เส้นทางมือปราบพระกาฬ ตอนที่ 44 เจิม ภู่สุดแสวง (ชลอ เกิดเทศ)

พันตำรวจตรีสำเริง มองตามรถเบนซ์หัวหน้าตำรวจเมืองละโว้ ที่วิ่งฝ่าความมืดในยามราตรีออกไปจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีอย่างรวดเร็ว

เขาไม่รู้ว่า ผู้บังคับบัญชารุ่นพี่จากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีจุดหมายปลายทางที่ไหน เขาเดาว่าอาจจะเป็นคุ้มพระลอ ที่ จ.ตาก ก็ได้

แต่สำหรับชะตาชีวิตมือปืนกระจอกที่ถูกมัดเป็นปลาช่อนอยู่ท้ายรถ นายตำรวจหนุ่มไม่ต้องเดา ก็รู้ว่าอนาคตมันจะจบลงอย่างไร

เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันจะไปจบลงตรงที่ไหน….

ระหว่างทาง ชลอ เปลี่ยนใจ มาส่งพันตำรวจตรีสำเริง ที่กองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีก่อน เพราะรู้ว่านายตำรวจรุ่นน้อง มีภารกิจในการตรวจสำนวนการสอบสวนในคดีต่างๆที่ลูกชายไบคานมันก่อไว้ และต้องทำอะไรอีกหลายอย่าง เนื่องจากเป็นเจ้าของพื้นที่ เจ้าของสำนวนการสอบสวนคดีไอ้หยองอยู่หลายสำนวน

ชลอเลยแวะโทรศัพท์เข้ากองกำกับ สั่งให้ศูนย์วิทยุตามตัวลูกน้องใกล้ชิด 2-3 คน ที่สำเริงรู้ว่าเป็นมือทำงานประเภทงานลับ หรืองานใต้ดิน ให้กับพันตำรวจเอกชลอ ให้มารอที่หน้ากองกำกับ

หนึ่งในนั้นมีร้อยตำรวจตรีเจิม ภู่สุดแสวง อดีตลูกน้องเก่าชลอ สมัยชลอเป็นหัวหน้ากองเมืองพระนครศรีอยุธยา รวมอยู่ด้วย

สำหรับ ดาบตำรวจเจิม หลังจากชลอเติบโตไปตามหน้าที่ย้ายออกจากกองเมืองพระนครศรีอยุธยา ไปรับราชการตามที่ต่างๆ แต่ความสัมพันธ์และการติดต่อของคนทั้งคู่ ยังมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ

ต่อมา ดาบตำรวจเจิม ได้เลื่อนยศเป็นนายตำรวจ ตำแหน่งรองสารวัตรป้องกันปราบปราม ประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธา เป็นจังหวะเดียวกับที่มีคดีอิทธิพลไบคานเกิดขึ้นที่จังหวัดลพบุรี ชลอเลยทำเรื่องขอตัวไปยังกรมตำรวจ ให้หมวดเจิม มาช่วยราชการที่กองกำกับการตำรวจภูธรลพบุรี เพื่อเป็นมือเป็นไม้ในการสืบสวนสอบสวนคดีเกี่ยวกับเรื่องไบคานให้กับชลอ

พันตำรวจตรีสำเริง เลิกคิด เมื่อเห็นลูกน้องพลขับสถานีตำรวจอำเภอชัยบาดาล 2 คน เดินตรงมาทำความเคารพ และบอกว่ารถพร้อมที่จะกลับไปชัยบาดาลแล้ว

นายตำรวจหนุ่มเลือดเพชรบูรณ์ ยกมือรับการทำความเคารพ ก่อนพาร่างสูงโปร่งเดินไปขึ้นรถจี๊ปสีเลือดหมู ตราโล่ ออกจากกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี มุ่งหน้าอำเภอชัยบาดาล แผ่นดินคาวบอยเมืองไทยทันที

อีก 2-3 ชั่วโมงถัดจากนั้น

รถเก๋งเมดอินแจแปน แต่ความใหญ่เหมือนรถยุโรปคันหนึ่งเลี้ยวซ้ายออกจากถนนซูเปอร์ไฮเวย์ สาดไฟหน้าวิ่งไปตามถนนดำระหว่างอำเภอ จนเวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง สภาพถนนค่อยๆเปลี่ยนไปเป็นลูกรังตามระยะทางที่เพิ่มขึ้น และไร้บ้านเรือนผู้คนโดยสิ้นเชิง

จนในที่สุด รถคันนั้นก็หยุดลงตรงลานโล่งริมชายป่าที่ดูไม่ออกว่าอยู่ตรงส่วนไหนของประเทศ จากแสงจันทร์กลางฟากฟ้า ทำให้เห็นฉากหลังโดยรอบเป็นเหมือนหุบเขาดำทะมึน แต่ยังพอเห็นเงาตะคุ่มๆของคน 4 คน ลงมาจากรถ

2 คนจากในนั้น เดินไปเปิดกระโปรงหลังรถ และช่วยกันยกร่างคนทีถูกมัดมือมัดเท้าไพล่หลัง มีผ้าปิดตา ปิดปากแน่น ออกมาจากกระโปรงรถ โยนลงพื้นเสียงดังพลั่ก แต่ร่างของชายที่ถูกมัด พยายามดิ้นรนหวังจะได้รับอิสรภาพที่มีอยู่น้อยนิด

เมื่อเห็นยังไม่หยุดดิ้น 1 ใน 2 คนนั้นเลยเตะขวาช้อนเข้าไปกลางลำตัวเสียงดังตุบ ก่อนคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆจะเสยร่างนั้นด้วยเท้าขวาเต็มแรงไปที่ใบหน้าผู้เคราะห์ร้ายที่หมดหนทางสู้อีกครั้ง คราวนี้ร่างนั้นแน่นิ่ง ได้ยินแต่เสียงหอบหายใจที่ดูหมือนกับคนหอบแดด และวิ่งมาเป็นสิบๆกิโล โดยไม่ได้หยุดพักดื่มน้ำ

นับต่อวินาทีนั้น หากผีสางนางไม้แถวนั้นมีจริง คงจะเห็นภาพที่สยดสยองที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของคนด้วยกัน

จากความมืด ที่เห็นอะไรได้เพียงรางๆ 1 ใน 4 คนที่ลงมาจากรถ ก้มลงดึงผ้าทีอุดปากเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย และเอ่ยปากซักไซ้ไล่เรียงอะไรบางอย่าง

ทันทีทีผ้าออกจากปาก มันพยายามแหกปากให้คนช่วยเสียงหลง แต่ก็ถูกชายคนนั้นใช้วัตถุบางอยางที่อยู่ในมือตบเข้าไปที่กึ่งปากกึ่งจมูก พร้อมสั่งให้เงียบ และให้ตอบคำถาม

เมื่อใดที่ไม่พอใจในคำตอบ เขาจะใช้มีดเดินป่าปลายแหลม ที่เห็นใบขาววาววับยามที่กระทบกับแสงจันทร์ ทิ่มแทงเข้าไปที่ร่างคนถูกมัด แต่ยังไม่ใช่จุดสำคัญถึงกับชีวิต เป็นลักษณะการทรมานเอาความจริงอะไรบางอย่าง บางครั้งก็เหมือนกับเฉือนเอาอะไรออกมาจากเนื้อตัวของชายคนที่ถูกพันธนาการ

แต่ละครั้ง ที่มีดลงสัมผัสร่าง  มันถึงกับร้องลั่นดิ้นพราด กระเสือกกระสนหาทางรอดทั้งๆที่มองไม่เห็น

มัน พยายามกระเสือกกระสนหาทางหลบหนีด้วยความเจ็บปวดอย่างไร้ทิศทาง แต่ไปไหนได้ไม่ไกล เพราะอีก 3 คนที่ยืนอยู่ช่วยกันลากมาไว้อยู่ที่เดิม

นานเกือบชั่วโมง คนที่มีบุคลิกท่าทางเหมือนผู้นำของคนในกลุ่ม เดินเข้าไปหาร่างที่ถูกมัดที่ชุ่มไปโชกไปด้วยเลือด พูดจาพึมพำได้ยินกันแต่คนในกลุ่มนั้น

“มึงไม่น่าคิดฆ่ากูเลย…”

พูดจบ เขาสไลค์ลูกเลื่อนปืนออโตเมติกให้ขึ้นลำ  ตวัดปืนจ่อไปที่หัวของคนโชคร้าย ที่หายใจแรงขึ้น เพราะเห็นแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป มันพยายามทุกอย่างที่จะทำให้พ้นจากนรกตรงนั้น ด้วยการแหกปากร้องขอชีวิต เสียงดังลั่นป่า

ชายหนุ่มเหนี่ยวไก นกปืนที่ขึ้นไว้สับลงไปตีเข็มชนวนส่งลูกกระสุน วิ่งผ่านเกลี่ยวลำกล้องออกจากปลายกระบอกปืน เห็นเป็นแสงไฟสว่างวาบ พร้อมเสียงดังกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั้งหุบเขา

“ปังงงง………”

ศีรษะชายโชคร้าย สะบัดไปข้างหลังด้วยความแรงของกระสุนขนาด 11 มิลลิเมตร ร่างที่ถูกพันธนาการไว้ กระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะนิ่งเงียบไปในที่สุด

ฟ้าเกือบสว่าง รถเบนซ์ของชลอ วิ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านพักในกองกำกับการจังหวัดตำรวจภูธรลพบุรี

“พี่เจิม เดี๋ยวพี่ไปกับไอ้แป๊ะ เอารถผมไป ตื่นแล้วค่อยมาหาผมที่กองกำกับ เรามีงานต้องคุยกันอีกเยอะ…….”

ชลอสั่งลูกน้องเก่าสมัยเป็นหัวหน้ากองเมืองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา ที่ชลอถือเป็นครูคนหนึ่งที่สอนวิชาสืบสวนให้กับเขา ก่อนเดินลงจากรถไปพร้อมกับ “แจ้ง”ตำรวจหนู่ม นปพ.ลพบุรี ที่ชลอเรียกมาอยู่ใกล้ตัวเขา หลังเห็นฝีไม้ลายมือในการล้อมจับเสือเม่น เมื่อสมัยเขาเป็นรองผู้กำกับการอยู่ที่ลพบุรี

ถึงแม้คนทั้งคู่จะดูอ่อนระโหยโรยแรง แต่สายตายังระแวดระวังภัยเต็มที่ โดยปืนที่อยู่ในเอวของทั้ง2 คน รวมทั้งปืนเอ็ม 16 ในมือของ “แจ้ง”พร้อมที่จะใช้ได้ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างที่ชลอประสบมาแล้วที่บ้านในกรุงเทพฯ

“นาย.. พวกเราหายไปหลายคนแล้ว ติดต่อไปที่ครอบครัว ก็ไม่พบ คนที่บ้านก็นึกว่ามาดูแลนาย มาอยู่กับนาย ส่วนไอ้คนที่นายเคยช่วยมันไว้ และให้ผมสั่งให้ไปดักยิงไอ้ลอที่บ้านที่กรุงเทพฯก็หายไปด้วย…….”

“หรือว่ามันรู้ตัวว่าเราตามล่าเอาชีวิตมัน มันเลยชิงลงมือเสียก่อน”

ชายหนุ่มหน้าตาเหมือนแขกขาว รูปร่างสมส่วนตอบโดยที่ไม่ได้หันมา

“เป็นไปได้ครับนาย เพราะพวกเราที่ติดต่อไม่ได้ก็ล้วนแต่ใกล้ชิดนายมาก และก็ทำงานให้นายหลายครั้ง เป็นไปได้ว่า พวกไอ้หล่ำ ไอ้เทียม มันจะให้ข้อมูลพวกเรากับไอ้ตำรวจชลอนั่น”

ลูกน้องที่มีอายุมากกว่าให้ความเห็น

“กระจายข่าวออกไป ให้พวกเราระวังตัวเพิ่มมากขึ้น และมึงลองหามือดีใจกล้าบ้าบิ่นที่จะรบกับตำรวจไทยอย่างไอ้ลอมาให้กูหน่อย….”

ทายาทไบคานพูดต่อด้วยความแค้นที่ชีวิตต้องถูกไล่บี้จากตำรวจไทยที่ชื่อชลอ จนต้องมาหลบๆซ่อนๆอย่างทุกวันนี้

“ไปช่วยกันปล่อยข่าว กูจะเข้ามอบตัว ปล่อยไปหลายๆทาง โดยเฉพาะกองปราบ จะได้เป็นการซื้อเวลา อย่าไปทางไอ้ลอ เพราะมันไม่เชื่อว่ากูจะมอบตัวแน่”

“อีกเรื่องหนึ่ง ให้คนของเราพยายามพูดคุยกับชาวบ้านในชัยบาดาล ทำยังไงก็ได้ อย่ามาเป็นพยานในคดีนี้ หรือมาซัดทอดกู ส่วนพวกไอ้หล่ำ ไอ้เทียม หรือพวกแกนนำชาวบ้าน ใครยิงมันได้ กูให้คนละ 2 แสน….”

เสี่ยหยอง เพลย์บอยหนุ่มสั่งการด้วยความอาฆาตแค้น

“อ้อ..อาทิตย์หน้ากูจะกลับสระบุรี กูจะไปงานวันเกิดแม่กู บอกพวกเราเตรียมกำลังไว้ กูแค่ไปหาแม่แล้วจะกลับมาหลบอยู่ที่เดิม….”

“ครับนาย….”

มะกูเด อดีตผู้จัดการฟาร์มไบคาน รับคำสั่งเสี่ยหยอง ทายาทไบคาน ก่อนที่จะเดินทางออกจากบ้านหลังหนึ่งใกล้มัสยิดในอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ที่เสี่ยหยองผู้เป็นนาย หลบมาอยู่ได้เกือบ 2 เดือนเต็มแล้ว

“พี่เจิม ..เดี๋ยววันนี้พี่ไปสระบุรีกับผม พวกปาทานอยุธยา โจกท์เก่าไอ้หยองมันส่งข่าวมา วันนี้วันเกิดเมียไบคาน แม่ไอ้หยอง มีจัดงานเล็กๆกันในหมู่ญาติพวกมัน ผมว่าจะแวะไปดูซะหน่อย เผื่อจะได้ข่าวมันบ้าง …..”

ชลอเอ่ยปากบอกกับหมวดเจิม ระหว่างนั่งกินกาแฟและอาหารเช้าที่บ้านพักในกองกำกับ

“เดี๋ยวกินข้าวกินปลาเสร็จ เตรียมปืนเตรียมของให้พร้อม 10 โมงครึ่งกลับมาเจอผมที่บ้าน…”

“ครับนาย”

เจิม ภู่สุดแสวง อดีตฝ่ายสืบสวนกองเมืองพระนครศรีอยุธยา ที่ ชลอทำเรื่องขอตัวมาช่วยราชการที่ลพบุรี เพื่อช่วยสืบสวนติดตามหาตัวไอ้หยอง และไอ้ขาว ลูกชายไบคานแต่ต่างแม่ ที่ตอนนี้ ทั้งคู่กลายเป็นผู้ต้องหาที่ทางการต้องการตัวมาดำเนินคดีในข้อหาอุกฉกรรจ์หลายข้อหา รับคำสั่งจากนายตำรวจหนุ่ม ที่เขานับถือน้ำใจในความไม่ถือเนื้อถือตัว หรือมีพิธีรีตองอะไรมาก

สมัยยังเป็นดาบตำรวจอยู่กองเมืองพระนครศรีอยุธยา ช่วงที่ชลอ เป็นผู้บังคับกอง หมวดเจิมทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาหนุ่ม ออกปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพในพื้นที่ โดยเฉพาะแก๊งโจรกรรมพระพุทธรูป และลักลอบขุดกรุโบราณตามวัดต่างๆในอยุธยาจนราบคาบ

ที่เป็นข่าวฮือฮา  นั่นคือข่าวพบ 1 ในแก๊งโจรลักตัดเศียรพระ เป็นศพคอขาดอยู่ใกล้ๆกับองค์พระที่ถูกแก๊งโจรใจชั่วบันเศียรพระเอาส่งขายต่างประเทศ

หลังเหตุนี้เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ แก๊งลักพระ ขุดกรุ ก็เงียบหายไปจากพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาทันที

และเมื่อนายเก่าชักชวนให้มาช่วยงานที่ลพบุรี เรื่องไบคาน ชายฉกรรจ์ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาครึ่งศตวรรษรู้ทันทีว่า ชลอต้องการอะไร และเขาไม่ปฏิเสธ รับคำเจ้านายเก่าทันที

อีกไม่กี่วัน คำสั่งกรมตำรวจที่ลงนามโดยพลตำรวจโทณรงค์ มหานนท์ รองอธิบดีกรมตำรวจ ก็มาถึงสถานีตำรวจภูธรอำเภอบางปะหัน และให้เขาเดินทางไปช่วยราชการที่จังหวัดลพบุรี ขึ้นตรงกับพันตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ ตั้งแต่วันที่ได้รับคำสั่ง

กราบขออนุญาต : ชลอ เกิดเทศ
ที่มา : Cops-magazine
โดย : กิตติพงศ์ นโรปการณ์

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: