653. อภินิหารวิญญาณหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

อภินิหารวิญญาณหลวงปู่ศุข
ประสบการณ์ของ หลวงศุภชลาศัย
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริงจากคำบอกเล่าของ ท่านนาวาเอกหลวงศุภชลาศัย (บุง ศุภชลาศัย) หลายท่านเมื่อได้ยินชื่อของ หลวงศุภชลาศัย คงนึกถึงสนามศุภชลาศัยกรีฑาสถานแห่งชาติ

จึงขอกล่าวประวัติโดยย่อให้ทราบว่า หลวงศุภชลาศัย ท่านเคยรับตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษาคนแรก และเป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑ ในส่วนความเกี่ยวข้องว่าเหตุใด ท่านหลวงศุภชลาศัย มารู้จักเกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้อย่างไร ?

เดิมทีคุณหลวงศุภชลาศัย ท่านเคยติดตามถวายงาน เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ นับเป็นหนึ่งในฅนสนิทและเคยดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการทหารเรือ ท่านได้สมรสกับ หม่อมเจ้าจารุพัตรา อาภากร พระธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กล่าวกับให้เข้าใจง่าย ๆ แบบชาวบ้านก็ คือ เป็นลูกเขยของเสด็จในกรมฯ

สนใจศึกษาเวทย์มนต์คาถา
หลายท่านอาจยังไม่รู้เรื่องราวในอีกแง่มุมหนึ่งของ ท่านหลวงศุภชลาศัย ว่าแม้นท่านจบการศึกษาขั้นสูงในสมัยนั้น แต่ท่านก็เป็นผู้หนึ่งซึ่งสนใจในทางจิตศาสตร์เวทย์มนต์คาถา ทั้งเชี่ยวชาญการแพทย์แผนไทพื้นบ้านอีกด้วย

เหตุที่ท่านเคยติดตามใกล้ชิดเสด็จในกรมฯ ทำให้ท่านสนใจ และซึมซาบศาสตร์เหล่านี้มาไม่น้อย ทราบว่าคุณหลวงท่านได้ติดตามเสด็จในกรมฯ ไปกราบขอเป็นศิษย์ศึกษาวิชาจากหลวงปู่ศุขด้วย ทั้งวิชาไสศาสตร์และวิชาแพทย์แผนไทพื้นบ้าน

ต่อมาท่านศึกษาวิชาแพทย์ต่อกับเสด็จในกรมฯ ทั้งศึกษาวิชาจากแพทย์หลวง และวิชาแพทย์ตะวันตกเพิ่มเติมด้วย หลวงปู่ศุขท่านเรียกคุณหลวงติดปากว่า **ไอ้หมอ** ทุกคราว เป็นอันรู้กันว่าท่านหมายถึง หลวงศุภชลาศัย ทราบว่าคุณหลวงท่านเป็นผู้มีจิตและวิชาดีผู้หนึ่ง ท่านเรียนวิชาหุงน้ำมันงาเดือดจากเสด็จในกรมฯ และสามารถทำวิชาได้สำเร็จ โดยใช้น้ำมันงานมานั่งเสกด้วยคาถาที่กลางแจ้งตอนเที่ยงวันโดยไม่ต้องก่อไฟ ท่านภาวนาไปเรื่อยจนน้ำมันงานในขันเดือนเป็นพรายฟองปุด ๆ ขึ้นมาเป็นอันใช้ได้

¤ ยามว่างสงเคราะห์ผู้ฅนด้วยวิชา ¤
คุณหลวงศุภชลาศัยท่านเป็นศิษย์มีอาจารย์ดี ท่านนำวิชาที่เรียนรู้มาช่วยเหลือผู้ฅนตามสมควร ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยชรา หากมีเวลาว่างหรือมีผู้มาขอความช่วยเหลือ คุณหลวงท่านจะเมตตาสงเคราะห์โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ท่านปฏิบัติตนในแนวทางของ เสด็จในกรมฯ เมื่อคราวเป็นหมอพรนั่นเอง ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากคุณหลวง เช่น กวาดคอเด็ก, สูญฝี, เป่างูสวัส ไปจนถึงรักษาผู้ถูกคุณไสยก็เคยมีมาขอท่านช่วยเหลือเช่นกัน สำหรับน้ำมันงาเสกจนเดือดนั่น ท่านนำมารักษาโรคคอตีบ หรือเจ็บคอที่ปัจจุบันเรียกว่า ต่อมทอมซินอักเสบ ได้หายมาหลายราย

โดยท่านนำน้ำมันงาเสกกวาดลงไปในลำคอ ไม่นานผู้ป่วยจะมีเสมหะออกมาอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แสดงให้เห็นถึงอำนาจจิตและคุณวิเศษของวิชาอาคม ว่าในสมัยก่อนเรื่องราวเหล่านี้มีอยู่จริง ที่สำคัญผู้เรียนวิชามาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในสมัยก่อนเขาทำด้วยใจ

เรียกว่าช่วยแบบให้เปล่าทำด้วยเมตตาจึงมีแรงครูค่อยช่วยคอยเสริมอีกทาง เรื่องของจิตวิญญาณทิพย์ของครูบาอาจารย์นี้ หลวงศุภชลาศัย ท่านเคยบอกเล่าประสบการณ์นี้ให้ฅนใกล้ชิดฟัง ทั้งสั่งกำชับลูกหลานเสมอว่า ดวงวิญญาณทิพย์ของ หลวงปู่ศุข เกสาโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า นี้สำคัญนัก ใครจะล่วงเกินลบหลู่ไม่ได้เลย ดังเรื่องราวที่คุณหลวงท่านประสบมาด้วยตนเองดังต่อไปนี้

ประวัติบานประตูมณฑปโดยสังเขป
บานประตูมณฑปนี้ แกะสลักโดยช่างชาวจีนไหหลำ ค่าจ้างทำในราคาบานละ ๕๐๐ บาท ใช้ช่างทำ ๔ ฅน ที่โรงเลื่อยเจ๊กลี่ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ต่อเมื่อช่างแกะบานประตูเสร็จครบทุกบานแล้ว

พวกช่างได้นำเครื่องมือที่ใช้แกะสลักทั้งหมดทิ้งน้ำ ที่บริเวณหน้าวัดปากคลองมะขามเฒ่านั้นเอง (เหตุผลที่ทำเช่นนี้ด้วยเขาถือว่างานแกะสลักนี้ ช่างทุ่มเททำสุดกำลังฝีมือที่สุดแล้ว และจะไม่ทำการแกะสลักงานเช่นนี้อีกแล้ว เรียกว่าขอทำเป็นงานสุดท้ายฝากไว้ในแผ่นดิน เมื่องานสำเร็จแล้วใครสั่งแกะสลักเช่นนี้อีกเขาไม่รับทำอีกจึงทิ้งเครื่องมือ) บานประตูนี้จัดว่าผู้สร้างมีศรัทธาแรงกล้า

หลวงปู่ศุขท่านเป็นห่วงบานประตูมณฑปมาก ก่อนมรณภาพ ๑๐ วัน ท่านชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าอันเวิ้งว้างแล้วเปรยกับหลวงพ่อปลื้มพระน้องชายท่านว่า **เขามานิมนต์ข้า แต่ข้ายังไม่ไป ประตูมณฑปยังไม่เสร็จอีกบานหนึ่ง** กล่ากันว่า เมื่อช่างทำบานประตูมณฑปเสร็จพอดีแต่ยังไม่ทันได้ติดตั้ง หลวงปู่ศุขท่านก็มรณภาพลงอย่างสงบเมื่อเดือนยี่ แรม ๑ ค่ำ ปีกุน ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๖

ดวงจิตยังห่วงใยอาวรณ์
ข้อมูลที่ข้าพเจ้านำเสนอต่อไปนี้ ได้ทราบจากคำบอกเล่าของ คุณนวลตา หาญสมบูรณ์ ท่านเคยไปเป็นเภสัชอยู่ที่โรงพยาบาลที่ จ.ชัยนาท สนิทสนมคุ้นเคยได้รับความเมตตาจาก นายแพทย์ สํานวน ปาลวัฒน์วิไชย ซึ่งท่านเป็นแพทย์ใหญ่อยู่ ณ ที่นั้น นพ.สำนวน ผู้นี้เมื่อนอกเวลางานท่านจะมีรถจักรยานคันหนึ่ง ด้านหลังรถจะมีกระเป๋าเครื่องมือแพทย์และยาต่าง ๆ ท่านจะจูงรถจักรยานไปในหมู่บ้าน เมื่อมีใครเจ็บป่วยจะออกมาเรียกคุณหมอให้ช่วยรักษา

ซึ่งการออกตรวจรักษานี้คุณหมอทำโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ชาวบ้านจึงรักนับถือคุณหมอแทบทั้งหมด นพ.สำนวน ท่านเป็นผู้สนใจสะสมพระเครื่องและนับถือหลวงปู่ศุขมาก ชาวบ้านเมื่อเห็นท่านไม่รับเงินค่าตอบแทน บางรายเขาก็มอบพระเครื่องของหลวงปู่ศุขให้ท่าน เหตุนี้คุณหมอจึงมีพระเครื่องของหลวงปู่ศุขเป็นจำนวนมาก ทั้งได้ทราบเรื่องราวเกร็ดเล็ก ๆ เกร็ดน้อยต่าง ๆ ต่อมาท่านได้รวบรวมจัดทำเป็นหนังสือประวัติของหลวงปู่ศุข

ทราบว่าภายหลังหลวงปู่ศุขมรณภาพไปแล้วนานหลายปี ได้มีฅนร้ายแอบเข้าไปลักขโมยนำเอาบานประตูมณฑปแกะสลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลวงปู่ศุขท่านสนใจและห่วงใยเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนมรณภาพ โดยฅนร้ายได้นำไปขายให้พวกรับซื้อของเก่าหลายเจ้า แต่ไม่มีร้านใดในเขตใกล้เคียงรับซื้อ ด้วยอานุภาพของหลวงปู่ศุขบานประตูที่ถูกขโมยไปนี้ ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดก็มักเกิดเหตุแปลก ๆ สร้างความหวาดกลัวให้ผู้ครอบครอง

บานประตูนี้จึงถูกขายต่อไปอีกหลายเจ้า ต่อมาทางวัดได้ทำพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงปู่ศุข ขอให้ช่วยติดตามฅนร้ายหรือขอให้ได้บานประตูคืน ปรากฏว่าหลวงปู่ศุขไปเข้าประทับร่างเจ้าทรงทางนครสวรรค์ แล้วมาที่วัดมะขามเฒ่า หลวงปู่ศุขได้เข้าประทับทรงอีกครั้งได้สั่ง นายอำเภอสุธี โอบอ้อม และทายกวัดว่า ขณะนี้บานประตูมณฑปที่ถูกขโมยไปนั้น ไปถูกขายต่อไป กรุงเทพฯ ให้คณะลงไปติดตาม

หลวงปู่ศุขประทับทรง
เมื่อคณะติดตามลงมาถึงกรุงเทพฯ ได้เข้าติดตามดูร้านขายของเก่าในย่านมหานาค เป็นสถานที่ซึ่งหลวงปู่ศุขท่านบอกไว้ จนได้พบกับบานประตูดังกล่าวจริงจามที่ดวงวิญญาณท่านบอกไว้ แต่เจ้าของที่รับซื้อไว้บอกขายในราคาที่แพงมาก ทางคณะมีปัจจัยไม่พอ ทั้งนี้หลวงปู่ศุขท่านได้สั่งห้ามไว้ก่อนไม่ให้เป็นคดีความ เพราะจะเป็นกรรมสืบเนื่องกันต่อไปไม่จบสิ้น

ด้วยผู้รับซื้อไม่มีเจตนาทุจริตคิดร้ายแต่รับซื้อไว้ด้วยความไม่รู้ เมื่อคณะที่ลงมาติดตามมีปัจจัยไม่พอจึงปรึกษากัน ในช่วงที่คณะคิดหนักหาทางอยู่โดยไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จู่ ๆ มีเด็กชายเล็ก ๆ ผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้โรงกลั่นสุรา บางยี่ขัน เกิดอาการประหลาด เป็นลมหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นได้ประกาศว่าตน คือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ให้ฅนมาตามคณะของวัดท่านที่มาพักอยู่ไม่ไกลจุดนั้น

เมื่อคุณหลวงเจอดี
เมื่อคณะวัดมะขามเฒ่ามาถึง หลวงปู่ศุขในร่างประทับทรงซึ่งเป็นเด็กเล็กอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบปี แสดงอาการอย่างฅนชรานั่งกินหมากสูบบุหรี่ใบตองได้เหมือนผู้ใหญ่ หลวงปู่ศุขเมื่อเห็นคณะศิษย์มาถึงในที่นั้น ท่านสามารถทักชื่อศิษย์ได้ถูกทุกฅน ทั้งสั่งให้คณะรีบหาปัจจัยไปซื้อเอาบานประตูกลับมา ด้วยชาวจีนเจ้าของร้านเห็นมีพูดไปทวงถามเอาบานประตู เห็นท่าไม่ดีกลัวความผิดจึงไปติดต่อชาวต่างชาติ เพื่อขายบานประตู่นี้ออกไปต่างประเทศ

โดยหลวงปู่ศุขท่านสั่งให้ฅนไปตามหลวงศุภชลาศัย ให้มาพบท่านเป็นการด่วนที่สุด เมื่อมีผู้รู้จักนำความมาบอกคุณหลวง ทั้งเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้คุณหลวงฟังว่า หลวงปู่ศุขท่านไปเข้าประทับทรงเด็กน้อยผู้หนึ่ง แล้วสั่งให้มาตามคุณหลวงไปพบท่านเป็นการด่วน ด้วยมีเรื่องสำคัญให้คุณหลวงช่วยเหลือ เมื่อคุณหลวงได้ยินดังนี้ท่านถึงกับหัวเราะออกมา ทั้งพูดกล่าวแบบไม่เชื่อถือว่า

หลวงศุภชลาศัย :

**เป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี ด้วยก่อนหลวงปู่ศุขมรณภาพ ท่านเคยพูดกับคุณหลวงว่า หากท่านมรณภาพแล้วจะไม่มาเกิดอีก**

เหตุนี้ หลวงศุภชลาศัย ท่านจึงเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ศุขท่านสำเร็จธรรมขั้นสูง จึงไม่มีทางที่ท่านมาเข้าประทับทรงเด็กเมื่อวานซืนเช่นนี้ ความที่คุณหลวงท่านนึกโกรธเคือง เข้าใจว่าเด็กหรือพ่อแม่อาจคิดทุจริตมิชอบ นำเอาหลวงปู่ศุขมาแอบอ้างในทางไม่สมควรดังนี้ คุณหลวงจึงตัดสินใจขับรถยนต์มาพิสูจน์ด้วยตนเอง ซึ่งในขณะนั่งอยู่ในรถยนต์ช่วงที่เดินทางมาพบ หลวงศุภชลาศัย ท่านหันไปพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกันด้วยอารมณ์ขุนเคืองว่า

**หากไม่จริงฉันจะเตะไอ้เด็กนี่ให้คว่ำเลย มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง**

ปรากฏว่าเมื่อคุณหลวงเข้าไปพบ ขณะนั้นหลวงปู่ศุขเข้าประทับทรงรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหลวงก้มลงนั่งยังไม่ทันตั้งตัว หลวงปู่ศุขซึ่งอยู่ในร่างทรงเด็กชายก็ลุกขึ้นเตะที่ใบหน้าคุณหลวง โชคดีที่เตะด้วยปลายเท้าถากไปโดยแว่นตาหลุดกระเด็น แล้วหลวงปู่ศุขในร่างทรงก็พูดขึ้นว่า

หลวงปู่ศุขในร่างทรง :

**ไอ้หมอไหนมึงว่าจะมาเตะกูไม่ใช่หรือ งั้นกูขอเตะมึงก่อนเพื่อสั่งสอนที่ปากกล้าท้าทาย**

เมื่อหลวงศุภชลาศัยท่านเห็นท่าทางทีที่แสดงออก อีกทั้งการพูดจาของร่างทรงที่เกินวิสัยเด็ก รวมถึงสามารถเรียกชื่อจำเพาะที่หลวงปู่ศุขใช้เรียกคุณหลวงได้อย่างไม่ผิด แน่นอนว่าต้องเป็นดวงวิญญาณทิพย์ของหลวงปู่ศุขมาประทับทรงเป็นแน่ คุณหลวงถึงกับก้มกราบน้ำตาไหลซึมออกมาด้วยความดีใจ

หลวงปู่ศุขท่านจึงแจ้งให้ทราบเหตุที่ท่านต้องมา ท่านขอให้คุณหลวงช่วยเป็นธุระรวบรวมปัจจัยทั้งติดตามบานประตูนี้คืนกลับวัดด้วย คุณหลวงได้นำปัจจัยไปซื้อบานประตูออกมา ทั้งสัญญากับเจ้าของว่าจะไม่ดำเนินคดีเอาผิด

สุดท้ายบานประตูได้คืนสู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทางวัดคงเก็บรักษาบานประตูมณฑปตราบเท่าทุกวันนี้ ทราบว่าภายหลังบานประตูกลับสู่วัดแล้ว หลวงปู่ศุขท่านก็มิได้มาเข้าประทับทรงเด็กชายอีก เรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังนี้เพื่อบอกในสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และให้ทราบว่าบางเรื่องที่เหนือกว่าทฤษฏี หรือเกินคำอธิบายในตำราก็มีที่เกิดขึ้นจริง

ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้ท่านผู้สนใจได้ศึกษาดังนี้ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่นั้นตามแต่วิจารณญาณ ข้าพเจ้ามีหน้าทีเพียงนำเสนอเพียงเท่านั้น ที่เหล่าท่านต้องให้ใจคิดแลตัดสินใจเองว่า ท่านได้คำตอบในใจหรือบทสรุปของเรื่องราวนี้อย่างไร

ที่มา ฅนขลัง คลังวิชา

นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: