6131. ตำนานพระอาถรรพ์ แห่งเมืองนคร

เห็นข่าวฆ่าเณรฝังใต้พระพุทธรูป จึงนำเรื่องเล่านี้มาลงให้อ่านค่ะ เจ้าตัวเล่าไว้นานแล้วในกลุ่มเฟส

*หมายเหตุ เรื่องเล่านี้ “ไม่ใช่การเล่าของเรา” เราได้ขออนุญาตโดยตรงเพื่อนำมาลงในพันทิปให้คนนอกกลุ่มได้อ่านกัน เป็นเรื่องเล่าของเพื่อนคนหนึ่ง ที่เล่าลงในกลุ่มเฟสกลุ่ม เรื่องสยองของคนเห็นผี”ค่ะ” และเรื่องเล่านี้ เป็นตำนานที่ผู้หลักผู้ใหญ่เล่ามาสู่รุ่นลูกหลานค่ะ

……มีเรื่องอยากเล่าให้พี่ๆฟัง ไม่รู้มีใครเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างไหม เรื่องพระอาถรรพ์3องค์ที่เมืองนคร ที่ว่าถ้าใครเอาไปเป็นของตัวเอง ชีวิตจะพบแต่ความวิบัติ เพราะเป็นพระที่คนสร้าง สร้างขึ้นมาด้วยความแค้น…

………เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อนานมาแล้ว นานมากๆไม่มีใครรู้ต้นกำเนิดที่แน่นอน ว่ากันว่าเป็นยุคใกล้ๆกับช่วงที่ พระเจ้าจันทรภาณุ ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเลย ยุคนั้นเมืองนครศรีมีความมั่งคั่ง ไพร่ฟ้าหน้าใส คนหลากเชื้อชาติหลั่งไหลเข้ามา พืชพันธุ์บริบูรณ์ดี

……..ตอนนั้นศาสนาพุทธได้เข้ามาปักหลักจนกลายเป็นหัวใจของคนนครศรี คนคอนบ้านเล คนคอนบ้านควน และคนคอนบ้านเขา ไปมาหาสู่แลกเปลี่ยนสินค้าต่อกัน

….มีเศรษฐีคนนึง ร่ำรวยมาก ได้ไปติดพันผู้หญิงคนเดียวกับชายหนุ่มชาวบ้านธรรมดา แต่ว่ายังไงก็เอาชนะใจผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สักที เพราะผู้หญิงชอบพอกับไอ้หนุ่มชาวนามากกว่า เพราะรังเกียจว่า เศรษฐีนั้นมีเมียหลายคน

…….เศรษฐีก็วางแผนเข้าทางพ่อแม่ฝ่ายหญิง เอาเงินเอาทองให้ใช้ให้ยืมอยู่ตลอด กว่าจะรู้ตัว พ่อแม่ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นหนี้จนหมดปัญญาชดใช้ และในยุคนั้น คนที่เป็นหนี้จนไม่มีปัญญาชดใช้ ก็ต้องกลายไปเป็นทาสทั้งครอบครัว เศรษฐี ก็เสนอว่า ถ้ายอมยกลูกสาวให้ตนเอง ตนเองก็จะไม่ฟ้องเจ้าเมือง เพราะถ้าไปฟ้องเจ้าเมืองก็ต้องตัดสินให้พ่อแม่ผู้หญิงไปเป็นทาสรับใช้เศรษฐีแน่นอน

……พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็มาขอให้ลูกสาวยอมเป็นเมียเศรษฐีไม่งั้นตนก็ต้องไปเป็นทาสเศรษฐี ฝ่ายหญิงเสียใจไปบอกให้หนุ่มชาวนาพาหนี แต่หนุ่มชาวนาเป็นคนดี ไม่ยอมทำ เขากล้ำกลืนฝืนใจ บอกผู้หญิงไปว่า

“คนเราเกิดมาเป็นลูก พ่อแม่คือคนที่เราต้องทดแทนพระคุณ”

…….ผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้ ยอมกลับไปบ้าน และยอมไปเป็นเมียเศรษฐีตามว่า แต่ว่าแรกๆเศรษฐีก็รักและดูแลดีตามประสาเห่อเมียใหม่ แต่อย่างว่า เศรษฐีเป็นคนมีเงินและมักมาก ไม่นานก็เริ่มเบื่อผู้หญิงคนนั้น เลยทำให้ผู้หญิงคนนั้นแอบไปหาหนุ่มชาวนาบ่อยครั้ง จนวันหนึ่งเศรษฐีจับได้

…….ถึงจะไม่ค่อยได้รักแล้ว แต่เศรษฐีก็รู้สึกเสียหน้าด้วยความโกรธแค้น เศรษฐีสั่งให้พวกทาสผู้ชายรุมข่มขืนผู้หญิงคนนั้นทั้งวันทั้งคืน ทาสชายคนไหนไม่ทำก็จะโดนทำโทษ สุดท้ายผู้หญิงคนนั้นก็ขาดใจตายอย่างทรมาน ยังไม่สาสมใจเศรษฐีให้เอาศพผู้หญิงคนนั้นแก้เปลือย มามัดหลักประจานไว้กลางลานบ้าน ให้คนที่ผ่านไปผ่านมาได้ดู

……เรื่องรู้ไปถึงหูชายหนุ่มคนรัก เขาแค้นที่สุดจะพรรณา เมื่อได้แอบไปเห็นสภาพศพคนรัก และได้รู้เรื่องราวที่เศรษฐีกระทำ
เขารู้ว่าอีกไม่นานเศรษฐีก็คงหาเหตุมาทำร้ายตนแน่นอน
ดึกสงัด เขาจึงลอบเข้าไปขโมยศพของคนรักที่ลานบ้าน
เขาพาศพของเธอขึ้นม้า ควบหายไปในความมืด

……ชายคนนั้นพาศพของหญิงคนรักมุ่งเข้าไปทางเขตภูเขา จนไปถึงขอบชายแดนต่อเขตเมืองไชยา (สุราษฏ์) เขาไปเจอถ้ำๆหนึ่งอยู่ในป่า เขามั่นใจว่าคงจะพ้นภัยแล้ว จึงพาศพคนรักไปนั่งร้องไห้คร่ำครวญพรรณาถึงคนรัก อันเป็นที่มาของชื่อ
อ.ถ้ำพรรณรา ซึ่งเพี้ยนมาจาก การพรรณาถึงคนรักด้วยความโศกเศร้า

……….เขาฝังศพคนรักไว้ในถ้ำ ในใจของชายคนนั้นเต็มไปด้วยไฟแค้น เขาอยากจะแก้แค้นแต่ก็ไม่รู้จะทำด้วยวิธีใด ได้แต่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปวันๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีจอมขมังเวทย์คนหนึ่งผ่านมา แล้วเขาสัมผัสได้ถึงพลังความแค้นที่พุ่งออกมาจากในถ้ำเขาจึงแวะเข้าไป

…….ชายหนุ่มคิดว่าเป็นคนของเศรษฐีที่ตามมาฆ่าเขา เขาจึงชักพร้าลืมงอเข้าต่อสู้ ตั้งใจจะสู้ตาย แต่จอมขมังเวทย์คนนั้นก็ยืนให้ชายหนุ่มฟันใส่อย่างไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มตกใจ แต่ก็ฟันซ้ำไปอีกหลายครั้งไม่ยั้งมือ จนจอมขมังเวทย์ถามว่า

“เหนื่อยหรือยัง”

……ชายหนุ่มก็ท้อ นั่งคอตก รอความตาย เพราะตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นคนดีมีวิชาที่เศรษฐีส่งมาเก็บเขา เขาก็เลยบอกว่า

“จะฆ่าก็ฆ่าเถอะ กูหมดปัญญาจะสู้แล้ว”

ชายคนนั้นก็หัวเราะหึๆๆ พร้อมกับตอบกลับไปว่า

“กูไม่ได้จะมาฆ่ามืง กูแค่ผ่านมา กูเห็นมีความแค้นพวยพุ่งออกจากตรงนี้ กูเลยแวะมาดู ไหนมืงลองเล่ามาที มืงมีความแค้นอะไรถึงได้มีแรงมากขนาดนี้”

………..ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายจอมขมังเวทย์ฟัง
จอมขมังเวทย์ได้ฟังก็รู้สึกสงสาร แต่ตัวเองก็ไม่อยากไปช่วยแก้แค้นให้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตนเอง
ชายจอมขมังเวทย์ จึงแนะนำวิธีแก้แค้นให้ นั่นคือการทำโองการพยาบาทสาปแช่ง แต่ต้องแลกด้วยชีวิตของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจะเอาหรือไม่

……ด้วยความแค้นชิงชังที่มีมากมายมหาศาล มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ก็แสนทรมานเหมือนตายอยู่แล้ว เขาจึงยอมแลกการแก้แค้นด้วยชีวิตตัวเอง จอมขมังเวทย์จึงให้ชายหนุ่มขุดศพคนรักของเขาขึ้นมา แล้วก็ให้ชายหนุ่มออกไปดักปล้นกองเดินทางของชาวบ้านที่ผ่านมาแถวนั้น จอมขมังเวทย์กำชับว่า ตอนปล้น ต้องฆ่าทุกคนให้เรียบ แล้วเอาเลือดของคนที่เขาฆ่าทั้งหมดชะโลมกับโลหะ ทรัพย์สินของคนเหล่านั้นแล้วเอามาที่นี่

……..ชายหนุ่มก็ทำตาม เขาไปคนเดียวแล้วใช้วิธีวางกับดักให้กองเกวียนเดินทางตกลงไปในหลุม ทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา นอนร้องโอดโอยที่ก้นหลุม เพราะโดนไม้แหลมก้นหลุมแทง ชายคนนั้น ก็ตรงเข้าไปฆ่าทุกคนไม่เว้นแม้แต่เด็ก แล้วเอาเลือดมาชะโลมทรัพย์สินของคนตายก่อนจะนำกลับมาที่ถ้ำ

……….จอมขมังเวทย์ก็ทำพิธีหลอมโลหะที่ปล้นมาได้นั้น เข้ากับเศษซากศพของหญิงสาวคนรักชายหนุ่ม ความแค้นจากดวงวิญญาณถูกอาคมเวทย์อวิชชาดึงมาสุมกันไว้ที่โลหะนั้น
แล้วจอมขมังเวทย์ก็หลอมพระขึ้นมา3องค์
เป็นพระเหล็ก พระทอง พระสำริด ตามแต่ชนิดของทรัพย์สินที่ปล้นมาได้
พระเหล็ก จะองค์ใหญ่สุด เพราะได้เหล็กมามาก
พระสำริด เล็กรองลงไป
พระทองจะเล็กสุด เพราะทองเป็นของมีค่าที่มีน้อย

………แต่ทุกองค์พระ บรรจุไปด้วยสิ่งโสมม ทั้งเศษเนื้อจากศพหญิงสาว เส้นผม ฟัน รวมถึงดวงวิญญาณของเหยื่อผู้ถูกปล้นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมที่ถูกจอมขมังเวทย์เรียกมาขังไว้ในองค์พระ
เป็นพระที่ถูกสร้างขึ้นด้วยสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
องค์นอกเป็นพระ แต่ผีทั้งนั้นที่อยู่ ไม่ใช่พุทธคุณ

………เมื่อหลอมและทำพิธีกรรม กำกับเสร็จแล้ว จอมขมังเวทย์ ก็ให้ชายหนุ่มคนนั้น มานั่งกล่าวโองการสาปแช่งต่อหน้าพระพุทธรูปที่หล่อขึ้นมานั้น แต่ในการกล่าวโองการสาปแช่งนั้น ชายหนุ่มพูดสาปแช่งผิด จากที่ตั้งใจว่าจะพูดขอสาปแช่งให้เศรษฐีพบกับความวิบัติ ดันพูดว่า ขอสาปแช่งให้ใครที่ครอบครองพระพุทธรูปทั้ง3นี้ จงพบแต่ความวิบัติหายนะ

…….พอกล่าวเสร็จ ชายจอมขมังเวทย์ก็ใช้ดาบอาคม ตัดคอชายหนุ่ม เลือดพุ่ง เขาจับร่างของชายหนุ่มให้เลือดที่พุ่งนั้น พุ่งสู่องค์พระจนเลือดหยุดพุ่ง จอมขมังเวทย์ก็ร่ายมนตร์กำกับ   พร้อมกับฝังศพชายหนุ่มหัวขาดไว้เคียงคู่กับศพคนรักของเค้า

…..จอมขมังเวทย์คนนั้นได้ไปดักพบกองเกวียนของพ่อค้าชาวไชยาขบวนหนึ่ง ที่กำลังเดินทางไปค้าขายที่เมืองนครศรี พร้อมกับฝากพระอาถรรพ์ทั้ง3องค์ไปกับขบวนพ่อค้า โดยให้ค่าจ้างเป็นกำไลทองคำที่เหลือไว้จากการหลอม ให้เอาไปให้เศรษฐีผู้นั้น

…..จอมขมังเวทย์ห่อพระด้วยผ้าลงยันต์อาคมอย่างดี เพื่อไม่ให้คำสาปทำร้ายคนที่เขาฝากไป เขากำชับพ่อค้า ว่าห้ามแกะห่อสิ่งของนั้นออกเด็ดขาด เนื่องจากเป็นของสำคัญที่เศรษฐีต้องการ แต่ระหว่างทางนั้น พ่อค้าเกิดความอยากรู้อยากเห็น เขาได้แอบแกะห่อนั้นออกดู
ก็พบพระพุทธรูปที่มีลักษณะไม่ค่อยสวยงามนัก

……แต่พระองค์เล็กสุดนั้น ทำมาจากทองคำ พ่อค้าจึงเกิดความโลภ แอบฮุบเอาไว้เสียเอง ส่วนพระสำริด กับพระเหล็ก ก็ถูกนำไปส่งถึงบ้านเศรษฐี ทาสของเศรษฐีเป็นผู้รับไว้ เพราะเศรษฐีได้เดินทางไปซื้อสินค้าทางบ้านชายเล
พ่อค้าลิงโลดใจ ได้ทั้งกำไลทองคำ ได้ทั้งพระทองคำ
เขานำมันไปซุกไว้ที่หัวนอน

……แล้วความวิบัติ ก็มาเยือนพ่อค้าตามคำสาปแช่ง เมื่อขบวนเกวียนของเค้าถูกพวกโจรบุกปล้น ฆ่าคนของเขาไปมากมาย พ่อค้ารอดมาได้ แต่ก็หมดเนื้อหมดตัว
พระทองคำองค์นั้นจึงหายสาบสูญไปกับพวกโจรป่ากลุ่มนั้น

…..ฝั่งทางด้านเศรษฐี เดินทางไปหลายวัน ไม่ยอมกลับมาเสียที ทาสที่รับของไว้ ก็ให้สงสัยในสิ่งของ เพราะผ้าที่ห่อของนั้นลงยันต์ไว้ เขาจึงแอบเปิดดู พอเห็นว่า มันก็แค่พระพุทธรูปธรรมดานี่หว่า เลยยกเอาไปตั้งไว้ที่กลางบ้านของเศรษฐี ตกค่ำมา บรรดาข้าทาสบริวาร ลูกเมียของเศรษฐีที่อาศัยอยู่บนบ้าน ก็ต้องร้องผวาไปตามๆกัน

……..เมื่อพระพุทธรูปทั้ง2องค์ สำแดงเดช ตามวิสัยปีศาจที่มีความพยาบาทสูง ตกกลางคืนจากพระพุทธรูปกลายเป็นอสูรกายออกมาหลอกหลอนเหล่าข้าทาสแลลูกเมียเศรษฐี จนไม่สามารถนอนบนบ้านได้ ต้องพากันไปขออาศัยวัดเป็นที่หลับนอน พวกทาสบางส่วนก็หนีกระเจิงหายไป

…….ถึงเวลาเศรษฐีเดินทางกลับมา พร้อมกองเกวียน ก็พบว่าบนบ้านไม่มีใครเหลืออยู่สักคน ก็ให้ทาสพากันออกตามหา จนไปเจอพวกลูกเมียตัวเองและทาสบางส่วนอาศัยหลบนอนอยู่ที่วัด เศรษฐีก็ให้ทุกคนกลับมาบ้าน แต่ไม่มีใครยอมกลับ ล้วนแต่กลัวในอิทธิฤทธิ์ของปีศาจที่ไม่รู้ที่มาตนนั้น

……เศรษฐีจึงกลับไปที่บ้าน พร้อมพวกทาสที่เดินทางไปค้าขายด้วยกัน เศรษฐีสำรวจบ้านตัวเอง ก็พบว่ามีพระพุทธรูปเหล็ก กับสำริดอย่างละองค์มาตั้งอยู่ที่กลางบ้าน รูปร่างแลดูอัปลักษณ์ ไม่มีค่าราคาอะไร แถมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอามา ก็พาลให้โมโห ว่าใครเอาขยะมาตั้งกลางบ้าน
เศรษฐีใช้ให้ทาสเอาไปทิ้งวัด แต่พอทาสขึ้นไปจะเอาพระไปทิ้งตามว่า ก็ไม่พบพระ2องค์นั้นแล้ว

……….ทาสคนนั้นก็คิดว่า คงมีทาสคนอื่นมาเอาไปแล้วมั้ง เลยไม่สนใจต่อ แล้วไปทำสิ่งอื่น ตกกลางคืน เศรษฐีนอนหลับอยู่ในห้อง ก็ต้องตกใจตื่น เมื่อรู้สึกเหมือนมีใครมายืนใกล้ๆ
เขาลืมตามอง ก็ต้องตกใจร้อง “เห้ย”ลั่นบ้าน
เมื่อพบว่า พระพุทธรูป2องค์ที่เขาใช้ให้ทาสเอาไปทิ้งนั้น มาตั้งอยู่ใกล้ๆเตียงนอนตัวเอง

……เศรษฐีหงุดหงิด เปิดประตูออกไปเรียกหาทาสคนนั้น พร้อมกับด่าทอ ว่าทำไม กูใช้ให้เอาไปทิ้ง ทำไมพระยังอยู่อีก
ทาสคนนั้นก็งง แจ้งไปว่า ตนเองขึ้นมาหาพระตามสั่งแล้ว แต่ไม่พบพระที่ว่า เศรษฐีก็ชี้ให้ทาสอุ้มพระในห้องแล้วเดินทางเอาไปทิ้งที่วัด ณ เดี๋ยวนั้น

……แล้วทาสคนนั้นก็ไม่กลับมา รุ่งเช้ามีคนไปพบร่างของทาสคนนั้นนอนตายอยู่เกือบๆถึงวัด คอหัก แขนหลุด มีรอยกัดรอยเจาะตามตัวเลือดหายไปจนแทบหมดตัว พระพุทธรูป2องค์นั้นก็หายไปด้วย เศรษฐีก็ไม่ได้ไปตามสืบสาวหาความว่าใครทำ เพราะสำหรับเขาแล้ว ชีวิตทาส ไม่ต่างอะไรกับชีวิตหมาตัวนึง

……เศรษฐีก็กลับบ้านไปใช้ชีวิตตามปกติ พร้อมๆกับการไปบังคับให้ลูกเมียที่หนีไปอยู่วัด กลับมานอนบ้านตามเดิม ใครไม่มาเศรษฐีขู่จะปล่อยทิ้งไม่เลี้ยงดู พวกเค้าเลยต้องกลับมาอยู่ที่บ้านตามเดิม แล้วก็ใช้ชีวิตกันต่อไปอย่าปกติสุข

…..เศรษฐีวางใจว่า คงไม่มีอะไรแล้ว…แต่แล้ววันหนึ่ง พวกทาสลงไปเล่นน้ำในคลองใกล้บ้าน ก็พบว่า มีพระพุทธรูป2องค์ลอยน้ำมา เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ พวกเขาไปบอกเศรษฐี
เศรษฐีมาดูด้วยตาตัวเอง ก็ให้เกิดความยินดี
และจำได้ว่าพระ2องค์นี้ ตนเองเป็นคนให้ทาสที่ตายเอาไปทิ้ง
แต่วันนี้พระดันลอยน้ำมาตามคลอง ชะรอยว่าจะเป็นพระที่มีอิทธิบารมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงรูปลักษณ์จะดูแย่ก็ตามที

…..เศรษฐีก็ให้อัญเชิญพระพุทธรูปเหล็กกับสำริดนั้น ตั้งไว้ที่ลานบ้าน สร้างศาลาสวยงามให้ประดิษฐาน ด้วยหลงคิดว่าเป็นพระพุทธรูปอันมีบุญญา กราบเช้ากราบเย็นไม่เว้นวัน
แต่ยิ่งกราบก็เหมือนยิ่งมีแต่เรื่องซวยๆเข้าบ้าน
เพราะมันเป็นพระที่ไม่ได้มีพุทธคุณใดๆเลย รูปลักษณ์มันเป็นพระแต่ในกลางวัน ตกกลางคืนก็กลายเป็นอสูรกายเที่ยวไล่ออกหลอกหลอนคนที่เข้ามาใกล้เขตนั้น เฝ้ารอเวลาที่ดวงชะตาของเศรษฐีตก ก็จะได้ชำระแค้นดังว่า

 

…….อยู่ไปอยู่มา ก็เกิดพระเพลิงปริศนา ลุกไหม้บ้านเศรษฐีในยามดึกสงัดที่ทุกคนหลับใหล กว่าที่ใครจะได้รู้อะไรเป็นอะไร เพลิงก็คลอกเศรษฐีและลูกเมียพร้อมบริวารบางส่วนที่นอนอยู่บนบ้านตายหมดทั้งบ้าน บ้านกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกบริวารที่เหลือรอด เพราะนอนนอกเรือน ก็ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ เพราะไม่มีที่พึ่ง พวกเขาหาคุ้ยทรัพย์สมบัติที่พอจะเหลือเศษให้เก็บเอาไปขายประทังชีวิตก่อนจะแยกย้ายกันไป

……บริเวณบ้านของเศรษฐีหลังนั้นก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ เพราะมีการเลื่องลือกันไปปากต่อปากว่าแถวๆบ้านเศรษฐีมีปีศาจร้ายออกมาคอยดักหลอกหลอนผู้คน แถมครอบครัวเศรษฐีก็ถูกไฟคลอกตายกันยกครัว คนเลยพากันกลัวไม่กล้าเข้าใกล้อีก

……กาลเวลาผ่านไป100ปี บริเวณนั้นกลายเป็นป่าโดยสมบูรณ์
เนื่องจากมีการอพยพโยกย้ายเมืองไปตั้งในที่แห่งใหม่ อันเกิดจากการเปลี่ยนทิศทางการไหลของลำน้ำ เพราะชีวิตคนในยุคนั้นขึ้นอยู่กับลำน้ำเป็นสำคัญ ศาลาที่เคยเป้นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปอาถรรพ์ ก็ผุพังลง มีต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นแทรก เถาวัลย์ป่าพันกันรกเรื้อ ไม่เหลือเค้าอดีตอีก

…..แต่พระพุทธรูปทั้ง2 ก็ยังคงปักหลักไม่ล้มลง หันหน้าไปทางจุดที่อดีตเคยเป็นลานบ้านที่ใช้สังหารหญิงสาวผู้นั้นอย่างทารุณ แน่นอนว่าปีศาจร้ายที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาท ถูกอาคมเวทย์ขังไว้ไม่ให้ไปพ้นจากพระพุทธรูปนั้นได้ ก็ได้แต่ตั้งนิ่งๆจนมีต้นไม้และปลวก สร้างจอมหุ้มองค์พระไปจนถึงครึ่งองค์ วิญญาณผู้ต้องทนทุกข์ทรมานไปนับชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ ต้องทนอยู่ตรงนั้นด้วยความหิวโหย
เพราะไม่มีเหยื่อคนไหนเข้ามาใกล้ หนักๆเข้าก็กลายเป็นผีป่า ออกไล่ล่าหากินแม้แต่กระทั่งกินสัตว์ป่า

……เวลาผ่านไป จนเข้าสู่ยุคที่เมืองนครศรีธรรมราช มีอำนาจสูงสุด บนคาบสมุทรมลายู ภายใต้ การปกครองของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช และชื่อของเมืองนี้ก็มีที่มาจากชื่อกษัตริย์ราชวงศ์นี้เอง ยุคนี้เมืองนครศรี มีเมืองบริวารถึง12หัวเมือง
คือ
เมืองสายบุรี
เมืองปัตตานี
เมืองกลันตัน
เมืองปาหัง
เมืองไทรบุรี
เมืองพัทลุง
เมืองตรัง
เมืองชุมพร
เมืองปันทายสมอ(กระบี่)
เมืองสระอุเลา (สงขลา)
เมืองตะกั่วป่า ถลาง
เมืองกระบุรี (ระนอง)

……นอกจากนี้ยังเคยกรีฑาทัพไปตีเมืองลังกาถึง2ครั้ง ในสมัยพระเจ้าจันทรภาณุศรีธรรมาโศกราช ในการรบครั้งแรกนี้เอง นครศรีได้รับชัยชนะ จนได้พระพุทธสิหิงค์ ของลังกากลับมาประดิษฐานที่เมืองนคร เกิดการแลกเปลี่ยนในด้านศาสนา จนมีพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ แทนนิกายมหายานของศริวิชัยเดิม

…….ในการกรีฑาทัพไปรบกับเมืองลังกาในครั้งแรกนั้นเอง กองทหารกองหนึ่งได้เดินทางผ่านมาใกล้กับบริเวณที่เคยเป็นบ้านเศรษฐีในอดีต ซึ่งตอนนั้นมันได้กลายเป็นป่าไปหมดเสียแล้ว
แล้วก็ให้บังเอิญ มีทหารบางส่วน ไปเห็นว่ามีพระพุทธรูปเหล็กและสำริด2องค์ ถูกจอมปลวกขึ้นล้อมอยู่ในเครือไม้และป่าดง
จึงได้ช่วยกันขุด พร้อมกับอันเชิญไปสู่เมือง

…..พร้อมกับนำเรื่องพบพระเก่า2องค์อยู่ในป่านั้น ไปแจ้งแก่กรมการเมือง ชะรอยว่าจะเป็นพระคู่บารมีกษัตริย์เมืองนคร จึงตั้งใจจะนำขึ้นถวาย แต่ภายในราชสำนักเมืองนคร ก็มีคนมีวิชารับใช้กิจการงานอยู่ ได้เพ่งดูจึงรู้ว่าในพระทั้ง2องค์นั้น เต็มไปด้วยสิ่งโสมมและความชั่วร้าย จึงไม่ยอมให้นำพระนั้นขึ้นถวาย

…..แต่ได้ให้ทหารนำเอาไปทิ้งไว้นอกเมือง ทหารผู้นั้นก็ทำตาม ยกพระไปโยนทิ้งเอาไว้ จนมีพวกพ่อค้าชาวจีน เดินทางผ่านมาพบพระทั้ง2องค์ ถูกทิ้งไว้ ตามประสาคนจีน ที่มีความคิดในเรื่องกำไร-ขาดทุนเสมอ ตามวิสัยพ่อค้า พอพบพระสำริดกับเหล็กก็ดีใจ ให้ลูกน้องเก็บเอาเข้าเมืองไปอีก เพื่อเอาไปขาย

……..แต่ก็ไม่มีใครสนใจซื้อ เพราะเป็นพระที่ไม่มีความสวยงามใดๆ พ่อค้าชาวจีน จึงเอาพระเหล็ก ไปโยนทิ้งไว้ในวัดแห่งหนึ่ง แล้วนำเอาพระสำริดไปเนื่องจากดูจะมีราคาอยู่บ้างหากเดินทางไปถึงเมืองอื่น แต่ขบวนการค้าของพ่อค้าชาวจีนนั้น
ก็ไปได้ไม่ทันพ้นข้ามคืน ยามดึกดื่น ปีศาจผู้ถูกขังที่กำลังหิวกระหาย ก็แปลงกายออกจากพระสำริด ไล่กัดกินกลุ่มพ่อค้าชาวจีนนั้น บางส่วนหนีไปได้ และจำนวนมากตาย พอเช้าก็เข้าไปสิงอยู่ในองคืพระตามเดิม

…..ข่าวการตายหมู่ของพวกพ่อค้าคนจีน ที่มาค้าขายนอกเมือง รู้ไปถึงหูของกรมการเมือง จึงให้ขุนสินชล นำคนออกไปตรวจสอบเหตุการณ์ ณ ตำบลนั้น แต่ก็สืบหาความผิดจากใครไม่ได้ เพราะพวกที่ตายล้วนตายเหมือนถูกสัตว์ป่ากัดกินทั้งนั้น
จึงนำเรื่องกลับมาแจ้งกรมการเมืองในเรื่องนี้ พร้อมกับหิ้วพระสำริดองค์นั้นกลับมาด้วย

…..โหราจารย์ผู้มีวิชา ผ่านมาพบ ก็ให้ตกใจเพราะจำได้ว่าที่ขุนสินชลนำมานั้นเป็นพระพุทธรูปที่ตนเองเคยใช้ให้นำไปทิ้งนอกเมืองมาแล้ว จึงได้ให้แจ้งทุกคนให้รู้ว่า ในพระพุทธรูปนั้น มีสิ่งชั่วร้ายแฝงอยู่ ไม่ควรเอาไว้ในเมือง เมืองจะล่มเอาได้
เพราะรอบองค์พระนั้นมีแต่คำสาปแช่งและความอัปมงคล

…..โหราจารย์ ท่านได้ปลุกเสกผ้ายันต์ เอาห่มคลุมองค์พระสำริดไว้ แล้วบอกให้ขุนสินชล พาไพร่พล ไปหาตำบลที่เหมาะเจาะทางทิศเหนือของเมือง และให้ไกลจากเมืองไป
ให้ก่อเจดีย์ครอบองค์พระนี้เอาไว้ ห้ามใครแกะผ้ายันต์ออก มัดให้แน่น ขุนสินชลก็ทำตามที่โหราจารย์สั่ง

…..นำพาองค์พระสำริดห่อผ้ายันต์พร้อมไพร่พล ขี่ม้าไปทางเหนือจนไปพบภูเขาลูกหนึ่งเห็นว่าเหมาะสมด้วยความห่างไกล
จึงได้ให้ไพร่พลช่วยกันสร้างเจดีย์ขนาดพอเหมาะ ก่ออิฐถือปูนครอบมันเอาไว้ เชื่อกันว่า จุดที่ขุนสินชลนำองค์พระสำริดไปก่อเจดีย์ครอบไว้นั้น คือจุดที่เป็น แหล่งโบราณคดีเขาคา ของ อ.สิชล ในปัจจุบัน

……ฟากพระเหล็ก ที่ถูกพ่อค้าคนจีน นำไปทิ้งไว้ในวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นวัดไหน แต่น่าเชื่อได้ว่า จะยังอยู่ในเขตเมืองนคร อำนาจของพระพุทธคุณภายในวัด ก็คงจำกัดอิทธิฤทธิ์ของปีศาจร้ายเอาไว้ จึงไม่พบเหตุว่ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นซ้ำอีก เคยได้ยินแว่วๆมาเหมือนว่า จะมีวัดๆนึงในเมืองนครศรี มีพระเหล็กอัปลักษณ์องค์นี้ตั้งอยู่ภายในวัดด้วย

…..ส่วนพระทองคำนั้น ไม่มีใครค้นพบ หรือปรากฏอีก นับตั้งแต่คราวพ่อค้าที่รับฝากมาฮุบเอาไว้เอง จนถูกโจรปล้นแล้วพวกโจรก็นำพระไป พวกกลุ่มโจรที่เอาไป อาจจะโดนอาถรรพ์จากคำสาปแช่งเล่นงานจนตายเกลี้ยงแล้วก็เป็นได้ พระอาถรรพ์ทองคำองค์นั้น อาจจะตกหล่นอยู่ในป่าหรือภูเขาลูกใดลูกหนึ่งของเมืองนคร ก็เป็นได้

…..จึงได้นำตำนานนี้มาเล่าสู่กันฟังค่ะ สวัสดีจบแต่เพียงเท่านี้…

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : Pantip โดยสมาชิกหมายเลข 3341624
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : Pantip โดยสมาชิกหมายเลข 3341624
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: