1415.หลวงปู่กงมาและหลวงพ่อวิริยังค์ผจญภัยในถ้ำวัวแดง

หลวงปู่กงมาและหลวงพ่อวิริยังค์ผจญภัยในถ้ำวัวแดง
ข้าพเจ้าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่โบราณเล่ามาว่า ถ้ำวัวแดงนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก และมีลายแทงที่นี่ด้วย คนเดินทางผ่านโดยยานพาหนะใด ๆ ถ้าไม่ทำความเคารพแล้วก็จะมีอันเป็นไปทุกราย อนึ่งผู้จะเรียนวิชาอาคมทางไสยศาสตร์ทุกคน ถ้าจะให้เก่งจริงต้องมาผจญกับความศักดิ์สิทธิ์ของถ้ำวัวแดงเสียก่อน แต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็พากันเกรงขามถ้ำนี้กันนัก ไม่ค่อยจะมีใครมากล้ำกรายกันทีเดียว
รุ่งขึ้นหลังจากที่พักอยู่ที่วัดกุดโบสถ์ ในตอนเช้านั้น ท่านอาจารย์ก็ได้บอกข้าพเจ้าว่า วันนี้เราจะต้องเดินทางไปถ้ำวัวแดง (ถ้ำวัวแดง ตั้งอยู่ที่บ้านเฉลียงโคก ตำบลเฉลียง อำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ริมถนนสายครบุรี – มูลบน ห่างจากอำเภอครบุรีประมาณ ๗ กิโลเมตร ถ้ำวัวแดงตั้งอยู่บนเขาวัวแดง สูงจากระดับพื้นราบประมาณ ๑๕ เมตรถ้ำกว้างประมาณ ๓ เมตร สูงประมาณ ๒ เมตรปากทางเข้าถ้ำเตี้ยมากต้องก้มตัวเข้าไปภายในผนังถ้ำมีภาพแกะสลักนูน สูงรูปพระศิวะอุ้มพระอุมาประทับบนหลังโคนนทิมีฤาษี ๑ ตนและเทวดา ๑ องค์ถวายความเคารพอยู่หน้าโค ส่วนท้ายขบวนมีเทพบริวาร ๒ องค์ถือพัดโบกและฤาษียืนประนมมือ ๓ ตน – webmaster)

“ถ้ำวัวแดง” ข้าพเจ้าทวนคำอย่างงุนงง
“เออ ก็ถ้ำวัวแดงนี้น่ากลัวนักหรือ ? วิริยังก์” ท่านอาจารย์ตอบ
“มันเป็นเรื่องนิยายหรือจริงมิทราบครับ เพราะผมได้ยินว่ามันศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน แต่ผมไม่กลัวหรอกครับ เพราะมีอาจารย์ไปด้วย” ข้าพเจ้าตอบ
“เราต้องเดินให้ถึงในวันเดียว” ท่านอาจารย์พูด
แล้วพวกเราก็เดินธุดงค์ต่อไป ค่อย ๆ ลึกเข้าไปก็เป็นดงหนาเข้าไปทุกที ๆ เริ่มทำให้ข้าพเจ้าเกิดสามัญสำนึกว่าใกล้แล้ว แต่ที่ไหนได้ ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง เป็นป่าเป็นภูเขาเริ่มขึ้นแล้ว มันคือถิ่นเสือ ข้าพเจ้าเห็นรอยของเสือขวักไขว่ไปหมด จึงมาคิดว่า เราจะได้ผจญอะไร ๆ สักอย่างเป็นแน่ แต่ก็จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เจอตัว เจอแต่รอยเดินขึ้นเรื่อย ๆ ไป คือขึ้นภูเขา
บัดนี้เป็นเวลาบ่าย ๕ โมงเย็นแล้ว พวกเรายังเดินย่ำต๊อกกันอยู่ระหว่างเขาลูกหนึ่งไปยังอีกลูกหนึ่งเรื่อยไป ตะวันจวนจะลับปลายไม้แล้วทำไมยังไม่ถึงอีก ข้าพเจ้าต้องรำพึงรำพันอยู่ในใจ
จะค่ำเสียกลางป่าเขานี่เสียหรือยังไง เอ้าเป็นอะไรเป็นกัน อาจารย์เราอยู่ข้างหน้าไม่เห็นต้องกังวลอะไรเลยนี่นา
อาจารย์หันหน้ามามองข้าพเจ้าแล้วบอกว่า

“โน่นยังไง วิริยังค์ มองเห็นถ้ำวัวแดงแล้ว”
“ช่างชื่นใจอะไรเช่นนั้น” ข้าพเจ้าคิดและเหมือนกับความเหนื่อยที่คร่ำเคร่งมาหายหมดเป็นเวลาพลบค่ำพอดีถึงถ้ำวัวแดง
ท่านอาจารย์ก็ขึ้นบนศาลา “เอ๊ะ ถ้ำทำไมจึงมีสิ่งก่อสร้างไว้หลายอย่าง มีทั้งศาลา กุฏิที่พัก แต่ไม่มีพระภิกษุสามเณรไม่มีใครเลย”
ข้าพเจ้ากับอาจารย์ขึ้นบนศาลาเป็นอันดับแรกเพราะเหนื่อยมาหลายเพลาแล้ว
อันดับแรกข้าพเจ้าวางบริขารทุกอย่างและกลางกลด จัดปูที่นอนถวายท่านอาจารย์ จากนั้นก็รีบแสวงหาแหล่งน้ำก่อนอื่น ลงเดินไปคนเดียวเที่ยวดูโดยรอบ ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีแหล่งน้ำ เวลาก็ชักจะดึกเข้าทุกที ๆ จนต้องเดินไปอีกมุมหนึ่งของบริเวณ มองเห็นแต่ตุ่มน้ำตั้งอยู่ ๔-๕ ใบ เข้าไปเปิดดู ข้าพเจ้าต้องเอะใจขึ้นมาว่าทำไมน้ำจึงเต็มโอ่งหมดทุกใบ ทั้งดีใจทั้งสงสัยว่า ใครหนอตักน้ำมาไว้ที่นี่ ยังกับจะรู้ว่าเรามาวันนี้ ทำให้มึนงงไปหมด
ข้าพเจ้ารีบกลับไปที่ศาลา นิมนต์ท่านอาจารย์มาที่ตุ่มน้ำเพื่อสรงน้ำ หลังจากนั้นแล้วข้าพเจ้าก็สรงน้ำเป็นที่เรียบร้อย ท่านอาจารย์บอกกับข้าพเจ้าว่า “คุณไม่ต้องห่วงเราหรอก จงไปหาที่วิเวกให้เหมาะสมห่างจากเรา”
ก็เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้แบกกลดออกไปในเวลากลางคืน หาดูที่เหมาะ ๆ มีความรู้สึกว่าเสียว ๆ บ้างเพราะไม่เคยชินกับสถานที่ แต่เห็นกุฏิหลังหนึ่งพอเบาใจจึงแวะขึ้นไปอยู่พัก กุฏินั้นเป็นกุฏิกั้นฝาด้วยใบไม้ พื้นฟากเป็นกุฏิเก่า ๆ อยู่ในสภาพจะพังมิพังแหล่ แต่ก็ยังดี ข้าพเจ้าใช้มันเป็นที่พักในเวลาค่ำคืนนี้ และนั่งสมาธิรู้สึกว่าดีเป็นพิเศษ จะเป็นเพราะความหวาดเสียวหรืออุปาทานเก่า ๆ ก็ไม่ทราบ เพราะมาถึงกลางคืนยังไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ก็ได้ผลแก่ตนในคืนนี้ คือจิตใจสงบสบายดี
ตอนเช้าข้าพเจ้าจะต้องปฏิบัติอาจารย์อันเป็นกิจวัตรประจำวัน คือไปคอยดูว่าท่านจะลุกขึ้นออกจากสมาธิแล้ว เมื่อท่านออกแล้วจะต้องเข้าไปถวายน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน เก็บที่นอน นำบาตรมาเพื่อการบิณฑบาต
ตอนเช้าข้าพเจ้าก็บำเพ็ญกิจวัตรตามปกติ แต่ปรากฏว่าท่านอาจารย์ลุกไม่ขึ้น ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้แล้วถามว่า
“ท่านอาจารย์เป็นอะไรครับ ?”:
ท่านตอบว่า “ยอกหมดทั้งตัวเลย วิริยังค์”
ข้าพเจ้าเตรียมจะนวดถวายท่าน ท่านบอกว่า ไม่ต้อง และพอเวลาผ่านไปสัก ๒๐ นาที ท่านก็พยายามจะลุกขึ้นจนสามารถพยุงตัวลุกขึ้นมาได้ และบอกข้าพเจ้าว่าให้ไปบิณฑบาต
“จะไปยังไงไหวครับท่านอาจารย์” ข้าพเจ้าพูดขึ้น
ท่านอาจารย์บอกว่า “ไปเถิดถ้าเราไม่ไป เธอจะไปคนเดียวได้ยังไง บ้านห่างจากนี้อีกไกล ต้องผ่านดง เดี๋ยวเกิดหลงเข้าป่าเข้าดงไปจะลำบาก”
มันเป็นภาพที่ข้าพเจ้าต้องจดจำไว้ในคลอดชีวิตทีเดียวว่า ท่านอาจารย์มีความเพียรขันติเป็นยอด ท่านได้พาข้าพเจ้าเดินลัดเลาะไปด้วยความสันทัดของท่านที่ทราบถึงภูมิประเทศว่า แห่งใดควรจะมีหมู่บ้าน แม้ในขณะนั้นมองดูตามสองข้างทางก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีหมู่บ้านแต่อย่างไร เพราะเป็นป่าดงทึบไปหมด มีรอยสัตว์ป่าต่าง ๆ ผ่านทางเดินเป็นระยะ แม้ท่านอาจารย์จะยอกแต่ท่านเดินเหมือนกับไม่เป็นไร เราได้ผ่านดงไปด้วยความสงบอย่างยิ่ง ท่านเดินหน้า ข้าพเจ้าเดินตามหลัง นึกถึงภาพในอดีต หายากแท้ จะมาคิดเป็นจินตนิยายอะไรสักเรื่องก็คงไม่เหมือนเป็นแน่ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการเดินไปบิณฑบาตอย่างไม่มีจุดหมายนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
ในที่สุดท่านอาจารย์ก็ชี้ไปข้างหน้าว่า โน้นยังไงหมู่บ้าน มองไปข้างหน้ามีทุ่งนากว้างพอสมควร แล้วถัดไปก็มีหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านใหญ่พอสมควร เมื่อเดินข้ามทุ่งนาไปแล้วถึงหมู่บ้านประมาณว่าสักหนึ่งชั่วโมงเศษ จากการเดินมาจากถ้ำวัวแดง
ชาวบ้านพอเห็นพวกเราเข้ามาบิณฑบาตตอนเช้า เขาพากันดีอกดีใจกันใหญ่ เพราะนาน ๆ จะมีพระมาอยู่ที่ถ้ำส่วนที่บ้านก็ไม่มีวัด ชาวบ้านพากันป่าวร้องกันสักพักเดียวเท่านั้น ก็ถือข้าวมาใส่บาตรกันเต็มไปหมด เขาถามว่า
“ท่านอาจารย์มาแต่เมื่อไร ? พวกผมไม่ทราบกันเลย”
“มาถึงค่ำวานนี้” ท่านอาจารย์ตอบ
โยมบอกว่า เมื่อวันก่อนก็มีพระมาคณะหนึ่งพึ่งจะกลับไป ข้าพเจ้านึกขึ้นมาได้ในทันทีทันใดนั้นเองว่า
“อ้อ น้ำถึงได้เต็มโอ่งไปหมด นึกว่ามีเทวดามาตักให้เสียแล้ว”
หลังจาครับบิณฑบาตเรียบร้อยแล้วพวกเราก็เดินกลับไปที่ถ้ำ โดยพวกญาติโยมนำอาหารตามไปด้วยประมาณ ๖-๗ คน มีอาหารตามมีตามได้ ในระหว่างทางท่านอาจารย์ให้ข้าพเจ้าเก็บผักไปด้วย ก็มียอดแต้ว ยอดกระโดน ครั้นถึงที่พักแล้วญาติโยมก็จัดอาหารถวาย มีน้ำพริกอย่างว่าจริง ๆ ท่านอาจารย์คงทายใจเขาถูกจึงให้ผู้เขียนเก็บผักตามมา มีแกงก็เป็นแกงป่าน้ำดำ ๆ และอื่น ๆ ดูก็ไม่น่าจะอร่อย แต่ว่าอาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษไม่ทราบว่าทำไมรสชาติมันถึงอกถึงใจอะไรอย่างนี้ ดีจริง ๆ
ข้าพเจ้ามาคิดได้ว่า อ้อ อันความหิวนี้เองทำให้อร่อย เป็นอันว่า ท่านอาจารย์และข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่ถ้ำวัวแดงนี้ โดมีญาติโมมาส่งอาหารตามศรัทธาที่เขาจะพึงทำได้ตลอดเวลาที่พักอยู่

ท่านอาจารย์กลับยอกเอวหนักขึ้น ท่านบอกว่า
“ไปไม่ไหวแล้ว วิริยังค์เอ๋ย ยอกแบบนี้เหมือนเข็มแทงเรา จะต้องอยู่ที่นี่จนกว่ายอกจะหาย”
ข้าพเจ้ากลับดีใจเมื่อได้ฟังท่านอาจารย์ เพราะจะได้อยู่ทำความเพียรให้ถึงอกถึงใจ ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ เป็นอันว่าพวกเราต้องอยู่ที่ถ้ำนี้ถึงเดือนเศษ
นับว่าเป็นการพักแรมนานที่สุดในการเดินธุดงค์มาราทอนในครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้เลื่อนจากการอยู่บนกุฏิสัพพะรังเคนั้นไปอยู่ที่ตัวถ้ำวัวแดงเลยทีเดียว อันชาวบ้านบอกว่าเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ เห็นข้าพเจ้าไปอยู่ที่นั้นโยมก็ได้ห้ามปรามต่าง ๆ นานา ว่าอย่าเลยท่านไม่ดีแน่ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อ แม้จะเป็นอย่างไรก็ไม่กลัวทั้งสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่า ไหน ๆ มาถ้ำวัวแดงทั้งที นอนมันใต้ท้องวัวแดงเลยเป็นไง ?
ข้าพเจ้าจึงเข้าไปในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำไม่ใหญ่โตอะไรนัก มีวัวแดงอยู่ในถ้ำเป็นหินแกะสลัก บนหลังวัวแดงมีกษัตริย์ ๑ องค์ มีมเหสี ๙ คน นั่งอยู่บนหลังวัวแดงตัวเดียวนั้น ซึ่งก็ล้วนแกะสลักด้วยหินทั้งสิ้น สวยงามมาก ฝีมือดีเยี่ยมทีเดียว ข้าพเจ้ามองดูรอบ ๆ วัวแดงเป็นพื้นเสมอนั่งนอนสบาย แต่ข้าพเจ้าเสียดายมาก คือพวกนักหาทรัพย์ในดินสินในน้ำและลายแทงต่าง ๆ พากันมาเจาะท้องวัวแดง ขุดลงไปตรงพื้นที่วัวแดงเหยียบเป็นรูเป็นหลุม แม้แต่บริเวณอันเป็นหินก้อนใหญ่ ๆ เท่าบ้าน เขาก็เจาะกันทะลุไปหมดเขาเล่าให้ฟังว่า พวกคนที่มาเจาะมาทำลายนั้น โดยมากกลับไปตายกันเสียเป็นส่วนใหญ่ในค่ำคืนหนึ่งที่ข้าพเจ้านอนพักอยู่ที่ถ้ำวัวแดงนั้น บังเกิดความประหลาดใจขึ้นในตอนดึก หลังจากบำเพ็ญสมาธิผ่านไปแล้ว คือปรากฏเหมือนหินทั้งถ้ำนั้นกำลังจะทรุดลงเสียงลั่นดังกึกก้อง แต่พอข้าพเจ้าลุกขึ้นหมายจะฟังให้ชัดแล้ว เสียงนั้นก็หายไป พอจะหลับก็เกิดเสียงนั้นขึ้นมาอีก จึงทำให้ใจหายรู้สึกว่าจะโดนลองดีเสียละกระมัง แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมกลัว ทำใจกล้า แต่เสียงนั้นมันคอยจะมาหลอนเอาตอนเคลิ้มทุกที ขณะที่ตื่นจริง ๆ ทำไมไม่มีเสียง จะมีเสียงเอาตอนจะหลับ อย่างไรเสียต้องมีเหตุเป็นแน่แท้ ข้าพเจ้าเลยตั้งใจเอาเสียเลยว่า ค่ำนี้เราจะไม่นอนละ จะ นั่งทำสมาธิตลอดเวลาสว่างเลยขณะที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะนั่งตลอดสว่างอย่างนั้น ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นก็หายไปหมด และกลับกลายปรากฏในสมาธิแทน เห็นเป็นเหมือนกับเทวบุตรและเทวดา เป็นคนที่รู้สึกจะแปลกกว่าคนธรรมดา ข้าพเจ้าก็เลยเข้าใจเอาว่า คงเป็นพวกเทวดา ต่างก็มานั่งล้อมรอบอยู่ตามบริเวณนั้น เพียงแต่เดินกันไปมา รู้สึกว่าขณะนั้นมีความสบายดีมาก จนไม่ทราบว่าสว่างเสียแต่เมื่อไร
ข้าพเจ้าได้นำเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น มาเล่าถวายอาจารย์ ท่านก็หัวเราะแล้วพูดว่า
“นั่นแหละเธออยากประมาท เขาก็มาเตือนซิ”
“ เขาหมายความว่าอะไรครับ” ข้าพเจ้าถาม
“ก็พวกเทพเจ้านั้นแหละ” ท่านตอบ
“เทพเจ้า ๆ ” ข้าพเจ้าคำนึงอยู่ในใจว่า มันจะเป็นไปได้หรือที่เราได้พบเห็นสิ่งแปลกประหลาด
ท่านอาจารย์ได้สำทับข้าพเจ้าว่า “เธออย่าประมาท จงพยายามเร่งความเพียรอย่างเต็มความสามารถ”
นั่นมันเป็นความประสงค์ของผู้เขียนอยู่แล้ว
เป็นเวลาเดือนหนึ่ง อาการยอกของท่านอาจารย์ก็ค่อยทุเลาลงเป็นลำดับ จนหายเป็นปกติ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า
“แม้ว่าเราหายแล้วก็จะต้องอยู่ทำความเพียรในที่นี่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง” ข้าพเจ้าก็พอใจด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ในวันหนึ่งที่ท่านอาจารย์สบายดี ข้าพเจ้าได้ถามท่านว่า
“ธรรมปฏิบัตินี้มีความจำเป็นด้วยหรือที่เราจะต้องมาทรมานอด ๆ อยาก ๆ ทุลักทุเล เดินหามรุ่งหามค่ำอยู่ อย่างวัดทรายงามกระผมก็ทำความเพียรได้อย่างมาก”
ท่านตอบว่า
“การอยู่ในที่เดียวจำเจ มันก็ทำให้เรามีจิตอ่อนไม่เข้มแข็ง และทำให้เกิดความเคยชิน เป็นการทำให้ย่อหย่อนต่อความพยายาม ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นครูอาจารย์ก็จะเพิ่มภาระที่จะสั่งสอน และกิจการที่จะต้องเกี่ยวข้องอีกมาก การที่เราได้ออกวิเวก อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรนั้น มันเป็นสิ่งทำให้จิตใจแข็งแกร่งขึ้น มีความกระตือรือร้นขึ้นมาเองตามธรรมชาติ”เป็นอันว่า เวลาเดือนเศษพวกเราอยู่ที่ถ้ำวัวแดง โดยเฉพาะข้าพเจ้าได้ผลจากสถานที่แห่งนี้เป็นพิเศษ อันเป็นสิ่งจารึกอยู่ในความทรงจำไว้อย่างมาก ยากที่จะเขียนบรรยายออกมาให้หมดสิ้น ฯ ท่านอาจารย์บอกข้าพเจ้าว่า เรามาเดินทางกันต่อไป เพื่อตามท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ให้พบ เพราะเวลานี้ข่าวว่าท่านอยู่จังหวัดสกลนคร ฯ
ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: