1102. “หลวงปู่เล็ก” เสกปลัดขิกวิ่งในน้ำ

หลวงพ่อ วัดบ้านหนองหรือหลวงปู่เล็ก วัดบ้านหนอง ชัยนาท

ท่านเกิดปี มะแม 25 พ.ค. 2437 ท่านบวชเมื่อปีมะโรงอายุ 22 ปี ณ วัดอินทาราม (ตลุก) อ.สรรพยา จ.ชัยนาท พระอุปัชฌาย์ของท่านคือ หลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ห้วยกรด พระคู่สวด คือท่านเจ้าคุณอุดร อยู่วัดโพธิ์ และพระสมุห์เชิด ท่านบวชตั้งแต่เป็นสามเณร และไม่เคยสึกออกจาก ร่มกาสาวพัสตร์

หลวงพ่อเล็ก หรือหลวงปู่เล็กท่านจำพรรษาอยู่ที่ วัดตลุก 4-5 ปีกับพระอาจารย์องค์สำคัญคือ หลวงพ่ออ่ำแห่งวัดตลุก ท่านศึกษาวิชาจากหลวงพ่ออ่ำ แห่งวัดตลุก พระอาจารย์ของท่าน เป็นพระผู้ทรงคุณวิเศษเรื่องเวทย์อภิญญา สำเร็จวิชาธาตุ ทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ สามารถเปลี่ยนธาตุต่างๆ ได้ จากดินเป็นน้ำเป็นลมหรือไฟก็ได้ หลวงพ่ออ่ำท่านเป็นพระสมัยเดียวกัน กับหลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ที่นับว่าเรืองวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง “ปากท่านศักดิ์สิทธิ์มาก” แม้แต่ “เรือกลไฟที่กำลังแล่นมาท่านบอกให้หยุดได้ทันที” ท่านยังเป็นพระที่ เก่งทางรักษาโรคด้วยสมุนไพร และถอนคุณไสยต่างๆ อภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่ออ่ำ ยังมีอีกมาก แต่ไม่อาจนำมาลงได้หมด ที่นี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น

หลวงพ่อเล็ก หรือ หลวงปู่เล็ก อินทสะระท่านเป็นพระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งแห่งวัดบ้านหนอง ที่ชาวบ้านหนองเลื่อมใส

เมื่อสมัยที่ท่านจาริกธุดงค์นั้น หลวงปู่เล็กได้ยึดหลักประการแรกคือ ทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วยศีลอย่างเคร่งครัด เพราะพระอาจารย์ของท่าน คือหลวงพ่ออ่ำ สอนย้ำแล้วย้ำอีกก่อนจะอนุญาตให้ท่านออกธุดงค์ว่า พระธุดงค์ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ เมื่อไรก็มักจะเกิดมีเหตุร้ายขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอเพราะผีสางเทวดาสิ่งลี้ลับอาถรรพณ์ ตลอดจนสัตว์ร้ายต่างๆ มีความเคารพนับถือผู้มีศีลสะอาด บริสุทธิ์ หากผู้ใดเป็นสมณะที่มีศีลด่างพร้อยย่อมจะถูกภัยอันตรายเล่นงานเอาได้ไม่รู้ตัว

หลวงปู่เล็กเดินธุดงควัตรบำเพ็ญทางจิตแล้ว ท่านยังได้พยายามเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ยอดยิ่ง ที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างสันโดษตามถ้ำ ตามป่าลึกเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์ ศึกษาเพิ่มเติม

หลังจากที่หลวงปู่เล็กได้ท่องเที่ยวธุดงค์ บำเพ็ญภาวนาทางจิตใจรับความสงบในพระสมาธิธรรม และเจริญญาณเมตตาตลอดจนศึกษาพุทธาคม จากครูบาอาจารย์หลายสำนักพอสมควรแล้ว ท่านก็มาจำพรรษาที่วัดบ้านหนอง ตำบลตลุก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ก่อนที่จะมาจำพรรษาอยู่วัดนี้ ท่านเคยจำพรรษาวัดอื่น มาแล้วในสมัยธุดงค์ เพราะการเที่ยวธุดงค์นั้นเมื่อใกล้พรรษาก็จะหาวัดใดวัดหนึ่งจำพรรษา ครั้งออกพรรษาแล้วจึงจะธุดงค์ต่อไปอีก ยกเว้นพระธุดงค์บางองค์หรือบางหมู่ที่จะอธิษฐานเข้าพรรษาตามถ้ำเขาลำเนาไพร ตามสภาวะความเหมาะสม หลวงปู่เล็กเลยจำพรรษาเท่าที่จำได้มี วัดดอนรังนก วัดโสภาราม เป็นต้น

ท่านได้เริ่มสร้าง “อิทธิวัตถุ” เป็นเหรียญรุ่นแรก ที่วัดบ้านหนอง เหรียญรุ่นนี้ท่านลงเหล็กจารกำกับทุกเหรียญ เวลานี้หายากแล้ว ใครมีไว้ก็หวงแหนเพราะมีประสบการณ์ในความศักดิ์สิทธิ์ มหัศจรรย์ยอดเยี่ยมในทุกด้านทั้งเมตตามหานิยมคงกระพันหนังเหนียวและมหาอุด รวมทั้งแคล้วคลาด สำหรับเหรียญรุ่นต่อมาคือเหรียญรุ่น ๒ รุ่น๓ พอจะหาได้ในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้าน แต่คงจะไม่ปล่อยให้ใครง่ายๆ เพราะหวงแหนเอาไว้ป้องกันตัวเอง

หลวงปู่เล็ก ก็มีบุคลิกและอัธยาศัยสมถะพูดน้อย ถ้าใครไม่ถามท่านจะไม่พูดอะไรเลยได้ แต่นั่งสงบเงียบอยู่ตลอดทั้งวัน ดังนั้นเรื่องพูดโอ้อวดคุณวิเศษของตน จึงเป็นสิ่งที่ท่านไม่ประพฤติเลย ท่านสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ความเป็นจริงแล้ว ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เปี่ยมล้น ไปด้วยจิตภูมิธรรมขั้นสูง ทรงคุณระดับขั้นอิทธิอภิญญาณ เป็นที่ประจักษ์รู้เห็น ในหมู่ศิษยานุศิษย์ และผู้มีวาสนาได้ใกล้ชิดกราบไหว้ท่านมาแล้ว เป็นต้นว่า

๑ มีวาจาสิทธิ์ พูดอะไรเป็นเช่นนั้น

๒ มีตาทิพย์

๓ หายตัวได้

๔ ถ่ายรูปไม่ติด

๕ อิทธิวิธี หรือ ทรงฤทธิ์

วิชา๕ ประการนี้ หลวงพ่ออ่ำ วัดตลุก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ประสิทธิ์ ประสาทให้แก่หลวงปู่เล็กอย่างเต็มภูมิ และท่านยังได้รับการเสริมวิชชามหัศจรรย์ดังกล่าวนี้ให้มีอานุภาพยิ่งขึ้น จากครูบาอาจารย์เถื่อนถ้ำและสำนักสำคัญๆ อีกหลายแห่งจนครบวงจรหรือสมบูรณ์แบบใน “วสีภาวะ” หรือความเชี่ยวชาญในการสำแดงให้สัมฤทธิ์ผลในชั่วพริบตานั่นแลฯ

จะได้สาธกยกตัวอย่างประกอบดังต่อไปนี้ ซึ่งสดับตรับฟังจากชาวบ้านที่มีประสบการณ์และเป็นผู้มีศีลธรรมไม่พูดเหลวไหลไร้สาระ ดังนั้นคำพูดของบุคคลดังกล่าวพึงเชื่อถือได้

รายแรก คือ “ครูสอน” อยู่บ้านหนอง ได้ถ่ายรูปหลวงปู่เล็กโดยพลการเมื่อเอาฟิล์มไปล้างปรากฏว่าถ่ายติดแต่ฉากหลัง หรือ แบ็คกราวน์ส่วนภาพหลวงปู่เล็กถ่ายไม่ติด

เรื่องถ่ายภาพไม่ติดนี้ มักปรากฏกับพระเกจิอาจารย์ดังๆอยู่เสมอเป็นเรื่องที่ช่างภาพกล่าวขวัญกันมาหลายสิบปีแล้ว พลังจิตมหัศจรรย์เป็นของมีจริง ครูบาอาจารย์หลวงปู่หลวงพ่อ ท่านไม่พอใจจะให้ถ่ายรูปของท่านเพียงแต่ท่านกำหนดจิตว่าไม่ให้ถ่ายติด อำนาจพลังจิตนั้นก็จะไปทำปฏิกิริยาทางฟิสิกส์เคมีหรือแปรธาตุ ให้เปลี่ยนแปลงหมดสิ้น

ทีนี้มาว่าถึงตาทิพย์ของหลวงปู่เล็ก

วันหนึ่งนายประชาอยู่บ้านหนองใกล้ๆวัดนั่นเอง ได้ซื้อแตงโมลูกใหญ่สีเขียวอมดำไป ถวายหลวงปู่เล็ก แตงโมพันธุ์นี้คนขายยืนยันว่ามีเนื้อสีแดงแจ๋หวานจ๋อย และได้ผ่าลูกอื่นๆให้คนซื้อกินเห็นชัดๆ ว่าทุกลูกเนื้อแดงหวานกรอบจริง

แต่หลวงปู่เล็กบอกนายประชาว่า แตงโมลูกนี้เนื้อขาวซีดไม่เข้าท่า ซื้อมาทำไม เนื้อขาวซีดไม่หวานกรอบ

นายประชาก็เถียงหลวงปู่เล็กว่า เนื้อแดงแน่เพราะซื้อจากเจ้าเดียวกันนี้คนอื่นที่ซื้อผ่าดูก็เห็นเนื้อแดงแจ๋ทุกราย ไป และแตงโมลูกนี้ที่เขาซื้อมาแม่ค้าก็ยืนยันว่าเนื้อแดงหวานกรอบแน่นอน ถ้าไม่จริงยินดีรับคืน ว่าแล้วนายประชาก็ผ่าแตงโมลูกนี้ถวายหลวงปู่เล็ก

เมื่อผ่าออกมาก็ต้องตะลึงตาค้าง เพราะเนื้อในแตงโมขาวซีดเหมือนสำลี เหมือนดังที่หลวงปู่เล็กมองเห็นด้วยตาใน หรือทิพย์จักษุญาณ ของท่าน

นี้แสดงว่าตาทิพย์ของหลวงปู่เล็กแหลมคมน่าอัศจรรย์จริงๆ

ในด้านวาจาสิทธิ์ ของหลวงปู่เล็ก ได้เกิดขึ้นกับกระทาชายคนหนึ่งชาวบ้านใกล้วัดของท่านนั่นเอง แต่ไม่เอ่ยชื่อให้เขาได้อาย จึงสมมุติชื่อว่า “ทิดมาก” คว้าแหเดินผ่านวัดจะไปทอดแหหาปลาในที่ของวัด บังเอิญหลวงปู่เล็กเห็นเข้าก็เตือนสติว่า

“ไอ้ทิด ปลาวัดมันร้อนเหมือนไฟ เอ็งจะจับเอาปลาวัดไปกินมันก็เป็นบาป ซ้ำแหของเอ็งจะวายวอดหมดจะบอกให้”

ทิดมากหัวเราะขบขัน เรื่องอะไร จะไปเชื่อหลวงตาวัยใกล้เข้าเมรุ อันว่าพระสงฆ์องค์เจ้าก็ดีแต่เขียนเสือให้วัวกลัว เทศน์ๆสอนๆ ให้แต่ชาวบ้านกลัวนรก และเอาสวรรค์เข้าล่อ ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงแต่ความตาย วันละร้อยหนพันหน ไม่ประมาทซึ่งตรงกันข้ามกับพวกพ่อค้าพูดคุยกันแต่เรื่องความร่ำรวย

วันนั้นทิดมากทอดแหจับเอาปลาในวัดตัวโตๆได้เกือบเต็มข้อง พอถึงบ้านก็ทั้งต้มทั้งแกงและย่างไฟจิ้มแจ่วล่อกันพุงกางทั้งครอบครัว อิ่มหมีพีมันจนต้องเรอออกมาดังๆแสนจะสุโขเสียนี่กระไร ปลาวัดมันช่างเนื้อนุ่มหวานมันอย่าบอกใคร วันรุ่งขึ้นทิดมากตื่นนอนขึ้นมาก็รู้สึกร้อนอกร้อนใจอย่างไรพิกล จะว่าท้องไส้วิปริตเพราะอาหารเป็นพิษก็ไม่ใช่ มันหงุดหงิดขุ่นมัววิตกกังวลอะไรก็ไม่รู้จึงเดินถอนหายใจเฮือกๆออกมาหยุดยืนที่นอกชานแหงนหน้าขึ้นฟ้าสูดเอาอากาศโล่งๆเข้าปอดเป็นการขับไล่อารมณ์เครียด

หลวงปู่เล็ก วัดบ้านหนองได้เคยเอ่ยกับลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งว่าปลัดขิก ถ้าเป็นของดีจริงต้องวิ่งได้ ว่ายน้ำได้ ถ้าจับปลัดขิกใส่บาตรมันจะวิ่งเลาะขอบบาตรดังแกรกๆจะออกไปเที่ยว ศิษย์คนนั้นไม่เชื่อจะเป็นไปได้ หลวงปู่เล็กมีเมตตาแสดงให้ดู โดยให้ศิษย์รายนี้เอาบาตรใส่น้ำจนเต็มหลังจากนั้นหลวงปู่เล็กท่านก็เอาปลัดขิกที่ท่านปลุกเสกแล้วใส่ลงไป ปรากฏมหัศจรรย์ ปลัดขิกตัวนั้นวิ่งแหวกน้ำในบาตรไปรอบๆ ราวกับมังกรตาเดียวที่มีชีวิตจิตใจ ทำเอาศิษย์ถึงกับผงะตาค้างด้วยความขนพองสยองเกล้า นับตั้งแต่นั้นมาศิษย์รายนี้ก็เชื่อมั่นว่าปลัดขิกที่หลวงปู่เล็กทำการปลุกเสกมาตลอดพรรษามีอภินิหารจริงๆปราศจากข้อสงสัย

ตอนที่หลวงปู่เล็กมาเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหนอง ใหม่ๆนั้น ท่านได้แจกปลัดขิกและตะกรุด ตลอดจนรูปถ่ายของท่านที่ปลุกเสกแล้วให้แก่ศรัทธาญาติโยมชาวบ้านในจำนวนไม่มากนักต่อจากนั้นมาหลายปีท่านก็ไม่ยอมทำอีกทั้งๆที่ลูกศิษย์ลูกหาได้อ้อนวอนรบเร้าให้ท่านทำแต่ท่านก็เฉยเสีย

หลวงปู่เล็ก นับว่าเป็นพระที่อาวุโสองค์หนึ่ง ของชาวจังหวัดชัยนาท ที่น่าเคารพนับถือ และกราบไหว้ ท่านไม่เคยคุยโม้โอ้อวด ไม่ถือชั้นวรรณะ ท่านมีเมตตา และสันโดษ ทุกวันนี้ มีคนเดินทางไปกราบสรีระท่านเสมอ ทั้งใกล้และไกล คนแถวบ้านหนองทราบกันดีว่า “ปากท่านศักดิ์สิทธิ์” แม้แต่ชานหมากของ ยังมีผู้นำไปบูชาติดตัว พุทธคุณในวัตถุมงคล ของท่านที่ปลุกเสก ลูกศิษย์ทั่วไปต่างกราบและ ประจักษ์กันดีว่า พุทธคุณดีเด่นครบทุกด้านเป็นอย่างไร

เวลาท่านปลุกเสกพระ บางคนจะเห็นลำแสงพวยพุงวิ่งไปตามสายสิญจน์เลยทีเดียว ชานหมากของท่านเรียกว่า ไม่มีได้เจอเพราะ ศิษย์ต่างเก็บกันหมด ไม่มีให้เห็นกันเลย ท่านเป็นพระที่ถือธุดงค์ เป็นอาจิณ แม้ตอนที่ท่านอาพาธอยู่ ท่านก็ไม่ละทิ้งธุดงค์ และท่านมีความเมตตาต่อลูกศิษย์ทุกคนที่ไปหา แม้ร่างกายจะไม่ไหวแล้ว แต่หากต้องการให้ท่านได้ช่วยเป่ากระหม่อมให้ ท่านก็ทำให้ ถึงแม้จะนอนอยู่ก็ตามที วัตถุมงคลของท่านปัจจุบันหาไม่ค่อยได้แล้วครับ เชื่อว่า คนมีก็หวงและเก็บหมด เพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณและความเข้มขังในองค์พระที่ท่านปลุกเสก หลายๆคนบอกว่ามีพระเครื่องของท่านแล้ว สบายใจ ทำการค้าขาย ก็เจริญรุ่งเรืองดี ไม่ติดขัด ยิ่งเก็บมาก ก็ยิ่งมีทรัพย์มาก ว่ากันอย่างนั้นครับ

หลวงปู่เล็กนั้นแม้ท่านจะชราภาพ อายุถึง 97ปีในปี พ.ศ.2534 แต่ท่านก็ยังมีความจำดี ไม่เสื่อมคลาย ท่านยังปลุกเสกวัตถุมงคลได้ จนกระทั่งปลายปี 2534 หลวงปู่เล็กได้อาพาธหนักได้เข้ารักษาตัวที่รพ.ชัยนาท (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นรพ.ชัยนาทนเรนทร)จนกระทั่งเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู จนถึงเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2535 หลวงปู่เล็กได้ละสังขาร มรณภาพจากไปอย่างสงบ ท่ามกลางความเสียใจของศิษย์และชาวบ้านหนอง ตลอดจนชาวชัยนาท ได้มาร่วมงานศพของหลวงปู่เล็กกันมากมาย

แรกเริ่มทีเดียวทางวัดได้ตั้งสวดพระอภิธรรม แต่เมื่อตั้งศพสวดพระอภิธรรมนานๆเข้าได้สังเกตเห็นร่างของหลวงปู่เล็ก ไม่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา ทางวัดจึงปรึกษาหารือกัน สรุปว่าเก็บร่างหลวงปู่เล็กไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ศิษย์และประชาชนทั่วไปมากราบไหว้ หลวงปู่เล็ก อินทะสะระ จนถึงปัจจุบัน

คาถาเสกข้าว หลวงปู่เล็ก วัดบ้านหนอง

นะปัญญา ปะที ปะชะ ลิโต

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : ศิษย์มีครู
ข้อขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : TNews
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: