2635. ศึกไสยเวทย์ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

ศึกไสยเวทย์ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัดหลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร

หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพันการมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์

ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์

ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้ในคืนนั้นขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิสิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อนให้พรแก่ญาติโยมนี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม

เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมาคืนต่อมาในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง “มันมาอีกแล้ว”

ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืดถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเองเมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้ามในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า

หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้ในคืนนั้นเองหลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ

ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้

และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่านสิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคมท่านให้มันออกมาทางปาก

ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ “พ่อหลวงจะทำอะไร” ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า “ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”

เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืนแต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้

หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาดเพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้นความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคนฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ

ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคนตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที

หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว

หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๓

เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราชหลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมายด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน

สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกันด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน

วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลายความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่าน

จนปัจจุบันนี้การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า “สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกันแต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา

เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป

เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีกด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกันขอบคุณที่มา ธรรมะเกตเวย์

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: