6121. สตรีผู้ทำให้มารดาแท้ๆของปูยีฆ่าตัวตาย และ เป็นพี่สาวของสนมเจินผู้โดนจับโยนบ่อ

คนที่เป็นถึงสมเด็จพระมเหสี น่าจะมีอำนาจวาสนายิ่งใหญ่ จนสามารถแผ้วถางทางเดินชีวิตของตนเองให้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ แต่สำหรับสมเด็จพระมเหสีเจิน แห่งราชวงศ์แมนจู ตำแหน่งมเหสีกลับเป็นเพียงสายลมวูบเดียวที่ผ่ผิดสมัยานมาแล้วก็ผ่านไป ความผิดหนึ่งเดียวของพระนางอยู่ที่เลือกเกิดผิดยุคผิดสมัยไปเกิดในสมัยที่ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงชื่อ พระนางซูสีไทเฮา

พระสนมเจินเฟย ประสูติเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1876 ทรงเป็นพระสนมตั้งแต่มีชันษาได้เพียง 13 ปี พร้อมกับน้องสาวอีกคนหนึ่งชื่อว่าพระสนมจินเฟย สภาพการของราชวงศ์ชิงในเวลานั้น มีซูสีไทเฮาทรงกุมอำนาจการปกครองเอาไว้ทั้งหมด หลังจากที่จักรพรรดิถงจื้อ จักรพรรดิองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ลง พระนางซูสีก็ได้เลือกองค์ชายกวางซวี่ หลานชายแท้ ๆ ของตัวเองซึ่งอายุเพียง 3 ขวบ มาสถาปนาเป็นจักรพรรดิ โดยมีตัวพระนางเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

จนกระทั่งจักรพรรดิกวางซวี่มีพระชนมายุ 16 พรรษา ตามราชประเพณีถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้ว พระนางซูสีไม่มีทางเลือก จึงจำต้องยอมให้มีพิธีขึ้นครองราชย์สมบัติอย่างเป็นทางการ แต่ลับหลังก็ยังไม่วายกุมบังเหียนอำนาจไว้คนเดียวเหมือนเดิม อำนาจของพระนางซูสีที่มีเหนือองค์จักรพรรดิ กินความไปถึงทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือการมุ้ง อย่างเมื่อองค์จักรพรรดิจะถึงวัยที่จะมีฮองเฮา พระนางไทเฮาก็ทรงจัดแจงคัดเลือกกุลสตรีไฮโซจากตระกูลสูง 3 นางที่พระนางซูสีเลือกมา คนหนึ่งเป็นหลานสาวของพระนางเอง หรือก็คือลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิกวางสีนั่นล่ะ นามว่าคุณหนูหรงยู่ ส่วนอีกสองคนเป็นคุณหนูจากสกุลตาตาลา ได้แก่ พระสนมเจิน และพระสนมจิน สองศรีพี่น้อง

จักรพรรดิกวางซวี่ทรงพอพระทัยในความงามของสนมเจินมาก แต่ก็จำต้องเลือกหรงยู่เป็นฮองเฮาตามใบสั่งของพระนางซูสี แต่เมื่ออภิเษกเรียบร้อยแล้ว องค์จักรพรรรดิก็แทบไม่ได้เสด็จไปหาฮองเฮาเลย เพราะความรักทั้งหมดของพระองค์มีให้สนมจินเพียงคนเดียว พระสนมเจินนั้นทรงมีสิริโฉมงดงามมากถึงขนาดมีชื่อเรียกติดปากชาวบ้านว่า พระสนมไข่มุก แต่เสน่ห์ที่แท้จริงของนางอยู่ที่ความฉลาด มีหัวคิดก้าวหน้า สนใจการศึกษาแผนใหม่ของตะวันตก นางกลายเป็นแรงผลักดันให้จักรพรรดิกวางซวี่ ทรงหันมาเรียนรู้วิชาการปกครองของตะวันตกไปด้วย ในวังต้องห้ามที่ไม่เคยต้อนรับชาวต่างชาติ ก็เริ่มมีชาวตะวันตกเข้ามาสอนวิทยาการใหม่ ๆ ให้องค์จักรพรรดิ ผ่านการแนะนำของพระสนม

แต่เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ โดยเฉพาะเสือสาวที่ต้องใช้สามีร่วมกัน เมื่อฮ่องเต้ไปขลุกอยู่กับเมียอื่นทั้งวัน ไม่หันมาสนใจไยดีตัวเองเลย ฮองเฮาหรงยู่ก็ทนอกไหม้ไส้ขมอยู่ไม่ไหว จึงเสด็จไปฟ้องพระนางซูสีไทเฮา พร้อมกับไส่ไฟเมียน้อยไปชุดใหญ่ หารู้ไม่ว่าพระนางซูสีนั้นทรงรอเวลาจะยุยงให้ผัวเมียเขาแตกคอกันอยู่แล้ว เมื่อฮองเฮาเอาโอกาสใส่พานมาถวายถึงที่ พระนางไทเฮาก็รีบสานต่อ จัดการปั่นหัวจนฮองเฮาหรงยู่น้อยเนื้อต่ำใจ คิดชิงชังความลำเอียงของพระสวามี จนตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ภักดีกับผู้ชายใจดำคนนี้อีกต่อไป

ที่ซูสีไทเฮาทรงทำอย่างนี้เพราะรู้ดีว่าอำนาจอันหอมหวานที่เชยชมอยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้เป็นของพระนางอย่างแท้จริง วันไหนจักรพรรดิกวางสีปีกกล้าขาแข็ง ก็อาจจะร่วมแรงร่วมใจกับฮองเฮา ลุกขึ้นมาทวงบัลลังก์มังกรคืนไปก็ได้ พระนางจึงต้องหาทางริดรอนแขนขาขององค์จักรพรรดิเสียก่อน ด้วยการยุแยงตะแคงรั่วให้ผัวเมียเป็นศัตรูกัน หลังจากนั้น หรงยู่ฮองเฮาก็กลายเป็นหอกข้างแคร่ของพระสวามี คอยเอาความเคลื่อนไหวขององค์จักรพรรดิไปทูลพระนางซูสีไทเฮาอยู่ทุกฝีก้าว

แต่ด้วยความที่เป็นเมีย จะอย่างไรก็อดหึงผัวไม่ได้ เวลาจักรพรรดิกวางสีไม่อยู่ ฮองเฮาหรงยู่ก็มักจะเสด็จไปกระแนะกระแหนพระสนมเจิน เพื่อระบายไฟแค้นที่สุมอกอยู่เป็นประจำ แต่ปะเหมาะเคราะห์ร้าย วันหนึ่งทนงมัวแกล้งเพลินจนลืมเวลา บังเอิญจักพรรดิกวางสีเสด็จมาหาสนมสุดที่รักพอดี จึงได้เห็นเหตุการณ์เมียหลวงปะทะเมียน้อยเข้าเต็มสองตา ปกติจักรพรรดิกวางสีเกรงใจฮองเฮามาก ในฐานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันและเป็นคนโปรดของพระนางซูสีไทเฮาด้วย แต่คราวนี้ทรงกริ้วจัดที่คนรักถูกรังแก เลยลืมตัวตบฮองเฮาไปฉาดหนึ่ง เรื่องนี้ยิ่งทำให้ฮองเฮาทรงหมดเยื่อใยในพระสวามี และเข่นเขี้ยวว่าจะเป็นศัตรูกับองค์จักรพรรดิให้ถึงที่สุด

มาถึงปี 1894 จักรพรรดิกวางสีทรงมีพระชนมายุ 18 ชันษาแล้ว แต่ซูสีไทเฮาก็ยังกดพระองค์ไว้ใต้ฝ่าเท้าไม่เลิก องค์จักรพรรดิกับพระสนมเจินจึงแอบคิดกันว่าจะก่อรัฐประหารแย่งอำนาจการปกครองกลับมาเสียที แต่ความลับในวังมังกรไม่เคยเป็นความลับ แผนการดำเนินไปได้แค่ 100 วัน ก็ถูกหูตาสับปะรดของพระนางซูสีไทเฮาพบเข้าจนได้ ซูสีไทเฮารีบเสด็จมาตำหนักของพระสนมเจิน ด่าทอบริภาษต่างๆ นานา ในข้อหาที่บังอาจยุยงให้จักรพรรดิแข็งข้อกับพระาง จากนั้นก็รับสั่งให้ขันทีโบยสนมเจินจนแตกยับทั้งตัว แล้วจับไปขังไว้ในตำหนักเย็น ให้ประทับอยู่ในห้องเล็ก ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีช่องให้ส่งข้าวส่งน้ำพอไม่ให้อดตายช่องเดียวเท่านั้น นับตั้งแต่นั้น สนมเจินกับจักรพรรดิกวางซวี่ีก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลยตราบชั่วชีวิต

องค์จักรพรรดิทรงขมขื่นพระทัยมากที่ต้องพรากจากคนรัก ทรงโทษตัวเองที่เป็นถึงโอรสแห่งสวรรค์ แต่กลับเป็นได้แค่เสือกระดาษไม่มีอำนาจจะไปบังคับบัญชาใคร แม้แต่ผู้หญิงที่ทรงรักสุดหัวใจก็ยังปกป้องคุ้มครองไม่ได้ และตัวพระองค์เอง หลังจากแผนการล่มก็ถูกซูสีไทเฮากักให้อยู่แต่ในตำหนักมีสภาพไม่ต่างจากนักโทษชั้นดีคนหนึ่งเท่านั้น สองหนุ่มสาวถูกขังอยู่อย่างนั้นถึง 6 ปีเต็ม จนกระทั่งปี 1900 ราชวงศ์ชิงต้องเผชิญมรสุมทางการเมืองรอบด้าน ทั้งจากประชาชนที่ทนระบบการปกครองหัวโบราณไม่ไหว และจากรุกรานของชาติตะวันตก ในที่สุดพระนางซูสีก็จำต้องเสด็จหนีจากเมืองหลวงไปประทับที่เมืองซีอานชั่วคราว แต่ก่อนจะไปก็ทรงไม่วายคิดถึงอดีตเสี้ยนหนามที่ชื่อสนมเจินขึ้นมาได้ จึงรับสั่งให้เบิกตัวนางมา ตรัสว่า “เมื่อแรก เราตั้งใจจะนำเจ้าไปกับเราด้วย แต่เจ้านั้นยังอ่อนวัยและจิ้มลิ้มนัก เกรงว่าจะถูกพวกทหารต่างชาติกระทำทารุณข่มขืนเอาได้ ดังนั้น เราเชื่อว่าเจ้าคงเข้าใจว่า ควรทำเช่นไรต่อไป”

คำที่คนที่มีชีวิตอยู่ในวังต้องห้ามทุกคนกลัวที่สุด ก็คือคำว่า “เจ้าคงเข้าใจว่าควรทำเช่นไรต่อไป” นี่ล่ะ พอพระสนมเจินได้ยินรับสั่งก็เข้าใจได้ทันทีว่า พระนางซูสีต้องการให้นางฆ่าตัวตายเสียเอง ให้หมดเรื่องหมดราว เหตุการณ์ตอนนี้ในบันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเขียนไว้ไม่อยจะตรงกันนัก บ้างก็ว่าพระสนมเจินยอมรับชะตากรรมอย่างสงบ แต่ก่อนจะตายนางได้ขอร้องให้พระนางซูสีทรงปล่อยจักรพรรดิกวางซวี่เป็นอิสระ ทำให้พระนางกริ้วมาก มีรับสั่งให้ขันทีจับสนมเจินโยนลงไปในบ่อน้ำนอกตำหนักหนิงเซี่ย แต่บางบันทึกก็บอกว่า สนมเจินไม่ยอมตายง่าย ๆ ทรงลุกขึ้นมาด่าว่าพระนางซูสีเสียไม่มีดี และยังตะโกนร้องหาจะพบหน้าจักรพรรดิกวางซวี่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถูกขันทีรุมจับตัวโยนลงบ่อไป

ก่อนจะถูกทิ้งลงบ่อ สนมเจินได้ตรัสอาลัยถึงชายคนรักว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันในชาติหน้าขอมีวาสนาให้พบพระองค์อีก” ส่วนองค์จักรพรรดิก็เป็นนักโทษของพระนางซูสีไทเฮาอีกหลายปี และในที่สุดก็ถูกพระนางวางยาพิษสิ้นพระชนม์ในตำหนักความรักของสองหนุ่มสาวที่เกิดมาอย่างสูงส่ง แต่อาภัพวาสนาจึงต้องจบลงอย่างแสนเศร้า แต่ยืนยงในฐานะตำนานรักที่ลูกหลานจีนรุ่นหลังยังเล่าขานกันมาถึงทุกวันนี้

บ่อน้ำเจินเฟย
หากเพื่อน ๆได้ไปเที่ยวพระราชวังกู้กง หากมีเวลาแล้ว ลองแวะไปดูสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นมุมเล็ก ๆ ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง เป็นบ่อน้ำเก่าบ่อหนึ่ง ตั้งอยู่ในหมู่พระตำหนักเจียงจี้เจ๋อ ซึ่งดัดแปลงเป็นหมู่พระที่นั่งสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง เพื่อใช้เป็นที่ประทับเมื่อพระองค์ไม่บริหารงานแผ่นดินแล้ว

แถวนั้นจะมีห้องจัดแสดงรำรึกถึงพระนางในมุมเล็ก ๆ ถัดมาเป็นบ่อน้ำ พร้อมป้ายติดไว้ที่ผนังอธิบายไว้ว่า พระนางอันเป็นที่รักของจักรพรรดิกวางสู และสนับสนุนในการปฏิรูปการเมืองใหม่ ซึ่งไม่เป็นที่พอใจแก่พระนางซูสีไทเฮา และได้จับจักรพรรดิกักบริเวณไว้ พร้อมทั้งสนมเจิน ก็ถูกกักบริเวณไปด้วย และเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1900 กองกำลังทหารสัมพันธมิตรบุกยึดกรุงปักกิ่ง จนทำให้พระนางและจักรพรรดิหนีไปยังซีอานชั่วคราว ก่อนที่จะหนีออกจากพระราชวังหลวงในคืนวันที่ 15 สิงหาคมนั้น พระนางฯ สั่งให้เหล่านางกำนัลบางส่วน ไม่ให้ตามเสด็จไปด้วย ทั้งนี้พระนางฯ เห็นได้เวลาพอเหมาะ จึงได้ให้ขันทีมือซ้าย ขุ่ยหยู่กุ้ย จับนางโยนลงในบ่อน้ำเสียในคืนนั้นเอง

ที่มา : anyapedia.com

ขอบคุณท่านเจ้าของเรื่อง
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: