2064. เรื่องเล่าไม่ควรเล่าตอน อำลา โรงละคร

ก่อนอื่น ลูกเพจหลายๆคนในนี้ อาจเคยอ่านเจอเรื่องนี้มาแล้ว ซึ่งโรงละครแห่งนี้ เป็นโรงละครที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยของแอดมินเอง และแอดได้มีโอกาสคุยกับเจ้าของเรื่องนี้แล้วนะครับ เค้าอยากให้แอดได้นำมาบอกเล่าให้กับลูกเพจ เรื่องหลอนสยองขวัญ ได้ทราบกัน

เรื่องนี้เกิดขึ้นในวันที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา เมื่อคณะอักษรศาสตร์จัดพิธีอำลาโรงละครทรงพล และทุบอย่างเป็นทางการ สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่เติบโตมาพร้อมคณะอักษรฯ และ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์

….พิธีเริ่มขึ้น เวลา 8.30 น.หลังจากเหล่าครูบาอาจารย์และศิษย์คณะอักษรศาสตร์มากันอย่างพร้อมหน้า พร้อมด้วยคำเตือนว่า

“หากมีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างการดำเนินพิธีกรรม อย่าฝืน ให้ปล่อยไป ไม่อย่างนั้นจะปวดหัว และทรมานมาก”

เสียงครูหนู หนึ่งในผู้ร่วมพิธี กำลังกล่าวคาถาขึ้นราวกับมีมนต์ ทุกคนยืนสงบนิ่ง เสียงของครูนั้นกังวานก้อง ราวกับโอบล้อมโรงละครไว้ เสียงนั้นแม้จะเป็นเสียงของครูเองแต่ก็เหมือนไม่ใช่ มันเพราะและนุ่มนวลมากเหลือเกิน เพียงไม่นานฉันถูกกระชากความคิดกลับมา

“องค์ลง” ฉันไม่มีโอกาสโดนแน่นอน เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าจิตตัวเองแข็งพอ แล้วก็โดนกระชากจากความคิดกลับมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงหายใจแรงๆ อยู่ด้านหลัง ฉันหันกลับไปดู แล้วพบว่า น้องคนหนึ่ง มีอาการตาลอย น้ำตาจะไหล มือไม้สั่น ฉันรีบหันกลับมา ไม่ใช่เพราะกลัวแต่ทำตัวไม่ถูก จากนั้นน้องค่อยๆ หายใจแรง จนฉันรู้สึกถึงลมที่รดต้นคอเลยทีเดียว ทั้งๆที่เราห่างกันอยู่ประมาณเกือบหนึ่งช่วงแขน

เมื่อสิ้นเสียงพิธีสวดอัญเชิญเทพ อาจารย์ผู้ทำพิธีจึงทำการพรมน้ำมนต์และ โปรยดอกไม้ จากนั้นกลับมานั่ง ฉันหันมาดูน้องคนนั้นอีกที น้องยังคงแสดงอาการเดิม ตาลอย ยืนนิ่งเหมือนถูกโหนไว้กับอะไรสักอย่างไม่กระพริบตา

ฉันจึงตัดสินใจบอกให้เพื่อนน้องซึ่งอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลและตามอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำในพิธีในวันนี้คู่กับอาจารย์สกุลมาดู ท่านเดินมาลูบที่ขมับทั้งสอง แล้วตาน้องก็เหมือนโดนกดลงที่ละนิดจนหลับไป ทุกคนแยกย้ายกลับไปนั่ง

อำลา..โรงละคร/ลี้ลับต่าง ม.
พักเดียวเท่านั้น น้องคนนั้นก็ร้องไห้ออกมา ดังขึ้นเรื่อยๆ อาจารย์จึงถามว่า ชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร และให้คนคอยจด แต่เธอคนนั้นก็ไม่ยอมเอ่ยปาก ได้แต่ร้องไห้ จนฉันเกือบจะร้องตาม ฉันรู้ว่าเธอร้องเพราะไม่อยากให้โรงละครถูกทุบ เหมือนทุกคนที่ยังเป็นคนอยู่ที่นี่ ไม่มีใครอยากให้โรงละครถูกทุบเช่นกัน

ความคิดฉันโดนกระชากอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงน้องอีกคนด้านหลังร้องไห้ ที่แรกฉันคิดว่า เค้าคงสงสารน้องคนนั้น แต่พักเดียวก็ต้องเปลี่ยนความคิด ทันใดนั้นน้องอีกคนหนึ่ง ชื่อเอ (นามสมมติ) ตัวแข็งทื่อ ตาค้าง น้ำตาไหล

อาจารย์ท่านนั้นบอกให้พี่คนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นผู้ติดตามของท่าน มาร้องเพลง น้องคนแรกที่โดนเข้าก็ลุกขึ้นมาร้องเอื้อนเพลงทันที ถึงตอนนี้ฉันไม่สงสัยแล้ว แต่ยังไม่รู้อยู่ดีว่าจะทำอย่างไร ไม่เคยเจอพร้อมๆกันขนาดนี้มาก่อน ทั้งกลัว ทั้งสงสาร จึงตัดสินใจจะเข้าไปดูน้องเอ เพราะเป็นรุ่นน้องที่รู้จักพอสมควร ฉันกับเพื่อนพยายามคุย พยายามถาม แต่เหมือนเค้าพูดไม่ได้หรือไม่ได้พูดนานก็ไม่ทราบได้ เอาแต่ร้องไห้ เราจึงไม่รู้ว่าเค้าต้องการอะไร

จนในท้ายที่สุด เราก็จับคำได้ว่า “อยู่ด้วยนะ”

ฉันกับอาจารย์และคนอื่นๆที่อยู่ตรงนั้นจึงบอกเค้าว่า “อยู่ได้ อยู่ที่นี่แหละ ครูให้อยู่ ไม่ต้องไปไหนนะ” พวกเราช่วยกันปลอบกันอยู่นานกว่าเค้าจะออกไป แล้วน้องเอ ก็กลับมาเหมือนเดิม
น้องบอกฉันว่า เหนื่อยและดูอ่อนแรงมาก ส่วนน้องคนอื่นๆ ก็อาการคล้ายกัน บางคนก็โวยวาย เสียงดัง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ เสียใจ ร้องไห้ กลัวที่จะไม่มีที่ให้อยู่ คิดว่าถูกไล่

เวลาผ่านไปราว 1 ชั่วโมง ทุกอย่างกลับสู่ความสงบอีกครั้ง อาจารย์สั่งให้น้องๆ ที่จิตเปิด หรือมีอาการดังกล่าวมานั่งด้านหน้า เมื่อทุกอย่างลงตัว จึงเริ่มพิธีครั้งที่สอง คือ การเชิญเทพรับของเซ่น ไปจนถึงการทุบอย่างเป็นพิธี

ช่วงเวลาที่เสียงครูหนูเอ่ยขึ้น บางคนก็เริ่มมีอาการอีกครั้ง แต่ฉันอยู่ด้านหลังห่างออกมาจึงเห็นไม่ชัดแต่รับรู้ได้ แต่เมื่อ ณ เวลา ที่ค้อนถูกเงื้อขึ้น ฉันเชื่อว่าทุกคนรู้สึกใจหายวาบเหมือนกัน และเมื่อเสียงตกกระทบดังขึ้น เสียงกรีดร้องของผู้ถูกเชิญที่อยู่ในร่างของน้องๆก็ดังขึ้นทั่วโรงละคร

หัวใจฉันตกวูบ น้ำตาจะไหล แต่ก็ถูกเสียงเหล่านี้มากระชากให้กลับมา ฉันทนไม่ไหว ต้องเดินไปดู ไม่คิดว่าน้องเอจะโดนอีกครั้ง น้องอีกคนที่อยู่ด้านข้าง ลงไปนั่งบนพื้นและพูดจาด้วยคำหยาบคาย จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ไม่ว่าจะเป็นฉัน หรือ เพื่อนของน้องเค้า แต่ฉันเลือกที่จะอยู่กับน้องเอ อาจเป็นเพราะตัวเธอเล็กกว่าฉัน ฉันน่าจะเอาอยู่ แต่น้องอีกคนดูตัวใหญ่มาก (ทังๆที่เมื่อเธอเป็นปกติแล้ว ตัวเธอก็ดูเท่ากับน้องเอนั่นแหละ) ด้วยเหตุนี้ ฉันคิดว่าคนที่อยู่ในร่างของทุกๆคน คงมีความต้องการที่เหมือนๆกัน

ฉันจึงบอกพวกเค้าว่า “เค้าอยู่ที่นี่ได้ ไม่ต้องไปไหน มีที่ให้อยู่นะ ไม่มีใครไล่ อยู่ที่นี่ เด็กๆยังรัก และ เคารพนะ” แล้วน้องก็นิ่งไปอีกครั้ง ฉันไปดูน้องอีกคนที่อยู่ข้างๆ แล้วฉันก็พูดแบบเดียวกัน จนน้องๆ สงบลง ฉันบอกเพื่อนน้องว่า ไม่ต้องเรียก จนกว่าจะฟื้น ถ้าฟื้นแล้วให้ถามชื่อว่าเป็นใคร สรุปว่า น้องสามคนนั้นสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย

ฉันออกไปสูดอากาศข้างนอก โรงละคร แต่พอกลับมา พบว่า น้องเอ โดนอีกรอบ คราวนี้ ไม่ใช่คนที่เข้าครั้งแรกและครั้งที่สองแน่ ถามไปถามมาได้ความว่า คนนี่ชื่อกิมจู แกเป็นลูกคนจีนที่มาเป็นนางรำถวายงานรับใช้รัชกาลที่ 6 แกก็เหมือนคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ และกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่ พวกเราปลอบกันอยู่นานมาก

ฉันกับอาจารย์จึงต้องช่วยกันปลอบจนกิมจูเริ่มรับฟัง และบอกแกว่า “ระหว่างที่โรงละครทุบทิ้ง เราจะมีที่ให้อยู่ใหม่” แกก็บอกว่า “จะมาบอกกันว่ามีที่ให้อยู่ใหม่ไม่ได้หรอก มันไม่พอ มันต้องบอกด้วยว่า ไปอย่างไร ไปทางไหน อย่าคิดเอาว่า บอกแค่นั้นแล้วฉันจะไปถูก”

อาจารย์และฉันจึงพาคุณพี่กิมจูเดินไปดูห้องใหม่ พอไปถึง แกก็บอกว่า “ที่นี่เย็นดีนะ พื้นก็เป็นมันวาว บันไดก็สวยกว่าที่นู้นตั้งเยอะ” ดูๆ แล้วเหมือนคุณพี่กิมจูพอใจ ฉันกับอาจารย์จึงขอร้องและพยายามให้แกออกจากน้องไป แกก็บอกว่า

“ไม่เอา ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียวหรอก เดียวก็ทิ้งฉันอีก พ่อแม่ก็ทิ้งฉัน พาฉันกลับไปที่เดิม แล้วฉันจะบอกให้พวกเพื่อนๆมาอยู่ที่นี่ ฉันรู้ทางแล้ว ฉันจะได้พาพวกเขามาได้” เป็นอันว่าพวกเราก็ต้องพาคุณพี่กิมจูกลับมาที่โรงละครอีกครั้ง

เมื่อกลับมาถึงที่โรงละคร คุณพี่กิมจูก็กล่าวกับเพื่อนๆว่า “ออกมากันเถอะ ฉันรู้แล้วว่า เขาให้ไปอยู่ที่ไหน ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจ ฉันก็โวยวาย แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ออกมากันเถอะ อย่าดื้อนักเลย สงสารเด็กๆมัน มันเหนื่อยนะ เดี๋ยวฉันพาไป ที่ห้องนั่นเย็นสบาย พื้นก็มันวาวเชียวนะ ไปเถอะ ”

แม้ว่าแกจะพูดอย่างนั้น แต่ยังมีหลายคนที่ยังไม่ยอมออก คุณพี่กิมจูจึงบอกพวกเราอีกครั้งว่า “เวลาทำอะไรต้องบอกต้องกล่าว เชิญแล้วก็ต้องบอกทาง ไม่ใช่บอกเฉยๆ” พวกเราจึงฉันกล่าวขอบคุณและกราบขอโทษที่ทำไม่ถูก ไม่ควร

น้องๆ หลายคนหมดสติลง ฉันค่อยๆประคองให้น้องนอนได้พักหนึ่งก็ฟื้น ฉันถามว่า ชื่ออะไร น้องก็เอ่ยชื่อตัวเอง แต่แทบจะในทันที ใบหน้าก็เปลี่ยนไป ฉันเลยทักว่า “คุณกิมจูใช่ไหม”

แกก็ว่าฉันว่าเจ้าเล่ห์นักนะ รู้ทันอีก แต่แกไม่ยอมบอกว่าทำไมยังไม่ยอมไป จนกระทั่งน้องอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็โดนหนัก ฉันถามคุณกิมจูว่า คนคนนั้นเป็นใคร ตอนแรกเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จัก แต่อีกคนเป็นนางรำที่อยู่ในช่วงเดียวกัน ชื่อคุณพี่รัญญา แต่กว่าแกจะนึกชื่อออกใช้เวลานานมาก แล้วแกก็บอกว่า ไม่ได้เรียกชื่อนี้นานแล้ว ปกติก็เรียกแต่เธอๆ แล้วคุณพี่กิมจูยังบอกว่า ฉันยังไปไม่ได้ต้องรอคุณพี่คนนี้ก่อน จากนั้นแกก็ช่วยทั้งพูด ทั้งอ้อน แต่ด้วยอ่อนอาวุโสกว่า แกจึงทำอะไรไม่ได้มาก

ฉันนึกสงสัยอยู่ตลอดว่า ทำไมบางครั้งคุณกิมจูเหมือนจะพูดไม่รู้เรื่องและทำหน้าทำตาแปลกๆ พิกลๆ จนได้มานั่งคุยกัน แกจึงบอกว่า เด็กคนนี้มีกุมารอยู่ด้วย ชอบพูดแทรก ชอบฟ้อง ฉันจึงได้รู้ว่า ตอนที่พูดฟังไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ใช่คุณกิมจู แต่เป็นกุมาร อายุเก้าขวบ พอคุณกิมจูออกจากร่างนอกไป เพื่อดูน้องคนหนึ่งที่โดนวิญญาณของคนที่พยายามจะฆ่าตัวตายเข้า กุมารก็บอกว่า “ยายไปแล้ว” พูดซ้ำเร็วๆ แล้วพอกุมารหันมาเจอน้องหมา ก็พูดอะไรสักอย่างสองคำซ้ำ จนได้ความว่า “หมามอง” แล้วกุมารก็หัวเราะ พวกเราก็หัวเราะกัน

……บรรยากาศเริ่มผ่อนคลาย จนกลายเป็นสนุก และในท้ายที่สุดวิญญาณทุกดวงก็รับทราบและยอมจากไปโดยดี

ขอบคุณเรื่องจากคุณผึ้ง
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : เรื่องหลอนสยองขวัญ
ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : bktube.net
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: