1370. อภินิหาร!! “หลวงปู่สรวง” (ตำนานฉายาเทวดาเดินดิน)

1.ให้เณรมาตาม

พระภิกษุบัวพัน สนฺตจิตโต ปัจจุบันเป็นพระอธิการบัวพัน เจ้าอาวาส วัดบ้านโป่ง อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นวัดในชนบทอยู่นอกเมือง ออกไปทางถนนสาย ปรางค์กู่ – อุทุมพรพิสัย เป็นเจ้าของเรื่องราวประสบการณ์อภินิหารที่ได้เจอมากับตัวท่านเอง

พระภิกษุบัวพัน ได้บวชพระมาตั้งแต่อายุ 20 ปี และก็จำวักอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ไม่เคยไปพำนักที่วัดใดๆเลย จะรู้จักพระท่านอื่นบ้างก็เป็นวัดที่อยู่ใกล้เคียงหรือเป็นญาติกันเท่านั้น เรียกว่า ไม่เคยท่องออกไปในโลกกว้าง เท่าไรนัก นอกจากวัดปฏิบัติธรรมในการบิณฑบาตในทุกเช้าแล้ว พระในวัดจะแยกบ้าบกันหามุมสงบ เพื่อท่องหลังสือ เจ็ดตำนาน สำหรับคนสวดมนต์ในพิธีต่างๆ และหัดสวดจากคัมภีร์ใบลาน ที่เป็นหนังสือผูกที่จารึกด้วยอักษรขอมโบราณ ที่จารึกเรื่องราวพุทธประวัติ หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ต่างก็ออกเสียงแข่งกันดังระงมทั่วไปหมด เพราะถ้าใครบวชแล้วสวดไม่ได้ถือว่าบวชผลาญข้าวสุก ไม่สามารถทดแทนบุญคุณเจ้าของข้าวปลาอาหารที่ใส่บาตรให้ได้ขบฉันในแต่ละวัน สมัยก่อนถ้าพระหรือเณร ตลอดกระทั้งศิษย์วัดใดถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติขี้เกียจท่องบทสวดมนต์แล้ว มักจักเป็นกลากเป็นหิดตามมือกันคันตามไม้ตามมือ เกากันไม่ได้หยุดหย่อย ต้องขอน้ำหมากจากพระมาทาจึงจะหาย ในแต่ละวันเป็นกันมาก แต่ทุกวันนี้ไม่มีให้เห็นกันไม่ทราบว่าทุกวันท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบกันหมดหรือเปล่า

จวบจนกระทั้งในปี พ.ศ. 2525 ได้มีสามเณรเต่า มาจากวัดบ้านขะยูง อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ มาชวนให้ไปหาหลวงปู่สรวง ตอนนี้หลวงปู่พักอยู่ที่วัดขะยูง พระพันเองเมื่อทราบว่าหลวงปู่สรวงมาพักอยู่ใกล้ๆ ก็ตัดสินใจไปทันที ขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส คว้าได้ย่ามก็รีบเดินตามเณรเต่าไป เพราะคิดว่าเป็นโอกาสทองที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับหลวงปู่สรวง ที่ผู้คนแถบนี้ร่ำลือกันว่าท่านเป็นผู้วิเศษ มีอายุมากจนไม่มีใครรู้ว่าท่านอายุเท่าไหร่

2.หายตัวได้

พระบัวพันได้ไปพักอยู่ที่วัดขะยูงกับสามเณรเต่า เป็นเวาลาสองวันสองคืน ได้อยู่ใกล้ชิดกับหลวงปู่โดยการปฏิบัติรับใช้จุดไฟให้ท่านผิงทุกวัน จนหลวงปู่เห็นความขยันหมั่นเพียร ด้วยเกิดความเอ็นดู เรียกพระพันว่า “ลูกเลียว” แปลว่า พระลาว เนื่องจากพระบัวพันพูดภาษาลาว หรือภาษาไทยอีสานนั่นเอง รุ่งขึ้นของวันที่สาม ได้มีเจ้าภาพมาจากอำเภอสังขะ มานิมนต์หลวงปู่ หลวงพ่อสง เจ้าอาวาสวัดขะยูง พร้อมด้วยพระลูกวัด มีสามเณรเต่า สามเณรแดง และพระบัวพันด้วย

เจ้าภาพนิมนต์พระทั้งหมดขึ้นรถปิคอัพออกจากวัดขะยูง เพื่อที่จะไปสวดมนต์และฉันภัตตาหารที่บ้านทุ่งสว่าง อำเภอสังขะ ในการไปครั้งนี้หลวงปู่นั่งอยู่กลางรถ โดยมีพระทั้งหมดนั่งอยู่ข้างๆโดยรอบ พอรถแล่นออกไปถึงบ้านขนุน เขตติดต่อกับอำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ปรากฎว่า หลวงปู่หายไป ไม่ได้อยู่ในรถทั้งๆที่รถไม่ได้จอดพักตรงไหนเลย พระที่ไปด้วยกัน ทั้ง 5 รูปได้บอกให้คนขับจอดและลงไปตามหากันตลอดวัน ถามใครๆก็ไม่มีใครพบเห็น

เมื่อหาจนอ่อนใจเป็นเวาลาหลายชั่วโมงแล้ว จึงตัดสินใจขึ้นรถไปที่อำเภอสังขะ ไปพบหลวงปู่ท่านนั่งอยู่ที่วัดกลางอำเภอสังขะในเวลา 4 โมงเย็น ถามท่านว่า มาที่นี่ได้อย่างไร ท่านได้แต่ยิ้มเฉยๆ เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความงุนงงประหลาดใจ ให้กับคณะทั้งหมด เป็นอย่างมาก หลังจากรดน้ำมนต์ให้เจ้าภาพที่บ้านทุ่งสว่างเสร็จแล้วก็ขี่รถกลับวัด

3.ไปกัมพูชาเก็บกับระเบิด

รุ่งเช้าในวันรุ่งขึ้น หลวงปู่ได้พาพระในวัดบ้านขะยูง มีหลวงพ่อสงค์ เจ้าอาวาส เณรเต่า เณรแดง พระบัวพันออกเดินทางไปประเทศกัมพูชาทางช่องสะงำ ในระหว่างทางเขตแดนไทยและกัมภูชา ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพรานของไทยเฝ้าอยู่ ทราบจุดประสงค์ของพระที่จะไปแล้วบอกว่าไปไม่ได้อันตราย หนทางที่จะไปมีแต่กับระเบิดฝังอยู่ทั่วไป

แต่หลวงปู่ดื้อที่จะไปโดยออกเดินนำหน้าพระทั้งหมด ไม่มีใครกล้าขัดขวาง หลวงปู่ได้หยิบเอาระเบิดที่ฝังไว้ข้างทางให้พระบัวพันสะพายข้างละ 4 ลูก เดินย้อนกลับมาฝั่งไทย ยื่นลูกระเบิดให้ทหารพรานดูทุกคนประจักษ์ในอภินิหารครั้งนี้ต่างก็ก้มลงกราบหลวงปู่และอนุญาตให้ท่านไปด้วยดีพร้อมกับอวยพรให้คณะทั้งหมดจงไปและกลับมาด้วยความปลอดภัยลงช่องสะงำไปทางอำเภออัลล็วงเวง (แปลว่า คลองลึก) ทางชันลงไปเป็นทางเดินเก่าๆ ยังรกตลอดข้างทาง อาหารการขบฉันเป็นไปด้วยความยากลำบาก

ถึงเวลาฉันถ้าไม่มีบ้านคนหลวงปู่จะถอนเผือกมันที่มีอยู่ทั่วไป ให้พระที่ไปด้วยไปเผาฉัน ป่าของเขมรในขณะนั้นยังเป็นป่าทึบรกชัฏ มัสัตว์ป่านานาชนิด ตลอดจนสัตว์ร้าย เช่น เสือ หมี งูจงอางอยู่มาก แต่คณะทั้งหมดก็ไม่มีความหวั่นเกรงอันตรายใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพราะอุ่นใจกับหลวงปู่ มากับท่านแล้วท่านก็คุ้มครองภัยอันตรายได้หมด

4.ไม้วิเศษตาทิพย์

เดินทางจากช่องสะงำลงไปถึงเขากิเลน ใช้เวลาเดินทาง 4 วันเป็นเขาสูงมีขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่นนัก บนเขามีพระพุทธรูปปางปรินิพพานยาวเกือบหนึ่งเส้นประดิษฐานอยู่ เป็นที่เคราพสักการะบูชาของชาวเขมรและชาวพุทธทั่วไป ถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง เชิงเขาด้านล่างมีวัดตั้งอยู่ทุกปี จะมีผู้คนมากราบไหว้แสวงบุญกันมาก ที่เขากิเลนแห่งนี้มีต้นยาวิเศษขึ้นอยู่

หลวงปู่ได้ชี้ให้ดูแล้ว ให้พระที่ไปด้วยนั้นหันหลังให้กับต้นยาแล้วถอนขึ้นมา ไม้นี้หลวงปู่บอกว่าสรรพคุณเหนือพรรณา เป็นไม้ค้ำไม้คูณ เอาไว้ติดตัวมองเบี้ยโบกทะลุกะลาเห็นเบี้ยหมด มองดูคนก็จะทะลุเสื้อผ้าเห็นสรีระกายหมดเหมือนไม่ได้สวมอะไรเลย ถ้าจะมองคนไม่ให้มองตรง ๆ ให้มองเฉียงๆ เวลาเดินให้เงยดูฟ้าห้ามมองลงข้างตัวเอง ถ้ามองแล้วเดินข้างหน้าจะเป็นหลุม เป็นหุบเหวลึก ก้าวเดินลงไปจะจมลงไปในดินและดินก็จะกบลมิดปิดสนิทคล้ายโดนธรณีสูบ ฟังข้อห้ามแล้วน่าครั่นคร้าม

แต่ด้วยความอยากจะลองดูว่ามันมีฤทธิ์จริงหรือไม่ จึงได้ตัดแบ่งกัน ได้ยาวคนละ 2 องคุลี ให่ในกระเป๋าอังสะพระติดตัว ทุกคนเดินเงยหน้ามาตลอดกลับมาฝั่งประเทศไทยขึ้นทางช่องจอม ข้ามมาฝั่งไทยถึงหมู่บ้านแรกติดชายแดน ได้หยุดพักมีชาวบ้านทั้งและหญิง มาถวายจังหัน มองไปแล้วแต่ละคนเหมือนชีเปลือยเดินแก้ผ้าถือจังหันปิ่นหิ้วห่อปิ่นโต ได้แต่เบือนหน้าหนี คิดแล้วว่าเราเป็นพระ ถ้าขืนเอาไม้วิเศษนี้ไว้ต้องอาบัติ ปาราชิกแน่นอน

นี่เราเป็นพระลูก ศิษย์ของพระพุทธเจ้าจะยึดเอาสิ่งเหล่านี้เป็นสรณะ คงจะบาปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดแน่นอน หลังจากฉันจังหันเสร็จ พระบัวพันโยนเข้ากอไผ่ เณรเตา เณรแดงโยนไม้ลงน้ำห้วยข้างๆที่พักฉัน หลวงปู่มองดูแล้วยิ้มไม่ได้พูดอะไรเลย ทุกคนในช่วงนั้นไม่มีใครคิดเสียดายอะไรเลย มาคิดได้ในช่วงหลังนี้ถ้าเอาไว้ป่านนี้คงรวยแล้ว ไม่ต้องเรี่ยไรญาติโยมมาสร้างวัดสร้างวาให้มันยุ่งยากเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ไม่แน่ทุกคนอาจโดนธรณีสูบไปแล้วก็ได้

5.ไปไหว้ย่าโม…หยุดรถไฟ

กลับถึงทุ่งนาบ้านจะบก ได้ 2 วัน หลวงปู่ก็ชวนไปไหว้ย่าโมที่เมืองโคราช โดยการเดินไป ไปในครั้งนี้ หลวงพ่อสงค์เจ้าอาวาสวัดขะยูงไม่ได้ไปด้วย ใช้เวลาในการเดินทาง 15 – 16 วัน หลวงปู่พากราบไหว้ย่าโมเสร็จแล้วเดินทางกลับ ขากลับเดินนับไม้หมอนรถไฟมาเรื่อย ๆ ใกล้จะถึงสถานีห้วยแถลงหลวงปู่ได้นั่งลงบนรางรถไฟ ในขณะนั้นรถไฟกำลังแล่นมา สร้างความตกใจให้กับคณะพระเณรที่ไปด้วยเป็นอย่างมากพระบัวพันได้นิมนต์หลวงปู่ให้ลุก พร้อมกับดึงแขนท่านขึ้น แต่ท่านไม่ยอมลุกและท่านก็พูดว่า “เวีย มัว มัน บาน เต”

” มันมาไม่ได้หรอก ” และก็เป็นจริงดังหลวงปู่พูด รถไฟเกิดเครื่องดับหยุดเฉย ๆ ไม่สามารถแล่นเข้ามาได้อีก ท่านนั่งอยู่นานประมาณครึ่งชั่วโมง หลวงปู่ก็พาคณะเดินลัดทุ่งนาได้ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร รถไฟจึงเคลื่อนขบวนออกไปได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่อัศจรรย์เหลือเชื่อจริง ๆ

คณะของหลวงปู่ได้เดินทางกลับถึงกระท่อมบ้านจะบก และได้พักอยู่กับหลวงปู่เป็นเวลา 5 วัน จึงได้กลับไปวัดเติมที่บ้านโป่ง

6.ผ้ายันต์แดง

ต่อมาอีกไม่กี่วัน หลวงปู่ได้บอกให้หลวงปู่สงค์มาเรียก ” ออยลูก เลียว ติง เทด กระ ฮอม เยียง เจีย มัว ” ท่านบอกให้พระลาวซื้อผ้าแดงอย่างดีมาให้ด้วย เพื่อที่จะได้ทำผ้ายันต์ เมื่อได้ผ้าแดงเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ได้พาคณะลงไปประเทศกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง

หลวงปู่ได้พาเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าลึกมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมืดครึ้ม จนแทบมองไม่เห็นแสงแดด มีสัตว์ป่าและนกมากมายหลายชนิดที่ไม่เคยเห็น หลวงปู่พาเดินไปเรื่อย ๆ ไปเจอปราสาทเก่าขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่กลางป่ามีเถาวัลย์ปกคลุมอยู่ ข้างในมีงูจำนวนมากมายอาศัยอยู่ดูน่าสะพรึงกลัว หลวงปู่บอกว่าให้พระเณรทำความสะอาดและบอกด้วยว่าอยู่กับหลวงปู่ไม่ต้องกลัวอันตรายถ้าหากเราปฏิบัติดีแล้วเทวดาอารักษ์จะคุ้มครอง ทำให้ทุกคนเกิดความอุ่นใจ แต่ก็ไม่วายหวายระแวงจะเกิดอันตรายได้ จึงได้ก่อกองไฟและก็เติมฟืนให้ลุกโชนตลอดเวลา

หลวงปู่ให้คณะที่ไปขึงผ้าให้ตึงโดยวางกับพื้นศิลาแดงในใจกลางปราสาท แล้วนั่งบริกรรมคาถาเขียนอักขระลงในผ้าสีแดงที่เตรียมไปทุกผืน ใช้เวลาในการทำผ้ายันต์ครั้งนี้ เป็นเวลา 7 วันเสร็จแล้วหลวงปู่ก็ทำพิธีปลุกเสกผ้ายันต์ มอบผ้ายันต์ให้เณรคนละ 1 ผืน เป็นผ้ายันต์ขนาดกว้างประมาณ 50 เซ็นติเมตร ส่วนพระบัวพันหรือพระเลียว ท่านให้ 2 ผืนเป็นผืนใหญ่ประมาณ 1 เมตร อีกผืนใหญ่ประมาณ 1 เมตร สำหรับพับคาดหน้าอกแทนรัดประคด อีกผืนหนึ่งมีขนาดเท่ากับที่มอบให้เณรเตา เณรแดง ในระหว่างที่พักอยู่ในปราสาทกลางป่าลึกนี้ มีคนเขมรนำจังหันไปถวายให้ฉันตลอดเวลา ระยะเวลาที่อยู่ แต่ไม่ทราบว่าเขามาจากไหน การแต่งกายก็ดูสะอาดสะอ้าน กว่าชาวบ้านป่าทั่วไป แต่ละคนมีมารยาทเรียบร้อย อาหารที่นำมาถวายฉันแล้วมีรสชาติอร่อย ฉันเพียงนิดหน่อยก็อิ่มได้ตลอดทั้งวัน

หลังจากที่ปลุกเสกผ้ายันต์เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็พากลับหลังจากฉันเช้าเสร็จ โดยพาเดินกลับมาทางอัลล็วงเวง ขึ้นทางช่องชะงำ ผ่านบ้านแซรไปร มานอนค้างคืนที่วัดบ้านกลางคูลี่แจ อยู่ 2 คืนจึงได้มาที่กระท่อมเถียงนาบ้านจะบกตามเดิม

7.ขุดคลอง

เมื่อมาอยู่ที่เถียงนาบ้านและบก หลวงปู่ได้ใช้ให้พระบัวพัน เอาเสียมมาขุดทำเป็นคูคลองคดเคี้ยวไปมาเหมือนกับคลองธรรมชาติ โดยให้ขุดกว้างขนาด 1 ศอก และลึก 1 ศอกตลอดแนว พอพรพะบัวพันขุดได้ความยาวประมาณ 1 เมตรหลวงปู่ได้บอกให้สามเณรทั้งสองคือเณรเตา กับเณรแดง ให้ช่วยขุดด้วย “เณร เน็อว เอ็ย มัว จิก”

ท่านบอกว่าอยุ่ทำไมไม่ช่วยกันขุด หลังจากช่วยกันขุดได้ความยาวเป็นที่พอใจของหลวงปู่แล้ว ท่านก็ให้หยุด และสั่งให้ขุดบ่ออีก ขุดลงไปได้ประมาณ 1 เมตร ก็มีน้ำออกมาใสสะอาดใช้ดื่มได้ มันแปลกว่าบ่อที่ขุดใหม่นี้มีความลึกแค่เมตรเดียว เท่านั้น ก็มีน้ำให้ใช้ แต่บ่อเก่าที่อยุ่ห่างออกไปไม่ถึง 1 เส้น ระดับของน้ำอยู่ลึกลงไปเกือบ 3 เมตรใกล้ถึงวันหวยออกมีญาติโยมมากันเป็นจำนวนมาก

หลวงปู่ชี้ให้ไปดูที่บ่อน้ำใหม่ ปรากฏว่าบ่อนี้มีแต่ปลาดุกเน่าลอยตายอยู่ 1 ตัว แปลกใจว่าปลาดุกเน่าตัวนี้มาอยู่ที่บ่อนี้ได้อย่างไร เพราะก่อนที่โยมจะมาพระเณรก็ไปตักน้ำมาใช้กันและบ่อนี้ก็อยู่ใกล้กับเถียงนาที่พักด้วย งวดนั้นหวยออก 408

8.ปืนทหารพราน

วันหนึ่งมีทหารพราน 4 คน ได้มากราบหลวงปู่ โดยได้นำอาวุธ คู่กายมาด้วย เป็นปืนเอ็ม 16 หลวงปู่เห็นปืนท่านได้พูดว่า “กำเพลิง ละออ” ท่านชมว่าปืนงาม และขอดูปืนโดยทหารพรานบอกว่าปืนนี้ยิงได้ 2 แบบ ยิงทีละนัดก็ได้ ยิงรัวทีเดียวเป็นชุด จนหมดแม็กก็ได้

ท่านบอกให้ยิงทีเดียวหมดแม็ก ทหารพรานทั้งสี่ได้หารือกัน ว่าจะเอาอย่างไรดี ปืนก็ปืนหลวงกระสุนนำมาจำกัด แต่ก็ขัดหลวงปู่ไม่ได้ เมื่อท่านอยากดูก็จะยิงให้ท่านดู ทหารคนหนึ่งได้นำปืนที่หลวงปู่จับดู แล้วเดินออกมานอกเถียงนา เล็งปลายกระบอกปืนขึ้นสูงตรงยอดไม้ข้างๆ เถียงนา ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั้นนั่งดูด้วยความระทึกใจ บางคนก็เอานิ้วอุดหูทั้งสองข้างกลัวเสียงปืน จะดังแสบแก้วหู เพราะไม่เคยเห็นอาวุธปืนชนิดนี้มาก่อน

พอเล็งได้ที่ กะว่าลูกปืนไม่เป็นอันตรายต่อใครแล้ว ทหารคนนั้นก็กดไกยิงทันที เชื่อไหมลูกปืนที่ถูกยิงออกจากลำกล้องจะพุ่งตรงไปถูกยอดไม้ กลับหล่นออกจากปลายกระบอกปืน ตกลงดินเหมือนกับน้ำไหลออกมากองอยู่กับพื้นหน้าทหารพรานทุกนัด ทุกคนเข้ามามุงจับดูลูกปืนด้วยความอัศจรรย์ใจ

9.ทหารวิ่งว่าว

เมื่อทุกคนประจักษ์ถึงอภินิหารหลวงปู่กับตาแล้ว ต่างก็ยอมรับว่าหลวงปู่นั้นเป็นพระที่ฤทธิ์เดชเหนือกว่าพระธรรมดาทั่วไป ท่านใช้ให้ทำอะไรทุกคนก็ยินดีทำตามท่านทุกอย่าง

หลวงปู่ใช้ให้ทหารพรานทั้ง 4 คน นั้นวิ่งว่าวของท่านที่ตังไว้ข้างกระท่อม โดยให้ 3 คนเป็นคนปล่อยว่าว แต่วิ่งอย่างไรก็วิ่งไม่ขึ้น เนื่องจากลมไม่มีและอีกประการหนึ่งท่านให้วิ่งตามลมไม่ได้วิ่งต้านลม เหมือนคนอื่นทั่วไป

เมื่อวิ่งไม่ขึ้นหลวงปู่ก็ทำโทษ โดยให้ทหารพรานทั้งสี่คนนอนเรียงกัน หลวงปู่เดินเหยียบหลังข้ามไปเสร็จแล้ว ก็ให้สองคนลุกขึ้นนอนทับกันเป็นสองคู่ สักครู่หนึ่งก็ให้แยกกันลุกขึ้นยืน ทั้งสี่คนลุกขึ้นยืนปัดดินออกจากตัวแล้วก็กราบหลวงปู่ หลวงปู่พูดกับพรานทั้ง 4 ว่า “นิ โชค อา แอง” (นี่คือโชคของพวกเธอ)

บรรดาผู้คนที่ไปกราบไหว้หลวงปู่ในวันนั้นต่างก็ขบคิดกันว่าหลวงปู่ให้โชคอะไรหนอ ต่างคน ต่างก็ตีเป็นตัวเลขตามที่จะคิดกันเอาเอง ปรากฏว่างวดนั้นหวยออก 842 แต่ทหารทั้งสี่คนได้กลับมาบอกว่าเขาไม่มีโชค เพราะซื้อไม่ถูกแม้แต่คนเดียว

10.ไปเอาพระไม้จากกัมพูชา

หลวงปู่ได้พาลูกศิษย์ไปกัมพูชาอีกครั้งหนึ่ง ในการไปครั้งนี้ มีลูกศิษย์ใหม่ จากบ้านตารางสวาย ตำบลดองกำเม็ด อำเภอขุขันธ์ ไปด้วยหนึ่งคน ชื่อ นายพล แหวนเงิน โดยให้เป็นผู้สะพายย่ามสะพายบาตรให้พระผู้ที่ไปในครั้งนี้นอกจากพระบัวพัน กับสามเณรเต่า สามเณรแดง เป็นผู้ติดตามเช่นเคย พอลงไปในเขตประเทศเขมร ก็ดิ่งตรงไปที่ป่าลึกแห่งใหม่ที่ไม่เคยไปมาก่อน เดินทางไปประมาณ 11 วัน อาหารการขบฉันเป็นเผือก มัน ที่มีอยู่ทั่วไป บางครั้งท่านก็รูดใบไม้ให้ฉันแต่ก็รู้สึกอิ่มไม่เหน็ดเหนื่อย คงมีกำลังวังชาแข็งแรงเหมือนปกติเดินผ่านป่าดงทึบ ที่มีแดดครึ้มแทบมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ พอถึงเที่ยงวันหลวงปู่พาหยุดพักข้างๆทางทุกวัน เป็นการหลบให้ทางสัตว์ร้าย เช่น เสือหรือหมี ที่มักจะเดินตามทางช่วงเที่ยงวัน พอบ่ายหน่อยกะว่าสัตว์ร้ายต่างๆผ่านไปแล้ว และได้หยุดพักพอมีกำลังออกเดินทางต่อเวลากระหายน้ำ ก็เอามีดไปตัดเครือไม้ขนาดใหญ่ มีน้ำไหลออกมาได้ดื่มกัน นับว่าธรรมชาติมีประโยชน์ต่อมนุษย์เรามาก ถ้าเรารู้จักใช้ชาวป่าจะรู้สึกดีว่าพืชไหนเป็นพิษและไม่เป็นพิษ และสามารถกำจัดสิ่งที่เป็นพิษนำมาใช้เป็นอาหารได้ รวมทั้งการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย แต่ทุกวันมนุษย์ได้ทำลายธรรมชาติเพื่อเป็นประโยชน์เฉพาะหน้า จึงทำให้ไม้ที่เป็นประโยชน์สูญพันธ์ไปอย่างน่าเสียดาย

เวลาประมาณบ่าย 4 โมง อากาศเริ่มเย็นลง ความมืดเริ่มปกคลุมป่า เสียงสัตว์ป่า เสียงนกหลายชนิดรวมทั้งแมลงร้องกันเซ็งแซ่ระงมไปทั่วทั้งป่า ชะนีส่งเสียงร้องอย่างโหยหวล สลับกับการคำรามของเสือโคร่งเจ้าป่าทำให้บรรยากาศที่เย็นอยู่แล้ว ยิ่งเย็นลงไปอีก หลวงปู่พาหยุดพักก่อกองไฟ หาเผือกหามันมาเผาฉันกัน เวลานอนทุกคนอยากจะนอนตรงกลางเพื่อน แต่การนอนกลางนั้นจะเป็นอันตรายมากกว่าคนที่นอนข้าง เพราะเสือนั้นเวลาจะคาบคนไปกิน มันจะคาบเอาคนนอนกลาง เพราะถือว่าเป็นคนขี้ขลาดสะดวกในการคาบเอาไปกิน ก่อนนอนทุกคนจะสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้าที่เจ้าป่าและสรรพวิญญาณทั้งปวง ในแต่ละคืนบรรดาลูกศิษย์จะผลัดกันนอนครั้งละสองคน ที่นั่งอยู่ก็จะคอยเติมฟืนให้ไฟลุกอยู่ตลอดเวลา ส่วนหลวงปู่ท่านจะนอนพักผ่อนผิงไฟจะลุกออกมานั่งบ้างในช่วงดึกที่อากาศหนาวจัด ถึงแม้ว่าอยู่กลางป่ามีสัตว์ร้ายมากมายก็ตาม แต่ก็ไม่มีเสือหรือสัตว์อื่นใดเข้ามาใกล้บริเวณที่คณะของหลวงปู่พักอยู่เลย

เดินทางไปประมาณ 11 วัน ไปพบปราสาทเล็กๆตั้งอยู่กลางป่า เป็นปราสาทที่ปรักหักพังลงไปบ้างแล้วแต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี รอบข้างปราสาทมีต้นไม้ขึ้นแทรกติดกับหินศิลาแลงที่ก่อขึ้นเป็นตัวปราสาททำให้มีรอยร้าวอยู่ทั่วไป หลวงปู่ได้เข้าไปองค์เดียว เป็นเวลานานทีเดียว พอท่านออกมาได้ถือเอาพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็กออกมาด้วย ทุกคนได้ขออนุญาตหยิบดู เป็นพระพุทธรูปที่แกะจากไม้มีน้ำหนักเบาขนาดหน้าตักประมาณ 3 นิ้ว หลังจากที่ได้พระพุทธรูปแล้วหลวงปู่ก็พากลับตามเส้นทางเดิม โดยพระพุทธรูปนั้นหลวงปู่เป็นผู้ถือ จนกระทั่งถึงกระท่อมบ้านจะบก หลวงปู่จึงได้มอบให้พระบัวพัน ซึ่งพระอธิการบัวพัน (ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านโป่ง ในปัจจุบัน) ได้ถือนำมาบูชาติดตัวอยู่ทุกวันนี้

พักอยู่บ้านจะบกประมาณ 2-3 วัน หลวงปู่ก็ได้เดินทางมาร่วมงานยกช่อฟ้าวัดหนองเชียงทูล อำเภอปรางค์กู่ ซึ่งจัดงานทำบุญยกช่อฟ้า ประมาณกลางเดือน มีนาคม พ.ศ.2529 อยู่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกเป็นเวลา 2 คืน ก็กลับมาพักที่วัดบ้านโป่งแล้วก็กลับไปที่บ้านจะบกตามเดิม

11.ตาสาตายไปแล้ว6คืน

เรื่องเล่ามาจากหลวงพี่ที่วัดจังหวัดพิษณุโลก

ตาสา อินทรี บ้านอยู่ไม่ไกลวัดไพรพัฒนา ตาสาเสียชีวิตไป6คืน เมียตาสาร่ำไห้เสียใจหมดที่พึ่ง จึงตั้งจิตระลึกถึงหลวงปู่สรวง

เทวดาเดินดินโปรดมาช่วยตาสาด้วยเถิด

เนื่องจากตาสาเป็นคนดี ตอนยังมีชีวิต เป็นคนซื่อสัตย์ซื่อตรงทำมาหากินสุจริต มีศีลมีธรรม เคยทำบุญใส่บาตร และเคยดูแลหลวงปู่สรวงมาตลอด ชอบอยู่สันโดด ไม่เคยทะเลาะกับใครๆ จึงทำให้หลวงปู่สรวงเมตตาตาสา

สุดท้ายตาสาก็ฟื้นคืนชีพ ตาสาเล่าว่า ตัวเองได้นอนอยู่ในสถานที่หนึ่ง หลวงปู่สรวงได้ปรากฏกายขึ้น ท่านยิ้มเดินเข้ามาไม่ได้พูดจาว่ากล่าวอะไร หลวงปู่เดินมาจับเท้า นวดเท้าให้ เข้ามาจับหัว แล้วก็เป่าหัวให้3ครั้ง

ปัจจุบันตาสายังมีชีวิตอยู่

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : www.หลวงปู่สรวง.net

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: