2491.ประสบการณ์ตายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

ประสบการณ์ตายของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
โดย…หลวงพ่อ พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

สมัยหลวงพ่อปาน อายุ ๓๘ ปี ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้้มีความดี ประกอบไปด้วยความเมตตาปราณี ท่านเป็นพระที่ช่วยป้องกันคนอื่นมามากก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่า…กฏของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้

วันหนึ่งหลวงพ่อปาน ไปที่วัดประตูสาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตก ของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นทางที่จะไปวัดป่าเลไลย์ในสมัยนั้นตอนเย็นท่านเข้าไปอาบน้ำ ในห้องน้ำ ก็ถอดอังสะ อังสะของท่านมีพระเครื่องอยู่ด้วย แล้วท่านก็ล้มลุกไม่ได้ ท่านถูกบังฟัน (เป็นวิชาไสยศาสตร์)

เขาใช้คาถา ตั้งใจจะฟันคนไหน เขาก็ฟันผัก ฟันฟักแฟงก็ตาม เขาก็ว่าคาถาจะฟันให้ถูกตรงนั้นเขาฟันวัตถุแต่แผลมันปรากฏในร่างกาย ผิวหนังภายนอก ไม่ปรากฏรอยแผล

ท่านถูกบังฟัน เป็นแผลยาวในอกข้างใน และยังเป็นรอยนูน ผลที่สุด ก็ต้องหามกันลงเรือแจว หลวงพ่อปาน เวลาไปไหน ท่านใช้เรือสัมปันนี มีเก๋ง ทาสีขาวทั้งลำ มีคนแจวหัวแจวท้าย ในขณะนั้นท่านมีอาการใกล้ปางตาย ท่านขอร้องให้พาท่านกลับวัด

พอมาถึงวัดบางซ้ายใน ปรากฏว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านบอกให้แวะเข้าไปที่วัดบางซ้ายในก่อนให้หามท่านขึ้นไปบนศาลา ก็อาศัยศาลาท่าน้ำนอนอยู่ แล้วให้ไปตามอาจารย์จาบ เป็นหมอและเป็นเพื่อนท่าน ต้องใช้ม้าไปรับกัน ในสมัยนั้นที่บางบาล มันไกลมาก

ก๋งจาบ

อาจารย์จาบมาถึง จับชีพจรแล้วบอกว่า…ท่านปานยังไม่ตายไปธุระประเดี๋ยวก็กลับ อาจารย์จาบบอกว่า…” ยาฉันเป็นยาสูง พระต้องใช้ยาสูง ใช้ยาต่ำไม่ได้ ” สมัยนั้นเป็นป่า เป็นดง เป็นทุ่ง ตลาดไม่มีท่านก็เดินไปเด็ดยอดไม้ ยอดมันสูง ท่านก็บอก…” นี่เขาเรียกยาสูง ” วันนั้นยังไม่ฟื้น ผ่านไปสัก ๖ – ๗ ชั่วโมง ใกล้รุ่ง หลวงพ่อปานจึงรู้สึกตัว และก็ฉันยาของอาจารย์จาบ เป็นอันว่าท่านก็หาย และก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง

ขณะที่ท่านเจ็บ เขาก็หามลงเรือ ท่านก็ภาวนาบ้าง พิจารณาบ้างให้จิตเป็นสุข ท่านไม่ได้ปล่อยกรรมฐานเลย ต่อมาอาการมันเครียดหนัก ท่านจึงสั่งให้ขึ้นวัดบางซ้ายใน คิดว่าไม่ถึงวัดบางนมโค เพราะจากวัดบางซ้ายใน ถึงวัดบางนมโค ต้องแจวเรือ ๒-๓ ชั่วโมง หลวงพ่อปานท่านบอก เห็นท่าไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนจับพระกรรมฐานเป็นปกติ

ทุกคนในที่นั้นบอกว่า ท่านสลบไป แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้สลบ อทิสสมานกายมันออก คือตัวใน มันออกจากตัวนอก มีสภาพเป็นกาย เดินออกไปเรื่อยๆ ตามสบาย พอไปถึงจุดสุด เข้าเขตชั้นดาวดึง ใกล้จะเข้าชั้นดุสิต เห็นอาคารลิบๆ อยูข้างหน้า แพรวพราวเป็นระยับ เป็นสง่าสวยสดงดงามมาก ท่านตั้งใจ จะไปสู่อาคารหลังนั้น ท่านจึงเหลียวหลังมาดูเห็นพระพุทธเจ้า ยืนงามสง่า สวยอร่าม มีฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ท่านก้มลงกราบพระองค์พระองค์ตรัสว่า…จะไปไหน

หลวงพ่อปานตอบว่า…จะไปชั้นดุสิต

พระองค์บอกว่า…คุณปานคุณยังไปไม่ได้ ภาระใหญ่ของคุณยังมีมาก วัดวาอารามคุณยังสร้างไม่เสร็จ และกิจอื่นที่คุณต้องทำยังมีอยู่ จงกลับไปปฏิบัติงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงจะไปได้ สถานที่นี้เธอมีโอกาสจะได้อยู่แน่นอน

หลวงพ่อปานก็บอกว่า…ร่างกายมันไม่ดี ทนไม่ไหว ทุกขเวทนามันหนัก ทนไม่ไหวจึงออกมา

พระองค์บอกว่า…” หมอจาบเขามาแล้ว รักษาแผลได้ และพิษต่างๆ สลายตัวแล้ว กลับลงไปเถอะ “

พอสิ้นเสียงของพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏว่าจิตเข้าร่างพอดี ท่านก็ลืมตาขึ้น ใกล้สว่างแล้วของวันใหม่ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า… มันเป็นกฏของกรรม มาจากโทษปาณาติบาต ทำให้ร่างกายไม่ดี ในชาตินี้ โทษปาณาติบาตของท่าน เห็นจะไม่มี

และท่านก็บอกอีกว่า…” ต่อไปฉันก็ต้องตาย ด้วยแผลอันนี้ ” แต่เวลานั้นแผลหายไปหมดแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่มีความประมาทในชีวิต คิดว่าความตายอยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น

เมื่อหายจากอาการไข้แล้ว ท่านก็เร่งรัดทำความดีหนักขึ้น คือ สงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยการรักษาโรคบ้าง มีใครอดอยากที่ไหน ท่านก็นำอาหารการบริโภคไปแจก พระวัดไหนไม่มีกฐินจะรับ ท่านก็ไปทอดกฐิน ถึง ๑๗ วัด

การก่อสร้างก็สร้างคราวเดียว ๓-๔ วัด พร้อม ๆกัน และสำหรับจริยาวัตรนั้น ก็สั่งสอนอบรมพระทุกๆ ๑๕ วัน คือวันโกนของกลางเดือน กับวันโกนของสิ้นเดือน ท่านจะต้องประชุมพระ แนะนำข้อวัตรปฏิบัติตามพระวินัย วิธีที่จะปฏิบัติ ให้เข้าถึงจุด อย่างง่ายๆ และอุปสรรค์ ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน

การที่ท่านทำทุกอย่าง อย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่นเอาข้าวสาร เอาอาหารไปแจกคนยากจน เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ ก็มีความดีคล้ายกับถวายสังฆทาน แต่เสมอสังฆทานไม่ได้

เพราะสังฆทาน เป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประทาน มีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีคนที่รับ ก็เป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงส์ ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมี ประเภทนี้ ก็สามารถจะส่งผลให้เรา เข้าถึงพระนิพพานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ตัวอย่างท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฏว่า ตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดา ไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย

แต่ขึ้นชื่อว่า เป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถว ก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถว เพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดา แล้วก็ตายจากการเป็นเทวดา เท่านั้นเอง

ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลทาน แก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา หรือแก่คนในเขตพระพุทธศาสนา แต่ว่าไม่มีความเคารพ ในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังการบำเพ็ญกุศลด้วย จะมีผลน้อยก็ตาม แต่ถ้าทำบ่อยๆ ก็มากเหมือนกัน

เพราะการเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข ทั้งในชาติปัจจุบัน และชาติต่อไป ในชาตินี้ก็มีคนรักเรามาก เพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ ไปทางไหนก็มีแต่คนไหว้ คนเคารพ อันตรายก็ไม่มี การเดินทางไปไหน จะตกรถ ตกเรือ จะหิวตายไปในระหว่างทาง จะไม่มีสำหรับคนประเภทนี้

ที่มา…จากหนังสือตายไม่สูญ… แล้วไปไหน
เรื่องที่ ๒ หน้า ๒๐ ลิขสิทธิ์หนังสือ เป็นของวัดท่าซุง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: