6137. เปิดตำนานกะลาตาเดียว

หลายคนที่ยังไม่รู้อาจสงสัยว่า กะลาตาเดียว คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร และมีพลานุภาพที่สำคัญอย่างไร ทำไมหลายคนถึงเชื่อถือ เปิดตำนานกะลาตาเดียว ในวันนี้ คงให้ความกระจ่างกับคุณเพิ่มมากขึ้น โดยปรกติทั่วไปแล้ว กะลามะพร้าวเกือบ 100 % จากทุกสายพันธุ์ ที่ก้นกะลาจะมี “ตา” ปรากฏอยู่ 3 ตาแทบทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมา

แต่หากกะลามะพร้าวลูกไหนมีตาเดียวปรากฏขึ้น ตามความเชื่อแล้ว ถือว่าไม่ใช่ความผิดปกติ หากแต่เป็นความแปลกประหลาด ลามเลยไปถึงความอัศจรรย์ ที่หาได้ยากยิ่งด้วย เพราะนานๆ จะเจอกันเสียลูกหนึ่ง

คนในสมัยโบราณนับถือกะลาตาเดียวว่าเป็น สิ่งที่มีความพิเศษแฝงเร้นอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งต่างจากเครื่องรางของขลังชนิดอื่นๆ

มีตำนานเรื่องเล่า และหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับกะลาตาเดียวมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า มีชาวบ้านบางคนนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องรางของขลัง โดยนำกะลามะพร้าวที่มีตาเดียวมาเจาะรู ร้อยเชือก หรือสายสิญจน์คล้องคอ หรือคาดที่เอวติดตัวไว้ใช้สำหรับเดินทาง เพราะเชื่อว่าสามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้

บางคนก็เชื่อว่า หากใช้กะลาตาเดียวตักข้าวสารเวลาหุงข้าวอยู่เป็นประจำ บ้านนั้น และคนในครอบครัว จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ มีข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ไม่อดไม่อยากไปจนตลอดชีวิต

ส่วนข้าราชการในสมัยกรุงศรีอยุธยา นิยมนำบางส่วนของกะลาตาเดียวมาแขวนคอติดตัวตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเชื่อว่าอานุภาพของกะลาตาเดียว จะสร้างความความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่ราชการ และการงานเพิ่มมากขึ้น ได้เลื่อนยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย เป็นใหญ่เป็นโตกว่าคนอื่นๆ

แต่สำหรับเหล่าทหารกล้าที่ต้องออกไปรบทัพจับศึกอยู่เป็นประจำ เกือบทุกคนจะนำกะลาตาเดียวซึ่งตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆไปให้อาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ ลงคาถาอาคมกำกับไว้ที่กะลาตาเดียวอีกคำรบหนึ่ง เพราะเชื่อว่า จะทำให้อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดจากคมหอกคมดาบของศัตรูได้ กะลาตาเดียวในความรู้สึกของพวกเขา จึงไม่ต่างจากพระเครื่อง ยันต์ หรือตะกรุด ฯลฯ แต่อย่างใด

ส่วนกะลาตาเดียวที่ทั้งลูกมีลักษณะงดงาม กลม มนได้สัดส่วน คล้ายดวงอาทิตย์ ชาวบ้านมักจะนำไปไว้บนหิ้งที่บ้าน เพื่ออธิษฐานจิตขอพรในสิ่งต่างๆ ให้กับครอบครัว

ในสมัยสุโขทัย มีหลักฐานปรากฏว่า มีชาวบ้านนำกะลาตาเดียวมาทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ เพื่อไว้สำหรับติดตัว เพราะถือกันว่าเป็นเครื่องรางของขลังชั้นดีชนิดหนึ่ง ที่สามารถป้องกันคุณไสยต่างๆ และภูตผีปีศาจทั้งหลายทั้งมวลได้ และยังทำให้ผู้ที่ครอบครองไว้มีโชคมีลาภอีกด้วย

เอกอุอีกอย่างหนึ่งของการพัฒนากะลาตาเดียวมาเป็นเครื่องรางของขลังอย่างสมบูรณ์แบบ คือผู้ที่ศรัทธาส่วนใหญ่มักนิยมนำกะลาตาเดียวมาแกะเป็นรูปพระราหูห้อยคอ

หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีคือ บทประพันธ์เรื่อง “พระอภัยมณี” ของท่านสุนทรภู่ รัตนกวีสี่แผ่นดิน ตอนหนึ่งท่านได้กล่าวถึงของขลังรูปพระราหูเอาไว้ว่า นางละเวง มีกะลาตาเดียวแกะเป็นรูปพระราหูแขวนประจำกายอยู่ คืนหนึ่งขณะที่นางละเวงนอนหลับ มี “อ้ายย่องตอด” ผู้มีวิชาแก่กล้าทางไสยศาสตร์ ชอบจับสัตว์ และคนมาดูดเลือดเป็นอาหาร อ้ายย่องตอดได้ลอบเข้าไปในห้องนางละเวงเพื่อหวังจะทำร้ายและดูดเลือด แต่พอเข้าไปใกล้เห็นกะลาตาเดียวที่แกะเป็นรูปพระราหูที่นางละเวงห้อยคออยู่ อ้ายย่องตอดก็ไม่อาจทำร้ายนางได้จนต้องหนีไปด้วยความหวาดกลัว

การแกะกะลาตาเดียวเป็นรูปราหูจากอดีตถึงปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบคือ แกะเป็นรูปราหูอมจันทร์ และแกะเป็นรูปราหูอมพระอาทิตย์ รวมทั้งการลงอักขระจะไม่เหมือนกัน

ถ้าเป็นราหูอมจันทร์ จะต้องลงด้วย คาถาจันทรประภา

ถ้าแกะเป็นราหูอมพระอาทิตย์ ต้องลงด้วย คาถาสุริยประภา

กะลาราหูที่มาเป็นคู่มักนิยมเรียกกันว่าตัวผู้ตัวเมียนั้น อันหนึ่งจะเป็นราหูอมจันทร์ และอีกอันจะเป็นราหูอมพระอาทิตย์

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีความเชื่อเพิ่มขึ้นอีกว่ากะลาตาเดียวทั้งลูก เมื่อคว้านเอาเนื้อมะพร้าวออกจนหมดสิ้นแล้ว จะเหลือแต่กะลาทั้งลูกที่ไม่มีรอยแตกร้าว เป็นที่นิยมของพวกพ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ ชาวสวน ชาวนาเป็นอย่างมาก ในเรื่องของโชคลาภและการทำมาค้าขึ้นหรือเชื่อกันว่าเจ้านาย ผู้บังคับบัญชา จะเกื้อหนุน เมตตาเอ็นดู และจะช่วยล้างอาถรรพ์ต่างๆจากผู้ที่ปล่อยมาที่เป็นเสนียดจัญไรภายในบ้านได้เป็นอย่างดี รวมทั้งทำให้มีกินมีใช้ เงินทองทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนมากขึ้น พ่อค้า แม่ค้า ชาวไร่ชาวสวน ที่นำข้าวของสินค้าของตนไปขายในเมืองและต่างแดน หากมีกะลาตาเดียวติดตัวไปด้วยจะทำให้ค้าขายคล่องแคล่ว ได้กำไรมากมาย

เจ้าบ่าวเจ้าสาวในสมัยก่อน ก็มีความเชื่อและเป็นประเพณีปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมาว่า หากนำกะลาตาเดียวทั้งลูกที่เป็นตัวผู้ ตัวเมียคู่กัน มาเก็บไว้ในบ้าน ตั้งแต่วันแต่งงาน จะทำให้ทั้งบ่าวสาว ครองคู่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่หย่าร้างแยกจากกัน จะทำให้ชีวิตครอบครัวอุดมสมบูรณ์พูนสุขไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง

ส่วนบางครอบครัวที่แต่งงานให้ลูกหลาน และอยากให้ลูกหลานตนมีความสุขมากยิ่งขึ้น ไม่ให้แตกแยก เลิกร้าง จากกัน ก็จะแกะชื่อ-สกุล ฝ่ายชายลงในแผ่นไม้รัก แล้วใส่ในกะลาตัวเมีย ส่วนชื่อ-สกุล ฝ่ายหญิง ก็จะแกะลงในแผ่นไม้รักอีกแผ่น แล้วใส่ในกะลาตัวผู้ เก็บไว้คู่กันในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้รักกันชั่วนิรันดร์ หรือในอีกบางความเชื่อสำหรับคู่รักที่แต่งงานกัน หากฝ่ายภรรยาไม่อยากให้สามีของตนนอกใจตัวเอง เธอก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ทั้งของ สามี และตัวเอง ลงในไม้รักคู่กัน แล้วใส่บรรจุลงในกะลาตาเดียว ก็จะทำให้สามีหลงรักตนคนเดียวไม่ปันใจไปรักหญิงอื่น ส่วนสามีก็เช่นกัน ถ้าต้องการให้ภริยาเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดี ก็จะแกะสลัก ชื่อ-สกุล ภริยา และตัวเอง ลงในแผ่นไม้รักแผ่นเดียวกัน แล้วใส่ลงในกะลาตัวผู้ จะทำให้ภริยาไม่นอกใจ

นอกจากนั้นแล้ว ยังเชื่อกันอีกว่า หากใครมี กะลาตาเดียวไว้ติดตัว ติดบ้านไว้แล้ว กะลาตาเดียวจะส่งผลแกชีวิตและครอบครัวได้อีกนานัปการ เช่น หากนำไปปลุกเสกลงคาถาอาคม กะลาตาเดียวจะยิ่งมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นตามคาถาที่ปลุกเสก ทั้งเรื่องแคล้วคลาด เมตตามหานิยม ฯลฯ

ยังเชื่อกันว่ากะลาตาเดียวสามารถใช้ป้องกันคุณไสย ป้องกันภูตผีปีศาจเข้าร่าง กันของมีคมและอาวุธต่างๆ เข้าตัว รวมทั้งใช้ล้างอาถรรพ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในบ้าน เช่น ปลูกบ้านทับของมีอาคมร้าย เช่น ป่าช้า ซากศพ บ่อน้ำ บ้านตั้งอยู่กลางสามแพร่ง และอื่นๆ ที่ส่งผลร้ายให้แก่ผู้อาศัย กะลาตาเดียวสามารถช่วยให้สิ่งร้ายๆเหล่านั้นกลับกลายเป็นดีได้

รวมทั้งอานุภาพของกะลาตาเดียว ยังทำให้แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุต่างๆที่จะมาถึงตัวได้อีกด้วย…หากนำกะลาตาเดียวไปทำเป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือติดตัวไว้ จะทำให้สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และทำให้สุขภาพดีขึ้น

บุคคลใดที่รู้จักบูชากะลาตาเดียวอยู่เป็นประจำ จะทำให้เกิดโชคลาภ ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมา

อีกทั้งคนไทยในสมัยปู่ ย่า ตา ยายของเราก็ใช้กะลาตาเดียวมาทำเป็นเครื่องมือแพทย์แผนโบราณ ใช้ในการตัดต้อที่ดวงตาให้หายได้ อีกทั้งยังใช้เป็นยารักษาโรคอัมพาต โดยนำกะลาทั้งลูกมาผ่าแบ่งเป็นสี่ส่วน ให้นำชิ้นหนึ่งอธิษฐานจิต และขว้างไปทางทิศตะวันตก อีกสามชิ้นที่เหลือ มาต้มน้ำดื่มทุกวัน วันละ 3 มื้อ เชื่อกันว่า อาการของผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตจะทุเลาเบาบางลง

ทั้งหมดนี้ คือเรื่องราวตำนานแห่งความเชื่อและความเป็นมาของ “กะลาตาเดียว” ที่มีมาแต่ครั้งบรรพบุรุษของเราเป็นเวลาหลายร้อยปี และความเชื่อนี้ จะยังคงอยู่ตราบต่อไปอีกเนิ่นนาน

ที่มา กลุ่มลึกลับขยับต่อม
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : todaynewsth
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : พลังจิต
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: