2020. อย่าล้อเล่นกับ “เวรกรรม”

แม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง แต่เป็นเรื่องที่แม่ฟังมาจากยายอีกทีนึงนะคะ (แลดูนาน) แต่มันเป็นเรื่องจริงที่หมู่บ้านเราค่อนข้างจะเชื่อเรื่องนี้ เรื่องมีอยู่ว่า วัดในหมู่บ้านเราเป็นวัดป่า ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเรื่องลี้ลับมากมาย แต่ มีอยู่เรื่องนึงที่เป็นที่เลื่องลือกันจนปัจุบัน นั่นคือ “เปรตยายแสง” ในวัดนั้นจะมีต้นตาลอายุหลายสิบปี ที่เก่าแก่มากอยู่หลายต้น แต่จะมีอยู่ต้นนึงที่มีเครื่องเซ่นไหว้เต็มไปหมด

แม่เล่าให้ฟังว่า ยายแสงแกเป็นคนที่ขี้เหนียวมากกก ชนิดที่ว่า แค่ต้นหญ้าอยู่ในรั้วบ้านแกก็หวง(อันนี้จากปากแม่จริงๆ) แกเป็นคนค่อนข้างมีฐานะในสมัยนั้นค่ะ เพราะบ้านแกเป็นบ้านหลังแรกที่มีโทรทัศน์ หรือสมัยนั้นแม่บอกว่า เขาเรียก วิทยุภาพ แกหวงของแกมาก ไม่เคยแบ่งปันให้ใครได้ดูด้วยเลย หวงของทุกอย่าง น้ำก็ไม่ให้ใครกิน แกอยู่คนเดียวค่ะ เพราะผัวแกพึ่งตายไปไม่นาน แม่บอกว่า ขนาดผัวแกตายแกยังไม่นิมนต์พระเลยค่ะ แกว่าเปลือง ตอนนั้นเราฟังก็คิดในใจ (โถ่เอ้ย!! มนุษย์ป้า อิอิ)

แกไม่ยอมทำบุญทำทาน คิดว่าการทำบุญไม่จำเป็น แกด่าทุกคน คนแก่ พระ เด็ก หมา ด่าหมด ออกแนว ยายปริกเรื่องหลวงพี่ผีขนุนค่ะ แต่แกหนักกว่านั้นเยอะ วันนึงแกคงอยากกินขนมตาลมั้งคะ แกก็ไปเลยค่ะ หาลูกตาลมาทำขนม แต่ไม่รู้แกคิดอะไรอยู่มุ่งหน้าไปที่วัดค่ะ ตอนนั้นต้นตาลคงยังไม่สูงมาก แกเอาไม้สอยเลยค่ะ ไม่สนใจเลยว่าพระจะยืนกวาดลานอยู่ พอได้สมใจแล้วแกก็กลับบ้านน่าตาเฉย ที่รู้เพราะตอนนั้นเป็นวันที่ชาวบ้านจะมาปฏิบัติธรรมที่วัดกันค่ะ สมัยยายสาวๆก็ไป ชาวบ้านเห็นกันหมด ก็พูดอะไรไม่ได้ค่ะ คงเอือมระอากัน ทั้งๆที่ทุกคนรู้ว่าแกทำขนมตาล แต่ไม่เคยมีใครได้กินเลย (ของมันแน่อยู่แล้ว555)

มีคนบอกให้แกเอาไปถวายวัดบ้างเพราะเอาลูกตาลมาจากวัด แกด่ากราดเลยค่ะ หลบกันแทบไม่ทัน แต่อยู่มาไม่นานแกเกิดล้มป่วยค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าแกป่วยเพราะอะไร ป้าของยายเราค่ะ เข้าไปดูใจก็กลัวแกจะไล่กระเจิงออกมา แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนบ้านกัน เมื่อเข้าไปดูสภาพที่เห็นคือ ยายแสงนอนโทรมมาก เหมือนไม่ได้กินข้าวค่ะ แกเห็นป้าของยาย(ขอแทนว่ายายบุญนะคะ) แกไม่ด่าค่ะ แกบอกว่าหิวน้ำเอาน้ำให้แกกินหน่อย ยายบุญเลยไปตักน้ำมาให้ค่ะ

ยายบุญมาเล่าให้ยายฟังที่หลังว่า ในครัวยายแสง มีของกินเต็มไปหมด มีทุกอย่างเลย หลังจากที่ตักน้ำมา ยายบุญก็ค่อยๆพยุงยายแสงขึ้น เพื่อจะให้กินน้ำ ยายแสงกินเข้าไปได้อึกเดียวก็บ้วนทิ้งค่ะ ด่ายายบุญอีก ว่าเอาแกลบมาให้กิน ยายบุญก็งงค่ะ ว่าในมือก็ถือขันน้ำอยู่แท้ๆทำไมถึงว่าเอาแกลบมาให้กิน ยายแสงไล่ยายบุญออกจากบ้านค่ะ แถมยังพูดว่าอย่าขโมยของๆกูไปล่ะ กูจับได้ก็เอาตายแน่ๆ

ได้ยินแบบนั้นด้วยความโมโหยายบุญเลยพูดกลับไปว่า จะตายห่าอยู่แล้ว ยังไม่เลิกหวงของเลย ทำบุญบ้างเถอะยายแสง ตายไปเดี๋ยวก็ไม่มีอะไรกินหรอก ยายแสงตอบทันทีว่า ตายไปของกินกูก็มีเยอะแยะ ทำทำไมบุญทาน ทำไปก็ไม่ถึงกูหรอก พระ…หมด (ฮู้ย!!แรง)

ยายบุญโมโหเลยพูดไปว่า ขี้กลากจะกินปากตายไปเดี๋ยวก็เป็นเปรต ยายแสงตอบกลับว่า เออ กูไม่กลัวหรอก ตายไปกูจะเป็นเปรตอยู่ที่วัดนั่นแหละ คอยขวางพวก ออกไป๊!!!! ยายบุญ รีบออกจากบ้านมาที่บ้านยายเราแล้วเล่าให้ฟัง ยายบุญยังพูดต่อนะว่า แหม!!ฉันละโมโหมันจริงไ อุตส่าห์เข้าไปดูแท้ๆ คอยดูเถอะมันตายไปไม่ได้ผุดได้เกิดหร๊อก!!!

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็ไม่มีใครเห็นยายแสงอีกเลยค่ะ จนชาวบ้านสงสัยเลยไปดูที่บ้าน แค่เข้าไปในบริเวณบ้านกลิ่นเหม็นคุ้งเลยค่ะ พอเข้าไปในตัวบ้านก็ไม่เจอยายแสง จึงเดินตามหากันทั่วบ้าน จนไปเจอ ยายแสงนอนตายอยู่ในห้องครัวค่ะ(ฟังถึงตอนนี้เราคิดในใจละ ขนาดจะตายแล้วยังเฝ้าของเลย เมื่อชาวบ้านเห็นแบบนั้นก็รีบไปตามสัปเหร่อมาเอาศพยายแสงไปทำพิธี (กู้ภัยสมัยนั้นก็สัปเหร่อนี่แหละค่ะ)

เมื่อสัปเหร่อมาถึงก็ทำพิธีหลายขั้นตอน ตอนที่มัดตราสังข์ ก็ปกติทุกอย่าง แต่ตอนที่จะเคลื่อนศพออกจากบ้าน มือที่มัดตราสังข์ไว้เกิดหลุดค่ะ จึงได้ทำการมัดใหม่ เป็นอยู่แบบนี้ประมาณ 3 รอบ จนสัปเหร่อคงทนไม่ไหว เลยบอกว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่จะเผาอยู่นี่แหละเผาทั้งบ้านนี่แหละ พูดจบกลิ่นมาเลยค่ะ จากที่เหม็นแล้ว คราวนี้เหม็นหนักกว่าเดิม จนชาวบ้านที่ยกศพทนไม่ไหว วางศพแล้ววิ่งออกไปอ้วกกันเลย สัปเหร่อ จึงไปเชิญหลวงพ่อที่วัด ให้มาช่วยนำศพออกจากบ้าน(ไม่ได้ให้มายกศพนะคะ นิมนต์มาสวดค่ะ อิอิ)

หลวงพ่อมาถึงก็สวดบทอะไรสักอย่างแล้วพูดส่งท้ายว่า อาตมาช่วยได้แค่นี้นะโยมแสง ต่อไปคงแล้วแต่เวรแต่กรรมที่สร้างมานะ แล้วชาวบ้านก็เอาศพออกจากบ้านได้ปกติ เมื่อไปถึงที่วัดก็จัดพิธีทำศพแบบตามมีตามเกิด เพราะสมบัติแกมีเยอะแต่ไม่เคยแบ่งปันให้ใคร แล้วก็ไม่รู้ว่าแกเอาไปไว้ไหน เพราะให้คนในหมู่บ้านไปหาดูที่บ้าน ก็ไม่เจอของมีค่าอะไรเลย งานศพจัดยังไงอันนี้ไม่ทราบค่ะ เพราะแม่ไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดตรงนั้น รู้แค่ว่า วันที่เผาศพ สมัยก่อนเค้าจะเรียกว่าเผาแบบเชิงตะกอน ตอนที่ไฟกำลังไหม้ร่างยายแสง อยู่ดีๆชาวบ้านได้ยินเสียงคนร้องกรี๊ดขึ้น

ยายเล่าให้แม่ฟังว่า ได้ยินกันทั้งหมู่บ้านค่ะ ขนาดยายนั่งอยู่ที่บ้านยังได้ยิน ไปเสียงร้องกรี๊ดที่แหลมมาก เหมือนทรมาน ดังอยู่ประมาน สามสี่ครั้งแล้วก็เงียบไป แต่ตกตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงแบบนี้อยู่บ่อยๆค่ะ โดยเฉพาะบริเวณวัด จะได้ยินชัดเจนมาก ชาวบ้านต่างพากันกลัว เลยไปหาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเลยบอกว่า นี่แหละโยมผลกรรมของการทำไม่ดี คิดไม่ดี

ตอนนี้โยมแสงได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อแล้ว หลวงพ่อพูดขึ้นมาแบบนี้ ชาวบ้านยิ่งกลัวกันใหญ่เพราะปกติ ยายแสงแกเป็นคนที่น่ากลัวอยู่แล้ว นี่ตายไปแล้วจะยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่ ยายเล่าว่าตอนนั้นไม่มีใครกล้าออกจากบ้านเลยค่ะ จากปกติเคยไปไร่ไปนากลับมืดๆค่ำๆ เดี๋ยวนี้ พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินก็กลับแล้วค่ะ

เพราะมีชาวบ้านคนนึง ไปนอนที่กระท่อมหน้า (เป็นเรื่องปกติของชาวนาค่ะ) ซึ่งนาของเขาติดกับวัดค่ะ และกระท่อมก็อยู่ไม่ไกลจากวัดมากนัก ระหว่างที่กำลังนอนอยู่ รู้สึกเหมือนแผ่นดินไหว เพราะมันสะเทือน เลยลืมตาดู เห็นเป็นขาเหี่ยวๆดำๆ ใหญ่ ก้าวข้ามกระท่อมนาแล้วเดินไป ตาคนนั้นตกใจมากค่ะ นั่งสวดมนต์อยู่ในกระท่อมนาเพราะคิดว่าโดนแน่ๆ

สักพักเสียงเงียบไป แต่พอลืมตาขึ้นมาเท่านั้นแหละ เห็นใบหน้าใหญ่ ดำ เหี่ยวย่น มีกลิ่นเหม็น ก้มลงมาจ้องหน้าเขาอยู่คิดภาพคนตัวสูงๆก้มลงมองอะไรเล็กๆนะคะ แบบนั้นเลย เขาสติแตกวิ่งร้องตะโกนจากนามาในหมู่บ้านว่า เปรตยายแสงเล่นกูแล้ว เปรตยายแสงหลอกกูแล้ว ระหว่างนั้นหันไปมองว่าจะตามมามั้ย เห็นยายแสงเดินหายเข้าไปในต้นตาลที่วัดค่ะ แค่นั้นแหละ วิ่งไม่คิดชีวิตเลย

หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ยิ่งทำให้ชาวบ้านกลัวกันเข้าไปใหญ่ ตาคนนั้นไม่สบายเลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดสมัยนั้น น่าจะเรียกว่า จับไข้หัวโกร๋น และมีอีกหลายๆคนที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน คือเห็นยายแสงเดินเข้าไปในต้นตาล จึงมีการนำเครื่องเซ่นไหว้ ไปไหว้ต้นตาลต้นนั้น เวลาผ่านไป เรื่องของเปรตยายแสงเริ่มซาลง จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่เล่าให้ฟังว่า เป็นวันอาสาฬหบูชา ทุกคนก็ไปเวียนเทียนที่วัดกันปกติ ผู้ชายคนนึงตอนนั้นอายุประมาน 17-18 มาจากกรุงเทพ แม่ได้ยินเขาพูดกับเพื่อนในหมู่บ้านว่า เฮ้ย

พวกเอ็งอยากเจอเปรตมั้ย ข้ามีวิธี เขาเอาข้าวต้มมัดออกจากถุงเอาเชือกผูกไว้ที่เอว แล้วพูดต่อว่า ข้ารู้มาว่าถ้าเราทำแบบนี้แล้ววิ่งรอบโบสถ์สวนทางกับคนกำลังเวียนเทียน เราจะเห็นผีเปรตมันจะมาเอาข้าวต้มเรา555 เอ็งอยากเห็นมั้ย ทุกคนในหมู่บ้านนั้นต่างเคยได้ยินประวัติของเปรตที่วัดแห่งนี้มาทั้งนั้นเลยไม่มีใครกล้า แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่หยุด พูดจ่ออีกว่า โถ่ ไอ้พวกปอดแหก ข้าจะทำให้ดู ระหว่างที่แม่กับยายและชาวบ้านกำลังเวียนเทียนอยู่ ผู้ชายคนนี้ก็วิ่งรอบโบสถ์เลยค่ะ วิ่งสวนทางแม่เราไป สักพักนึงได้ยินเสียงคนร้องแม่บอกว่า เสียงหลงเลยค่ะ แล้ววิ่งรอบวัดเหมือนหาทางออกไม่เจอ วิ่งวนอยู่ในวัดเลยค่ะ

ชาวบ้านพากันวิ่งไปจับตัวเพื่อจะถามว่าเป็นอะไร เมื่อจับตัวเขาไว้ได้แล้ว เขาพูดประโยคเดียวเลยค่ะ ว่า กลัวแล้วว กลัวแล้วว แม่กับยายมองหน้ากันแล้วเดินกลับบ้านเลยค่ะ รุ่งเช้าก็ไปทำบุญที่วัดกันปกติ ในศาลาวัดชาวบ้านก็พูดถึงเรื่องเมื่อคืนกันไม่หยุดปาก ยายของผู้ชายคนนั้นเล่าให้ฟังว่า หลานฉันมันบอกว่า ตอนที่วิ่งเสร็จมันไปยืนอยู่หน้าโบสถ์ มันเห็นคนตัวสูงๆ ก้มหน้ามาแล้ว ส่งเสียงร้องวี๊ดดดดด ใส่หน้ามัน แล้วมันก็เริ่มวิ่ง แต่วิ่งไปทางไหนก็เจอคนตัวสูงใหญ่ก้มหน้าแล้วร้องวี๊ดดดใส่ตลอด และผู้ชายคนนั้นเหมือนคนเสียสติไปเลยค่ะ จะหวาดระแวงทุกครั้งเวลาเดินผ่านวัด หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าลองดีอีกเลย

ด้วยความที่เราสงสัย เลยถามแม่กลับไปว่า แล้วบ้านยายแสงล่ะแม่ ใครอยู่ แม่บอกว่า ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับบ้านยายแสงเลย แค่เข้าไปใกล้ๆนะเหม็นคุ้งไปหมด แต่ปัจจุบันบ้านยายแสงยังมีอยู่นะคะ เป็นบ้านไม้ ที่สภาพเก่าไปตามกาลเวลา มีป่ารกทึบขึ้นแทบมองไม่เห็นตัวบ้านเลยค่ะ อยู่ท้ายหมู่บ้านเรา แต่มีทางลึกเข้าไปอีก มีคนสรรจรไปมาค่ะ เพราะเรื่องนานมาแล้วเลยไม่มีคนคิดอะไร แต่ปัจจุบันต้นตาลต้นนั้นยังอยู่ ถึงแม่เวลาจะผ่านมานานมีการบูรณะวัดมานักต่อนัก แต่สิ่งที่ยังอยู่ที่เดิมและยังคงเดิม คือต้นตาลที่ที่เป็นที่อยู่ของ เปรตยายแสง และเราเชื่อว่า ยายแสงก็ยังคงชดใช้เวรกรรมอยู่อย่างนั้น ดังที่เคยพูดไว้ ว่า “กูไม่กลัวหรอก ตายไปกูจะเป็นเปรตอยู่ที่วัดนั่นแหละ คอยขวางพวกมีงไง”

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : Pantip (โดย ของเล่นสีชมพู)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของรูปด้วยครับ

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: