2580.ในคืนที่หลวงพ่อชาบรรลุอรหันต์

เรื่อง “ในคืนที่หลวงพ่อชาบรรลุอรหันต์”(คติธรรม หลวงพ่อชา สุภัทโท)

คืนนั้นประมาณห้าทุ่มกว่าๆ ขณะเดินจงกรมอยู่ รู้สึกแปลกๆ มันแปลกมาตั้งแต่กลางวันแล้ว รู้สึกว่าไม่คิดอะไรมาก มีอาการสบายๆ เมื่อเดินจงกรมเมื่อยแล้ว จึงขึ้นไปนั่งกระท่อมเล็กๆ

ขณะจะนั่งคู้ขาเข้าแทบไม่ทัน จิตมันอยากสงบ มันเป็นของมันเอง พอนั่งลงแล้วจิตมันก็สงบจริงๆ รู้สึกตัวหนักแน่น คืนนั้นในหมู่บ้านมีงาน เขาร้องรำทำเพลงกัน ได้ยินอยู่ แต่จะทำให้ไม่ได้ยินก็ได้ เมื่อไม่เอาใจใส่ ก็เงียบ ไม่ได้ยิน

จะให้ได้ยินก็ได้ยิน ไม่รู้สึกรำคาญดูจิตกับอารมณ์ก็เห็นตั้งอยู่คนละส่วน เหมือนวัตถุสองอย่างตั้งอยู่โดยไม่ติดกัน ก็เลยเข้าใจว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ถ้าน้อมไปก็ได้ยินเสียง ถ้าว่างก็เงียบ ถ้ามีเสียงขึ้น ก็เห็นจิตกับเสียงเป็นคนละส่วน จิตใจขณะนั้นไม่เอาใจใส่ในสิ่งอื่นเลย ไม่มีความเกียจคร้าน ไม่มีความเหนื่อย ไม่มีความรำคาญ ของเหล่านี้ไม่มีในจิต มีแต่ความพอดีหมดทุกอย่างในนั้น

ต่อมาจึงหยุดพัก หยุดแต่การนั่งเท่านั้น ใจเหมือนเก่ายังไม่หยุด ดึงเอาหมอนมาวางไว้ ตั้งใจจะพักผ่อน เพื่อเอนกายลง จิตยังสงบอยู่อย่างเดิม พอศรีษะถึงหมอนมีอาการน้อมเข้าไปในใจ คล้ายกับมีสายไฟอันหนึ่งไปถูกสวิตช์ไฟฟ้าเข้า มีความรู้สึกว่า “กายระเบิด” เสียงดังมาก ความรู้ที่มีอยู่นั้นละเอียดที่สุด พอมันผ่านตรงจุดนั้น ก็หลุดเข้าไปในโน้น”แม้อะไรๆ ทั้งปวงก็ส่งเข้าไปไม่ได้” “ไม่มีอะไรเข้าไปถึง”

หยุดอยู่ข้างในสักพักหนึ่ง ก็ถอยออกมาจนถึงปกติธรรมดา ที่ว่าถอยออกมานี้ไม่ใช่ว่าเราจะให้ถอย มันเป็นเอง “เราเป็นเพียงผู้ดู ผู้รู้เท่านั้น” เมื่อจิตเป็นปกติดังเดิมแล้ว คำถามก็มีขึ้นว่า นี่มันอะไร ? คำตอบเกิดขึ้นว่า “สิ่งเหล่านี้ของมันเป็นเอง ไม่ต้องสงสัยมัน” คิดเท่านี้จิตก็ยอม

เมื่อหยุดอยู่สักพักหนึ่ง ก็น้อมเข้าไปอีก เราไม่ได้น้อม มันน้อมเอง พอน้อมเข้าไปๆ ก็ไปถูกสวิตช์ไฟอันเก่า ครั้งที่สองนี้ “ร่างกายแตกละเอียดหมด” แล้วหลุดเข้าไปข้างในอีก เงียบยิ่งกว่าเก่า”ไม่มีอะไรส่งเข้าไปถึง “พอสมควรแล้ว ก็ถอยออกมาตามสภาวะของมัน ในเวลานั้นมันเป็นอัตโนมัติ มิได้แต่งว่าจงเป็นอย่างนั้น จงเป็นอย่างนี้ จงออกอย่างนั้น จงออกอย่างนี้ ไม่มี “เราเป็นเพียงผู้ทำ ความรู้ดูเฉยๆ “

เมื่อนั่งพิจารณาก็น้อมเข้าไปอีก ครั้งที่สามนี้ “โลกแตกละเอียดหมด” ทั้งพื้นปฐพีแผ่นดิน แผ่นหญ้าภูเขาเลากา เป็นอากาศธาตุหมด “ไม่มีคน หมดไปเลย” ตอนสุดท้ายนี้ “ไม่มีอะไร” ดูยาก พูดยาก ของสิ่งนี้ ไม่มีอะไรมาเปรียบปานได้เลย ๓ ขณะนี้ ใครจะเรียกว่าอะไร ใครรู้ เราจะเรียกว่าอะไรเล่า

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: