพุ่งขึ้น” เล็กน้อยเท่านั้นไม่ยอมระเบิดเลยแม้แต่ลูกเดียว ทำให้ผู้ที่จุดเป็นงงสงสัยว่า เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ กระทั่งหลังการบำเพ็ญกุศลเรียบร้อยแล้วก็จะทำการ “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน”

ต่อไปตามประเพณีแต่บรรดาลูกศิษย์ต่างแยก ความคิดกันออกเป็นสองฝ่ายคือ “ฝ่ายหนึ่ง ให้เผาศพพ่อท่าน” แต่ “อีกฝ่ายหนึ่งต้อง การให้เก็บศพพ่อท่านไว้ไม่ต้องเผา” สรุปความคิดเห็นแล้ว “ส่วนใหญ่” ต้องการให้เผาศพพ่อท่านจะได้หมดห่วงหมดกังวลจึงทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ทำการต่อรองขอว่าถ้าเช่นนั้น “ถ้าเผาศพพ่อท่านครบ ๑ ชั่วโมงแล้วไม่ไหม้ ขอให้เก็บศพไว้บูชา” เมื่อเป็นเช่นนี้ต่างก็ตกลงกันได้ด้วยดี ดังนั้นการ “ฌาปนกิจศพ พ่อท่านเขียว” จึงได้ทำการตั้งเมรุเผากันที่ “กลางลานวัด” โดยใช้ไม้ฟืนที่ชาวบ้านช่วยกันนำมาโดยใช้เหล็กสามท่อน วางรองโลงศพต่างเชิงตะกอนแบบง่าย ๆ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงรอเวลาทำการเผาตามประเพณี…แต่พอถึงเวลากลับ “ไม่มีใครกล้าจุดไฟเผาพ่อท่าน”

เลย ด้วยเหตุนี้ “นายเหลี้ยง ชนะเสน” เถ้าแก่โรงสี “บ้านใสหมาก อ.เชียรใหญ่” ซึ่งเป็นศิษย์พ่อท่านอีกผู้หนึ่งจึงเป็นผู้อาสา “จุดไฟเอง โดยไม่ลืมทำพิธี “ขอขมาศพพ่อท่าน” แล้ววานท่าน “อาจารย์เพชร” เป็นผู้จุดไฟที่ “ดอกไม้จันทน์” ที่ตนถืออยู่ก่อนจากนั้นนายเหลี้ยงจึงทำการจุดไฟที่กองฟืนทันที ชั่วครู่ไฟจึงค่อย ๆ ลุกลามขึ้นไหม้ทั้ง “ดอกไม้จันทน์” ที่บรรดาญาติโยมนำไปวางไว้ทั้งด้านบนและด้านข้างโลงศพและ “ฟืน” ที่รองอยู่จนควันโขมงแล้วค่อย ๆ “โหมแรงขึ้น ๆ” จนท่วมโลงศพ และฟืนที่สุมอยู่โดยมี “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างก็คอยจับเวลาดูนาฬิกาว่าครบ “๑ ชั่วโมง” เมื่อไหร่ทั้งที่ “ไฟได้โหมแรงขึ้น ๆ” จนกองฟืนที่สุมไว้เกือบหมด แล้วแต่เวลาก็ยังเหลืออีกมากทำให้ “ฝ่ายที่ไม่อยากให้เผา” ต่างออกอาการ “หงุดหงิด” ตาม ๆ

กันแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้จึงได้แต่ “เร่งเวลาให้ครบชั่วโมง” โดยเร็วเท่านั้นกระทั่ง “ไฟได้ไหม้ทั้งฟืนและโลงศพจนหมดแล้ว” พร้อมทั้ง “ควันไฟ” พวยพุ่งท่วมลานวัดไปหมด “ผู้ที่จับเวลา” จากนาฬิกาที่มีถึงสามคนจากทั้ง “สองฝ่าย” จึงตะโกนบอก “ครบชั่วโมงแล้ว” “เสียงฆ้องเสียงระฆัง” ที่ตีรัวจึงดังขึ้นตามที่นัดหมายกันไว้ว่า “ครบชั่วโมง” จะตีฆ้องและ ระฆังบอกต่อกัน “นาทีนั้น” โดยไม่มีใครคาดคิด “นายเหลี้ยง ชนะเสน” ผู้ที่ทำการจุดไฟรีบวิ่งเข้าไปยังกองไฟที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ แม้จะเริ่มมอดลงบ้างแล้วแต่ ก็ยังมีไฟลุกอยู่เป็นส่วนมากแต่ “นายเหลี้ยง” ไม่นำพาและ ไม่ได้หวั่นหวาดกับไฟที่ยัง “คุกรุ่นเหล่านั้น” เลยกลับเดินแหวกควันไฟเข้าไปพร้อม เอามือช้อนลง “อุ้มศพของพ่อท่าน” ขึ้นให้ทุกคนดูปรากฏว่าศพของพ่อท่านเป็น “ปกติ” ไม่มีร่องรอยใด ๆ ให้เห็นว่า “ผ่านการถูกเผา” มาเลยแม้แต่จีวรก็ยังเหลืองอร่ามไม่มีร่องรอยถูกเผาเช่นกัน

เท่านั้นเอง “ผู้ที่เห็นเหตุการณ์” ต่างส่งเสียงดังลั่นส่วน “นายเหลี้ยง” ที่ใช้มือช้อนใต้ศพจึงถูก “เหล็กรองโลงศพ” เข้าเต็ม ๆ แต่แทนที่เหล็ก จะร้อนเพราะถูกไฟเผา ปรากฏว่าเหล็กรองโลงศพพ่อท่านเขียวกลับ “เย็นเฉียบ” ไม่มีความร้อนดั่งเช่นเหล็กที่ถูกไฟเผามาก่อนเลยทำให้ทุก คนที่เห็นเหตุการณ์ต่าง “งงงวยตาม ๆ กัน” เพราะเป็นเรื่องที่ “สุดอัศจรรย์” โดยแท้ และพอได้สติบรรดาญาติโยมที่ไปรวมตัวทำการ “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน” ต่างเฮโลไปรุมฉีกจีวรของพ่อท่านจนจีวรที่ห่อหุ้มร่างของพ่อท่านหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ

ซึ่งเรื่องที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่อง “อัศจรรย์” และ “เหลือเชื่อ” อย่างยิ่งแต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ไปร่วมงาน “ฌาปนกิจศพพ่อท่าน” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทุกคน ยืนยันได้เพราะผู้ที่เล่าเหตุการณ์นี้ก็คือ “นายเหลี้ยง ชนะเสน, พระครูพิบูลย์ศีลาจารย์, ท่านอาจารย์ขำ วัดหงษ์แก้ว” รวมทั้ง “นายตั้ง” ซึ่งเป็นชาวบ้านที่ไป ร่วมงานต่างยืนยันได้ทุกคนแสดงว่า บุญบารมีความศักดิ์สิทธิ์ของ “พ่อท่านเขียว” นั้นกว้างใหญ่ไพศาล นับอนันต์จริง ๆ

และเหตุการณ์นี้ไม่เคย “ปรากฏ” จากที่ไหนและที่ใดมาก่อนอีกทั้งคงจะ “ไม่ปรากฏ” ให้ได้เห็นและให้ได้ยินอีกเพราะเพียงแค่ “ท่าน มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อย” ก็ถือว่าอัศจรรย์อยู่แล้วแต่นี่ “เผาไม่ไหม้” แม้แต่ “จีวร” ที่ห่อหุ้มร่างกายท่านก็ยังไม่ไหม้อีกด้วย ปัจจุบัน “ศพของพ่อท่าน” ก็แข็งเป็นหินไปแล้วโดยผู้เขียนมีโอกาสได้ไปสัมผัส พร้อมจับต้องดูปรากฏว่าสรีระของท่าน “แข็งและแกร่งมาก” คงเค้ารูปแบบเดิมทุกประการเพียงแต่แห้งลงไปบ้างเท่านั้น ขณะนี้ทางวัดได้นำ “สรีระของท่าน” ไว้โลงแก้วเพื่อให้ผู้คนทั่วไปได้กราบไหว้บูชาและได้ชมสรีระของพ่อท่านด้วยตัวเอง

เพราะเพียงท่านได้ไปกราบ “ร่างพ่อท่าน” สักครั้งก็นับเป็นบุญอย่างยิ่ง ฉะนั้นหาโอกาสไปกราบเถิด “พระเถระ” ที่ละสังขารแล้วแต่มีเหตุอัน “อัศจรรย์” ให้ประจักษ์เช่นนี้หาไม่ได้ง่ายนักและเมื่อไปกราบแล้วให้สอบถามชาวบ้านถึงความ “อัศจรรย์” อื่น ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของท่านเอง “บางที” ท่านอาจจะได้ประจักษ์แจ้งมากกว่าที่ผู้เขียนเล่ามาด้วยซ้ำไป…นี่ละที่โบราณว่า…“เหนือลิขิต?? ประกาศิตฟ้าดิน??” โดยแท้เลย.

ขอบคุณที่มา… บทความจากน.ส.พ. เดลินิวส์ วันที่ : 1 กันยายน 2550

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: