3828. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 59 ตึกแดง-ตึกดิน (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 59 ตึกแดง-ตึกดิน (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

นับแต่วันจลาจลในลาดยาวแล้ว เส้นทางชีวิต ๒๕ นักก่อการจลาจลได้ถูกแยกย้ายไปฝากขังยังเรือนจำในเขตปริมณฑลสู้คดีเท่าที่สามารถกันราวแพแตก ส่วนผมโชคชะตาบันดาลให้มีชีวิตสุกดิบอยู่บน “ขังเดี่ยว” เป็นเวลาปี่เศษถึง ๓มเรือนจำ ได้แก่ บางขวาง(ตึกแดง) ลาดยาว(แดน ๕) และ คลองเปรม (คุกขุนนาง ซอย๓) ถึงกระนั้น เวลาปีเศษบนตึกนรก ๓ คุก ไม่เอื้อให้บรรเลงเรื่องราวโดยพลันจึงเรียนอนุญาตแฟนๆ “ปิด” ไว้ “เปิด” ในภาคขังเดียวตามปณิธานเดิม ส่วน เส้นทางมาเฟีย ซึ่งจะต้องร่ายก็กำหนดเอาเช้าตรู่วันอาทิตย์ ณ เรือนจำกลางบางขวาง แดนสงวนม หรือ ตำแดง คุกสุดท้ายที่ผมถูกส่งตัวเข้าพำนักรวมเวลา ๗ เดือน เพื่ออายัดตัวกลับลนดยาวทว่ากำลังเกิดปัญหาเรื่องกติกาของ ตึกแดงซึ่งมีกฎเกณฑ์มากว่า ๒๐ ปีว่า

บุคคลใดถูกคำสั่ง “ขังเดี่ยว” ด้วยเหตุใดก็ตามก่อนนำตัวขึ้นขัง บุคคลนั้นต้องชดใช้ค่าบริการสถานที่ โดยให้เพชฌฆาตประจำตึกเฆี่ยนหลังด้วยหวายตัน จำนวน ๑๒ ที และเมื่อถูกคุมขังจนครบกำหนดลงจากขัง บุคคลนั้นยังต้องให้เพชฌฆาตเฆี่ยนหลังอีก ๖ ที เป็นการเก็บดอกด้วย ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ผมอยู่ในข่ายถูก “เก็บดอก” ๖ ทีหรือไม่?

ครับ-เรื่องนี้แต่เดิมบรรดาคอสิงห์ประจำตึกพูดคุยกันเชิงผมไม่ควรอยู่ในข่ายเก็บดอก เพราะตามกฎของตึกแดงบุคคลที่ถูกคำสั่งขังเดี่ยวล้วนทำผิดร้ายแรงขึ้นภายในคุกมหันตโทษ คือภายในพื้นที่ ๒๐๐ ไร่ของบางขวางทั้งสิ้น แต่คดีผมต่างกว่านักโทษบางขวาง เพราะพฤติกรรมระบุความผิดผมเกิดที่คุกขุนนาง(คลองเปรมเก่า) ด้วยสาเหตุไม่ไว้วางใจความประพฤติ จึงถูกส่งตัวมางบางขวาง พร้อม “สหลักหลัง” หนังสือส่งตัวของท่านผู้บัญชาการทำนองผมเป็นเชื้อร้ายของสังคมชาวคุก ให้ควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งทางบางขวางโดยหัวหน้าแผนกปกครอง หรือหัวหน้าบุญผู้รับตัวผมเห็นสหลักหลังแดงพรืดของท่าน ผบ.รจ. คุกขุนนางเข้าพลอยบ้าจี้ สั่งจำตรวน ๑๗ มิลฯ พร้อมส่งตัวขึ้นตึกแดงมิให้เห็นเดือนเห็นตะวันมาจนถึงบัดนี้ ดังนั้นปัญหาที่รอการตัดสินจึงอยู่ที่ “ป๋าแผ้ว” ผู้บังคับแดน เจ้าพ่อตึกแดงซึ่งหยุดราชการตามปกติ และจะทำประการใด?

ราว ๗ นาฬิกาเศษ ติ๋วกับหรั่ง ๒ เพชฌฆาตวัยไล่กันกับผมซึ่งเดินเรื่องให้ผมพ้นภัยจากคมหวายตัวเองมาตั้งแต่เปิดตึก พากันหิ้วกุญแจพวงใหญ่เปิดห้องให้ผู้ต้องขังทุกห้องทั้งชั้นบนชั้นล่างนำถ้วยจากออกไปรับอาหารเช้าจากโยธาตึก จึงดลให้เกิดเสียงโซ่ตรวจโฉ่งฉ่างระงมหู พอ ๒ หนุ่มปราดมาไขกุญแจหน้าห้อง ผมตามเรื่องทันที

“เรื่องเป็นยังไงบ้างเพื่อน”

“ป๋าเข้ามาก็พอมีทาง” ติ๋วว่าพลางเปิดประตูให้

ผมก้มลงจับเชือกที่ผูกติดไว้กับโซ่ตรวนขึ้นหิ้ว แล้วเดินเขาลากออกจากห้องไปล้างหน้าตายังก๊อกน้ำเชิงบันไดขึ้นชั้น ๒ กลางความพลุกพล่าน อาหารเช้าผ่านไป เรื่องราว “เก็บดอก” ของผมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนร่วมขังเกือบ ๑๐๐ ชีวิตอย่างกว้างขวาง ก็ได้แต่นั่งอัดบุหรี่ฟังเสียงรัวระฆังจากวัดบางแพรกข้างกำแพงอย่างสงบ ๐๘.๓๐ นาฬิกาไม่มีข่าวจากป๋าแผ้ว บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายพยาบาลมาตรวจสุขภาพผมภายในห้อง บอกเวลาโบยหลังเหลืองอยู่น้อยนิด

๙ นาฬิกาตรง หนุ่มทรงกำยำ ๒ นาย ยกแคร์ไม้ไผ่ไปตั้งบนลานชีเมนต์กลางตึกสถานที่ลงทัณฑ์ เจ้าหน้าที่ประจำตึก ๔ นาย เดินนำ ๒ นักบู๊ หรั่งกับติ๋วไปที่แคร์ ผมนุ่งโสร่งอยู่ตัวเดียวลากตรวนกริ๊งกร๊างเข้าสมทบ คอสิงห์ร่างผอบบาง ผิงเหลือง ตำแหน่งพัศดีตรีบอกห้วนๆ

“๖ ทีเท่านั้น ทนหน่อย เพื่อกติกาของที่นี่”

ผมเฉียงตาไปยัง ๒ เพชฌฆาตตึกแดง ทั้งคู่ยิ้มกร่อย ติ๋วบอกสีหน้าอาทร

“เรื่องเปี๊ยก ผู้คุมจะโบยเอง เรา ๒ คนถอนตัว”

คงไม่มีอะไรดีไปกว่ายิ้มรับชะตากรรม ดังนั้นจึงตัดใจดึงโสร่งพ้นกายจนเปลือยแล้วลากโซ่ขึ้นไปนอนคว่ำหน้าบนแคร่ต่อหน้าทุกคน เสียงย่ำคอมแบตเพชฌฆาตดังใกล้เข้ามา ผมสูดหายใจลึกขบกรามตัวเองแน่นตึบ กล้ามเนื้อบริเวณแผ่นหลังเขม็งเกร็งเสียงหวายตันเส้นขนาดหัวแม่โป้งแหวกอากาศดังขวับ หนังเนื้อกลางหลังผมคล้ายเต้นระริก คมหวายที่โบกกระหน่ำลงทุกครั้งดลให้ผมสั่นราวกะเข้าทรง ความเจ็บปวดซ่านไปทั่ว รู้สึกคล้ายลมออกหูอู้ๆ แต่ก็กัดฟันคว่ำหน้าให้เฆี่ยนจนครบ ๖ ที จึงถูกราดหลังด้วยทิงเจอร์ดิ้นพราดเหมือนทุกราย

เสร็จจากโบย ติ๋วประคองลุกขึ้นนั่งหลังอาบเลือดด้วยความแสบ หรั่งยื่นโสร่งให้นุ่ง ธาตุทรหดเหลือในกายตนเท่าใดคือแรงดลให้ผมข่มความเจ็บจัดการนุ่งโสร่ง พัศดีตรีร่างผอมบางสั่งการ

“คุณสมศักดิ์คุมตัวไปกอนตรวน ถอนตรวนซะ เสร็จแล้วส่งตัวให้ฝ่ายปกครองสอบประวัติ”

“ครับ” นายคุมรับคำ

ต่อมา ๒ เพื่อนอาสาประคอมเดินออกจาก “ตึกแดง” กลางเสียงอวยชัยให้พรของชาวคุกในตึกนรกลงไปรับรังสีตะวันยามสายด้วยนัยน์ตาพร่ามัวอยู่ราว ๕ นาที จึงปรับสภาพสายตารับมิติใหม่ โลกกว้างแจ่มชัดดังเดิม ที่กองตรวนผมนั่งใจสั่นให้นักโทษร่างใหญ่กระหน่ำค้อนปอนด์ตีวงแหวนเหล็กให้ถ่างออกจากกันจนรูดลอดข้อตีนได้ทั้ง ๒ ข้าง ก็ขยับลุกขึ้นยืนขาสั่นดิกคล้ายสูญพลัง ก็ได้รับคำแนะนำให้ลองหัดเดินตีนเปล่สอยู่ครู่หนึ่งน้ำหนักตัวจึงคืนสภาพปกติ

“ลาก่อน ‘ไอ้เบี้ยว’ คิดว่าชาตินี้เราควรพบกันเท่านี้แล้ว” ผมบอกกับโซ่ตรวน

ออกจากกองตรวนเดินเข้าถนนสายกลางผ่านแดดจ้าวันหยุดราชการอันเงียบเหงาจนถึงหน้าแดน ๓ หนุ่มหน้าหยก ผิวขาวเหลืองหรือ “เก๊า ม้าเก็ง” เข้ามาถามจุดหมายปลายทาง ก็บอกปลายทางที่ทุ่งบางเขนเดิม

ที่แผนกปกครองวันหยุดราชการแลว่างโหรง โต๊ะเก้าอี้ทั่วไปภายในที่ทำการนับสิบชุดมีพัศดีเวรนั่งชมทีวีอยู่ท่านเดียว จึงเป็นผู้รับมอบตัวผมจากคอสิงห์ตึกแดงไปส่งมอบให้ฝ่ายทะเบียนประวัติ เช็กก่อนปล่อยตัว ๐๙.๓๐ น. ผมถูกคอสิงห์รักษาการณ์ “เจ็ดชั้น” คุมตัวไปส่งให้ฝ่ายรักษาการณ์ประตู ๓ ปะ ๒ นักบู๊หนุ่มทุ่งบางเขน “บังมาน” กับ “โอตือ” การ์ดคุ้มกัน “ล้อ วงเวียนฯ” นั่งอยู่บนม้ายาวร่วมกับนักโทษอื่นที่ได้รับการปล่อยตัววันนี้อีก ๗-๘ คน ก็วิสาสะกันตามธรรมเนียบ พักหนึ่ง นักบู๊เจริญผลวิเคราะห์เหตุเฉพาะหน้า

“ถ้ามีหมายอายัดตัวกลับลาดยาว เราว่าต้องกลับหมดทุกคน เพราะมาจากลาดยาวทั้งนั้น”

“แต่เราให้ญาติวิ่งทางทหารมารับตัวไปดำเนินคดี หาก สห. มารับตัวแสดงว่าชัด” โอตือ มังกรผิวคล้ำมะขามข้อเดียวเผยไต๋

“เราก็มีคดีเกี่ยวกับทหาร” มานเผยบ้าง “เป็นคดีปล้นตอนเป็นทหารใหม่ๆ”

ผมเองอยากคุย แต่เห็นเปอร์เซ็นต์ฝ่ายทหารมารับตัวเหมือนฝันก็ชวนคุยเรื่องอื่น บังเอิญนักบู๊เจริญผลตบเข้ากลางหลังโดยไม่ตั้งใจถึงกับสะดุ้งเฮือกพลั้งปากคราง

“เราถูกโบยบนตึกแดงเช้านี้ ยังเจ็บอยู่”

มานคิ้วขมวด ชะโงกมองด้านหลังซึ่งมีเสื้อคอกลมสีขาวสวมทับอยู่ ผมพลิกหน้ามองข้ามไหล่ตัวเองเห็นใบหน้าเพื่อนขรึมลง พึมพำลอยๆ

“แสดงว่าโบยแตกทุกไม้เลย”

ผมไม่ออกความเห็นทั้งมองไม่เห็นบาดแผลด้วย มานเสริมอีกประโยค

“เปี๊ยวถอดเสื้อออกคลุมหลังแทนดีกว่า เดี๋ยวเลือดกับน้ำเหลืองที่ปากแผลมันแห้งจะติดเสื้อ”

คำแนะนำดังกล่าวผมเห็นด้วย จึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ถอดเสื้อปิดคลุมหลังแทน กระทั่งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ประตู ๒ เข้ามาเรียกชื่อนักโทษ ๗-๘ นายที่ปล่อยตัววันนี้ออกไปรับใบสุทธิ

เหลือเรา ๓ คนนั่งสงบอยู่บนม้ายาวเดิมอีกพักหนึ่งจึงปรากฏนายทหารยศร้อยโท วัยเบญจเพสพร้อม ๓ สห. แขนแดงผ่านประตูเข้ามา แต่ละคนถือกุญแจมือคนละคู่ โอตือสะบัดหน้ามองผมกับบังมานหน้าตื่น หมวดหนุ่มนำหนังสือไปยื่นแก่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ทวาร ๓ สห. ชั้นประทวนปราดมาตรวจค้นตัว พอปะแผ่นหลังผมพาดไว้ด้วยคมหวายแตกยับจึงถามไม่ดังนัก

“ฝีมือคนบางขวางหรือ”

“ครับ”

การส่งมอบตัวผมให้กับฝ่ายทหารเสร็จขั้นตอนที่ประตู ๓ ผู้หมวดสนใจแผลคมหวายดึงเสื้อที่ผมใช้คลุมอยู่ออกก็สูดปาก

“โอ้โฮ ยังกะถนนตัดใหม่ ความผิดอะไรหรือ”

“เก็บค่าที่ครับ”

เก็บแบบนี้ทุกคน” เสียงชักดังขึ้น

“เก็บเฉพาะคนที่ขึ้นไปนอนบน ‘ตึกแดง’ ครับ”

“แปลกว่ะ มีตึกแดงด้วย เอาละ เดี๋ยวผมจะพาไปดู ตึกดิน ของทหารบ้าง…เคยผ่านหรือยังล่ะ”

“ยังครับ”

“เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก็แล้วกัน” หมวดสรุป

ที่สุดจิ๊ปตรากงจักรได้นำเรา ๓ คน ห่างกำแพงบางขวางสู่เมืองหลวงโอฬารกลางเปลวแดดระยิบด้วยความเร็วปกติ จวบพาหนะของเราผ่านเข้าเขตบางชื่อ ผู้หมวดหนุ่มซึ่งนั่งอยู่เบาะหน้าหันมาถามไม่เจาะจง

“ใครชื่อเปี๊ยกบ้างครับ”

ผมแสดงตัว “ผมเองครับ”

หมวดยิ้มพร้อมยื่นซอง จ.ม. สีฟ้าให้ “หมวดเป้าแกฝาดมอบให้คุณ”

“ขอบพระคุณหมวดเป็นอย่างสูงครับผม”

ภายในพื้นที่กรมสื่อสารทหารบกอันแวดล้อมโรงเรือนทหารแน่นพรืด มีถนนไม่กว้างนักตัดเข้าเรือนจำมณฑลทหารบกที่ ๑ อันกั้นอาณาเขตไว้ด้วยรั้วสังกะสี บัดนี้มี สห. ยืนยามรักษาการณ์เข้มแข็ง พอโชเฟอร์เลี้ยวรถเข้าลานจอดรถอันตั้งร้านค้าขายสินค้าประเภทของเยี่ยมนักโทษทหารอยู่ ๔-๕ ราย มีบรรดาญาติพี่น้องชาย-หญิงของนักโทษใช้บริการคับคั่ง หลายคนทำเมียงมองดูพวกเรากึ่งกล้ากึ่งเกรง เฉพาะผมซึ่งใช้เสื้อคลุมหลังแทนใส่เดินผ่าน ใครล้วนจ้องเขม็ง

ผู้หมวดหนุ่มถือแฟ้มเอกสารนำหน้าเข้า บก.รจ. มทบ.๑ ซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง ภายในที่ทำการตั้งโต๊ะเก้าอี้ทำงานและตู้เก็บเอกสารไว้เป็นสีดส่วน หลังโต๊ะทำงาน ผบ.รจ. สถิตพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ต่ำลงมาติดภาพจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์เต็มยศ แต่ขาดเจ้าหน้าที่นั่งทำงาน ซึ่งคงเนื่องมาจากเป็นวันหยุดราชการ จึงเป็นหน้าที่ผู้หมวดหนุ่มออกตามหานายทหารเวรผู้รับผิดชอบถึงบ้านพักข้างเรือนจำ ใกล้เที่ยง นายทหารเวรยศจ่าสิบเอก วัย ๓๐ ปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำภายในชุด สห. เดินนำผู้หมวดเข้าที่ทำการด้วยสีหน้าหงุดหงิด บังมาน โอตือ และผมซึ่งนั่งบนม้ายาวหน้า บก. โดยมี ๓ สห. คุมตัวแจ ถูกนัยน์ตาแดงก่ำนายทหารเวรมองแวบเดียว

การรับ-ส่งมอบตัวเรา ๓ คนจากกลุ่มสารวัตรทหารเสร็จสิ้น ผู้หมวดสั่งผู้หมู่ไขกุญแจมือคืนอิสระให้โดยมีนายทหารเวรตาแดงก่ำยืนเท้าเอวมองจนกลุ่ม สห. ลากลับ ผมยิ่มให้หมวดหนุ่มด้วยมิตรไมตรี พลันนายทหารเวรแผดเสียงสนั่น

“เฮ้ย….ทหารไปไหนกันหมดวะ”

สิ้นคำ พลฯ ผู้คุม ๓ นายแทบกระโจนผลุงผ่านหน้าพวกเราเข้าไปรับเสียงบัญชาซ้ำ

“เอาไอ้ ๓ ตัวนี้เข้าไปตีตรวน จัดให้นอนตึก ๑”

ไม่ทราบว่าแบกบาปขนกรรมมาแต่ปางใด ชีวิตพวกเราจึงประสบการทดสอบอยู่เนื่องๆ ไม่ว่านอกคุกในคุก ดังเช่นขณะถูกนำตัวเข้ากองตรวนได้บังเกิดเสียงประหลาดต้อนรับ

“จ่า-จ่า ๓ คนนั่นยังกะปูนิ่ม ไม่ต้องตีตรวนหรอกใช้เชือกกล้วยมัดไว้ก็อยู่”

ผมแตะบ่าบังมานไว้ พากันผ่านเข้าไปในกองตรวนซึ่งมีโซ่ตรวนหลายขนาดแขวนระโยง ผู้หมู่ประจำกองตรวนลุกจากเก้าอี้เดินสวนพวกเราออกไปซุบซิบกับนายทหารเวรร่างใหญ่ซึ่งตามเข้ามายืนอยู่หน้ากองตรวน ครู่หนึ่งได้กลับมายื่นคำขาดหน้าตาเฉย

“นายทหารสั่งให้จำเครื่อง ‘ทรมาน’ ดูความประพฤติ ๓๐ วันก่อน จึงให้คุณ ๓ คนเลือก…นั่น ‘ขานกกระยาง’ อันนั้น ‘เรไร’ ไอ้นั่น ‘สมอบก’ เลือกใส่คนละอย่างครับ”

มังกรร้ายโอตือมือคุ้มกันชั้นดี “ล้อ วงเวียนฯ” หูแดงฉึ่ง มาน เจริญผล ผงกหัวหงึกๆ ๒ ดวงตายล ‘สมอบก’ (แท่งเหล็กร้อยโซ่ น้ำหนัก ๓๐ กิโลกรัม) ผมชะโงกกระซิบข้างหูมุสลิมหนุ่ม

“ถ้าเราจะ ‘ดื้อ’ ก็เอาเสียตอนนี้เลย”

นักบู๊เจริญผลเหมือนตามองบอกเบากริบ “นายบาดเจ็บอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นนายจะลำบาก”

“อย่าห่วงเรื่องนั้น” ผมเค้นคำบอก

มานเฉียงตาไปทางโอตือ มังกรร้ายเปิดคำเสียงดัง “คิดว่าไม่น่าใส่ว่ะ”

“อะไรนะ” หัวหมู่โวย

“พวกผมจะไม่ใส่เครื่องทรมานที่นายทหารเวรสั่งครับ” ผมตอบเสียเองพลางกระตุกเสื้อมาพันมือเลิกปกปิดแผลโบยตามอารมณ์พล่าน ผู้หมู่ผู้ควบคุมกองตรวนลุกพรวดหน้าตึง สำทับกร้าว

“อั๊วสั่งให้ลื้อนั่งลงหน้า ‘ทั่ง’ เดี๋ยวนี้”

ผมขยับไปยืนใกล้อาวุธที่เรดาร์ไว้ มานกระตุกโซ่ตรวนที่แขวนอยู่มากระชับไว้ในมือ โอตือกำสองมือจนเกร็งกราดตามองไปรอบกองตรวนอันนี้มีนักโทษทหารยืนมุงวับเดียวบอกเสียงดัง

“ผมขอพบท่าน ผบ. เรือนจำครับ”

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : The People
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: