6194. การทดลองมนุษย์“หน่วยปฏิบัติการ 731”สุดอำหิต

Shiro Ichii & Unit 731: จับคนมาทำเชื้อโรค สุดอำหิต

เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อมีการค้นพบสิ่งที่เป็นความอัปยศ ณ มุมหนึ่งของประเทศจีน สิ่งนี้เป็นความลับสุดยอดและดำมืดมานานหลายทศวรรษ สิ่งนั้นก็คือ “การทดลองมนุษย์” …ใช้มนุษย์เป็นๆ มาทดลองอย่างสยดสยอง โดยมี “นายแพทย์อิชิอิ ชิโร” เป็นเจ้าของผลงานทั้งหมด … เขาเรียกหน่วยทำการทดลองนี้ว่า “หน่วยปฏิบัติการ 731”

“นายแพทย์อิชิอิ ชิโร” เป็นผู้ที่ผลักดันจนเกิดหน่วยนี้ขึ้นมา โดยการสนับสนุนของรัฐบาลและจากแพทย์ นักวิจัยและนายทหารระดับสูงจำนวนมาก เพราะเขามีวิธีเกลี้ยกล่อมชักจูงโดยใช้เหตุผลการเอาชนะสงครามเข้าล่อและด้วยความฉลาด เส้นสายของนักการเมืองและชื่อเสียงทางด้านการแพทย์ ทำให้เขาสามารถตั้งหน่วยปฏิบัติการนี้ได้สำเร็จและลากชื่อเสียงของญี่ปุ่นจมดิ่งตกต่ำไม่แพ้ “คดีที่นานกิง” เลย

“อิชิอิ ชิโร” (Shiro Ichii) เกิดวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1892 ที่หมู่บ้านชิโยดะมูระ จังหวัดชิบะ เป็นลูกคนที่สี่ในครอบครัวที่มั่งคั่ง เป็นเศรษฐีที่นาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง … ในด้านการศึกษาของ “หมออิชิอิ” นั้น เรียกว่าถึงขั้นอัจฉริยะ เขามีพรสรรค์พิเศษในเรื่องความจำตั้งแต่เด็ก เขาสามารถท่องบทกวีที่ยาวๆ และซับซ้อนได้อย่างเหลือเชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อนๆ เขามักพูดถึง “หมออิชิอิ” ว่า เป็นคนอวดดี ก้าวร้าวและยโสโอหัง ชอบเบ่งว่าเป็นลูกคนรวย

เมื่อ “อิชิอิ” จบมัธยมในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1916 เขาก็ไปสอบนายแพทย์ต่อในมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายชื่นชมเขามากว่าเป็นคนขยันและฉลาดปราดเปรื่อง ถึงขั้นให้ “หมออิชิอิ” ทำงานวิจัยระดับสูง ในขณะที่เพื่นอร่วมรุ่นยังศึกษาวิชาพื้นฐานทางการแพทย์อยู่เลย ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงยิ่งยโสโอหังเกินกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ยิ่งขึ้นไปอีก แต่ความยโสโอหังนี้เป็นของจริง เพราะผลงานทางวิชาการของเขา ใครๆ ต่างชื่นชม จนสามารถจบโรงเรียนแพทย์ได้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1920 เมื่ออายุ 28 ปี

“หมออิชิอิ” เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขามีรูปร่างคล้ายฝรั่ง เป็นคนสูงใหญ่ ใส่แว่นบางครั้ง พูดภาษาอังกฤษเก่ง เขามักพูดเสียงดังสนั่นไม่สนใจหรือกลัวใคร มีร่างกายแข็งแกร่งกำยำ เพื่อนร่วมงานหลายคนเชื่อว่า “หมออิชิอิ” นั้นแข็งแรงผิดมนุษย์

ช่วงเวลาที่ “หมออิชิอิ” จบโรงเรียนแพทย์เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่สงครามโลก ซึ่งตระกูลชิโรเป็นตระกูลใหญ่ที่รักชาติและองค์สมเด็จพระจักรพรรดิยิ่งชีวิต ไม่น่าแปลกอะไรที่ “อิชิอิ ชิโร” จะแสดงบทบาทรักชาติสมัครเข้าเป็นแพทย์ทหารทันที … เขาถูกส่งเข้าไปรับการฝึกฝนเป็นแพทย์ทหารเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบ โดยสังกัดอยู่ในกองพลรักษาองค์พระจักรพรรดิที่ 3

เมื่อเขาเข้าร่วมเป็นแพทย์ทหารประจำกองทัพญี่ปุ่นเขารู้สึกสนใจอาวุธชีวภาพมาก เนื่องจากมันเหมาะกับญี่ปุ่นที่เป็นประเทศเล็กที่ไม่เหมาะในการสู้รบแบบปะทะกัน อีกทั้งอาวุธเชื้อโรคและเคมีนั้นเป็นอาวุธที่มีพิษสงรุนแรง ราคาถูก

วันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1921 – “อิชิอิ ชิโร” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผ่าตัดได้รับยศเป็นร้อยเอกของกองทัพโดยสมบูรณ์และเพื่อสานฝันงานด้านวิจัยมนุษย์ เขาขอย้ายตัวเองไปศึกษาที่โรงพยาบาลทหารในกรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1922

ชีวิตในโตเกียวนั้น “หมออิชิอิ” ได้รับฉายานามจากเพื่อนๆ ว่า “เสือผู้หญิง” “พ่อบุญทุ่ม” “นกเค้าแมว” และ “คอทองแดง” … “หมออิชิอิ” เป็นพวกโลลิคอน ชื่นชอบเด็ก เขายินดีจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อบริการเกอิชามือใหม่วัยไม่ถึง 19 ปี อีกทั้งเป็นคนชอบเที่ยวยันสว่างทุกคืน

ด้วยความสามารถ ความฉลาดและเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูง ทำให้ไม่มีใครกล้าตักเตือนอะไรกับเขามากนัก ตรงกันข้ามหัวหน้ายังส่ง “หมออิชิอิ” ไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในโตเกียวอีกครั้งในปี ค.ศ. 1924

ที่เกียวโต “หมออิชิอิศึกษา” และทำงานวิจัยทางด้านจุลชีววิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา พยาธิวิทยาและเวชศาสตร์ป้องกันโรคและที่นั่นเขาก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของนายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ค้นพบไวรัสระบาดสายพันธุ์ใหม่ที่ต่อมาใช้ชื่อว่า “โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดบี”

ส่งผลให้ความสัมพันธ์ทั้งสายการเมือง ทหารและวิชาการแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก “หมออิชิอิ” จึงกลายเป็นคนดังด้วยเหตุนี้ ขณะที่เพื่อนร่วมงานมักพูดถึงเขาว่า เขาเป็นคนฉลาดมาก ทำงานหนัก แต่ไม่มีวิญญาณของนักวิชาการอยู่ในจิตใจ เขามีแต่ความทะเยอทะยาน อยากจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยไม่นึกถึงความถูกต้องดีงาม บ่อยครั้งที่เขามักแสดงความยโสต่อผู้ที่อาวุโสต่อเขา

ยกตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งสมัยที่เขาเรียนอยู่เกียวโต อุปกรณ์เครื่องมือในห้องปฏิบัติการมีจำนวนจำกัดมาก นักศึกษาทั้งหมดมีตั้ง 30-40 คน จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ร่วมกันและต้องล้างเครื่องมือให้สะอาดหลังเสร็จงานทดลอง ซึ่งเป็นงานที่เบื่อหน่ายมาก กินแรงและเวลาอย่างยิ่ง เพราะถ้าเครื่องมือไม่สะอาดจะทำให้ผลการทดลองผิดพลาดได้ … แต่ “หมออิชิอิ” มักย่องเข้าไปห้องปฏิบัติการหลังจากเสร็จงานล้างเครื่องมือแล้ว เขาทำการทดลองด้วยตนเองโดยใช้อุปกรณ์ที่นักศึกษาล้างไว้ เมื่อเสร็จงานเขาก็กองอุปกรณ์ไว้ที่อ่างล้างมือ ไม่ล้างซักแอะ

ในปี ค.ศ. 1927 – “นายแพทย์อิชิอิ ชิโร” ได้เลื่อนยศเป็นพันตรีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก พร้อมนิสัยเห็นแก่ตัวและหยิ่งยโสที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย ในช่วงนี้เขาได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนๆ ที่มีแนวคิดนิยมหัวรุนแรง คลั่งความเป็นญี่ปุ่น ต่อต้านระบบทุนนิยม ต่อต้านแนวคิดเสรี คลั่งนาซี ฯลฯ เขาติดนิสัยจากพวกนั้นเต็มๆ เลย ….

– จุดเริ่มต้นของหน่วยปฏิบัติการ 731 –

ในปี ค.ศ. 1925 ที่ประชุมระดับโลกได้มีมติห้ามผลิตและใช้อาวุธชีวภาพโดยเด็ดขาด แต่ “หมออิชิอิ” กลับมองเห็นว่านี้คือช่องทางเดียวที่จะทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศมหาอำนาจได้ เขาเริ่มขายความคิดในเรื่องการผลิตอาวุธชีวภาพกับผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพ โดยเขามักพูดว่า “อาวุธชีวภาพน่ะต้องได้ผลแน่นอน ไม่งั้นพวกประเทศใหญ่ๆ เขาคงไม่ต่อต้านขนาดนี้หรอก”

“หมออิชิอิ” เริ่มทำการหว่านล้อม “นายแพทย์โคอิสุมิ ชิกาฮิโกะ” ซึ่งเป็นบิดาแห่งวงการสงครามชีวภาพและสงครามเคมีของญี่ปุ่นและ “หมออิชิอิ” ก็กล่อมได้สนิท เพราะ “นายแพทย์โคอิสุมิ” ก็ชาตินิยมเหมือนกัน หลังจากนั้น “นายแพทย์โคอิสุมิ” ก็มอบอาคารสูงให้ “หมออิชิอิ” โดยไม่รู้ว่าอาคารนี้ใช้ทำอะไรอยู่ภายใน

ความลับนี้เริ่มเปิดเผยออกเมื่อผ่านมานานกว่า 60 ปี เมื่อทางวิทยาลัยได้ทำการรื้ออาคารแห่งนี้ คนงานขุดพบหลุมศพขนาดใหญ่ ซ่อนศพไว้ไม่ต่ำกว่า 100 ศพ เมื่อดูจากโครงสร้างทางสรีระที่หลงเหลืออยู่บ่งบอกว่าเขาไม่ใช่คนญี่ปุ่น สภาพศพถูกทารุณกรรมจากการผ่าตัดส่วนต่างๆ ในร่างกาย เชื่อกันว่าน่าจะมีจุดฝังศพอื่นๆ อีก แต่รัฐบาลญี่ปุ่นได้มีคำสั่งออกมาว่า ห้ามขุดคุ้ยประเด็นนี้และให้นำศพเหล่านั้นไปทำการฌาปนกิจเพื่อทำลายหลักฐานและทำลายภาพลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวในอดีต

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาของ “หมออิชิอิ” เขาได้ชักชวนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผลสำเร็จ โดยงานวิจัยที่ใครๆ ไม่ทราบรายละเอียด แต่เขาเรียกร้องที่จะทำการทดลองขนาดใหญ่และต้องการวัตถุดิบจำนวนมากๆ แผนการโหดของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างเมื่อเขาเดินทางไปปฏิบัติภารกิจลับที่ประเทศจีน …

ในปี ค.ศ. 1933 “นายแพทย์อิชิอิ ชิโร” ได้ติดตามกองกำลังญี่ปุ่นมาที่ประเทศจีน และเลือกเมืองฮาร์ปิน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่งเป็นสถานที่ตั้งหน่วยปฏิบัติการ ตั้งชื่อว่า “หน่วยงานพิเศษเพื่อการศึกษาภูมิคุ้มกันและบำบัดน้ำเสีย” เป็นชื่อปกปิดข้อเท็จจริงของหน่วยงานทดลองมนุษย์

เมืองฮาร์ปินเป็นเมืองในเขตอุตสาหกรรม เป็นศูนย์กลางของมลฑลไฮ่หลงเซียง อยู่ตอนเหนือของแมนจูเรีย เป็นเมืองค่อนข้างเจริญ มีชุมทางรถไฟที่ไปยังมณฑลอื่นๆ รวมทั้งไปยังเขตชายแดนประเทศต่างๆ ทำให้ประชาชนในแถบนั้นมีหลายเชื้อชาติไม่ต่ำกว่า 30 กลุ่ม เช่น ชาวฮั่น เกาหลี จีน มองโกล รัสเซียและยุโรป

หน่วยปฏิบัติการของ “หมออิชิอิ” เป็นหน่วยพิเศษที่อยู่ในกองทัพกวางตุ้ง เขาได้การสนับสนุนเต็มที่จากผู้บัญชาการกองทัพกวางตุ้งในการทดลองมนุษย์ ทำให้ “อิชิอิสา” มารถดำเนินการได้อย่างสมใจอยาก การสนับสนุนจากกองทัพกวางตุ้งคือ การส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการ 500 นาย และตั้งชื่อหน่วยนี้ว่า “ปฏิบัติการโตโก”

แต่ต่อมานิยมเรียก “หน่วยอิชิอิ” ตามชื่อหมอมากกว่าและเนื่องจากหน่วยปฏิบัติการนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง การทดลองมนุษย์จึงไม่อาจปิดสายตาของชาวเมืองไว้ได้ มีข่าวลือเล็ดลอดมาเป็นระยะ จนรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ค่อยพอใจมากนัก เพราะทำให้นานาประเทศโจมตีญี่ปุ่นว่าไร้มนุษย์ธรรม … “หมออิชิอิ” จึงต้องย้ายไปทดลองที่เมืองอื่นอย่างช่วยไม่ได้

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1932 “นายแพทย์อิชิอิ ชิโร” ได้ย้ายหน่วยปฏิบัติการไปยังเมืองเล็กๆ ชื่อ “ไบยินฮี” เป็นเมืองในเขตทุรกันดารทางตอนใต้ของฮาร์ปิน เขาใช้กำลังทหารเข้ายึดหมู่บ้านและสั่งให้ชาวบ้านอพยพออกจากเมืองภายใน 3 วัน จากนั้นก็สั่งให้ลูกน้องเผาบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างทั้งหมด

เว้นแต่ตึกใหญ่ขนาด 100 ห้อง เพื่อใช้เป็นตึกบัญชาการ นอกจากนั้นยังจับตัวชาวนาชาวไร่จีนกว่าร้อยคนไว้เป็นทาสแรงงาน มีหน้าที่ก่อสร้างห้องปฏิบัติการแห่งใหม่ อาคารสำนักงาน ที่พัก รวมไปถึงโรงเรือนขนาดใหญ่ ก่อกำแพงสูง 3 เมตร ด้วยอิฐสำหรับกักขังมนุษย์ที่ใช้ทดลองจำนวนมากและมีการลาดตระเวนตลอดเวลา ป้องกันมนุษย์ทดลองหลบหนี

… พื้นที่เกือบ 400 ไร่ ถูกล้อมรอบด้วยลวดหนาม 2 ชั้น และเดินด้วยสายไฟฟ้าแรงสูง กั้นคนในออก-คนนอกเข้า

อาคารสำนักงานใหญ่ที่สุดจะตั้งตรงกลางของค่ายกักกัน เรียกว่า “ปราสาท” มีสองปีก ด้านหนึ่งเป็นสำนักงานบัญชาการ โรงนอนทหาร คลังเก็บเสบียง โรงอาหารและโรงรถของหน่วยปฏิบัติการ ส่วนอีกปีกอีกด้านหนึ่งเป็นปีกที่ประกอบด้วยห้องทดลองขนาดใหญ่หลายห้อง เตาเผาศพ คลังเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์และที่กักขังมนุษย์นับพันคน ตามปกติเหยื่อที่นำมาทดลอง ส่วนมากจะเป็นขโมยหรือพวกกระทำความผิดทั่วไปหรือสมาชิกหน่วยต่อต้านใต้ดินของจีนหรือทหารจีนที่รบแบบกองโจรที่จับได้ รวมไปถึงพลเมืองที่ทหารญี่ปุ่นกวาดต้อนมาและยัดเยียดข้อหาใดข้อหาหนึ่ง

มนุษย์ที่จับมาทดลองจะใส่กุญแจมือและตีตรวนไว้ตลอดเวลา แต่พวกนี้จะได้รับการดูแลเรื่องสุขภาพโดยให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตลอดจนอาหารการกินดีกว่าที่พวกเขาเคยกินตามปกติ โดยทั้งนี้เพื่อบำรุงร่างกายของมนุษย์ทดลองให้แข็งแรงมากที่สุดและเมื่อพวกนี้สุขภาพดีระดับหนึ่งแล้ว “หมออิชิอิ” ก็จับแต่ละคนมาฉีดเชื้อโรคเพื่อทำการทดลอง … เชื้อโรคเหล่านี้ประกอบด้วยแอนแทร็กซ์ ฝีดาษและกาฬโรค โรคที่เคยทำให้ประชาชนในยุโรปล้มตายนับล้านมาแล้ว

นอกจากการทดลองเชื้อร้าย “หน่วยปฏิบัติการ 731” ยังทำหน้าที่พัฒนาสารพิษและก๊าซพิษเพื่อฆ่าประชาชนให้ได้ทีละมากๆ เช่น

ใช้ก๊าซฟอสจีน พ่นออกจากช่องที่กำแพงห้องขังในเวลา 5 นาที มนุษย์ที่ได้รับก๊าซนี้จะหมดเรี่ยวแรง ล้มลงและทรมาน 1 วันแล้วก็ตายเพราะพิษ
โพแทสเซียมไซยาไนด์ ฉีดเข้าไปในเหยื่อเพียง 15 มิลลิกรัม เท่ากับฝุ่นปลายเล็บ เหยื่อจะสิ้นสติและตายใน 20 นาที
ชอร์ตด้วยไฟฟ้าขนาด 20,000 โวลต์ พบว่ามีบางคนไม่ตาย
ชอร์ตด้วยไฟฟ้าขนาด 5,000 โวลต์เป็นจังหวะ เหยื่อไม่ตายแค่เนื้อไหม้ แต่ถ้าปล่อยกระแสนานๆ เนื้อจะสุกไหม้จนตาย ฯลฯ

นี่คือผลการทดลองที่น่าสยดสยองของ “หมออิชิอิ” … จากการสืบสวนสอบสวนพบว่า มีผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าเพื่อทำการทดลองลับมากกว่า 1,000 คน ในเวลาไม่ถึงปี และแล้วก็เกิดข่าวลือแพร่สะพัดอีกครั้ง เพราะเหยื่อทดลองสามารถหลบหนีได้ 12 คน “หมออิชิอิ” จึงจำเป็นต้องย้ายหน่วยปฏิบัติการอีกครั้งไปยังสถานที่แห่งใหม่ แต่ครั้งนี้ใหญ่กว่าเดิมเพราะผู้บังคับบัญชาให้ความช่วยเหลือเต็มที่ … กองทัพญี่ปุ่นมองว่า “หน่วยปฏิบัติการ 731” คืออาวุธลับชิ้นสำคัญในการต่อกรกับประเทศมหาอำนาจ ดังนั้น แม้จะถูกจับตามองว่าไม่มีมนุษยธรรม “หมออิชิอิ” ก็ยังได้รับการสนับสนุนเหมือนเดิม

คราวนี้เขาได้รับห้องทดลองขนาดใหญ่ที่ทันสมัยและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นยิ่งขึ้น สถานที่ปฏิบัติการมรณะแห่งที่สามนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่กว้าง 1,500 เอเคอร์ หรือประมาณ 4,000 ไร่ ห่างจากฮาร์ปินไปทางใต้ 4 ไมล์ ตั้งชื่อสถานที่แห่งใหม่ว่า “ปินฝั้นคอมเพล็กซ์”

การที่จะได้พื้นที่ขนาดใหญ่นี้ ญี่ปุ่นจะต้องใช้ทหารยึดหมู่บ้านถึง 10 แห่ง บังคับให้ชาวบ้านอพยพออกไป หญิง-ชายชาวจีนที่แข็งแรงจะถูกกักขังไว้เพื่อใช้งานก่อสร้างสำนักงาน ห้องปฏิบัติการและที่คุมขังขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุดและสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เตาเผาศพจำนวนมากที่มีโครงสร้างคล้ายกับปล่องไฟโรงงานธรรมดา

ทหารและพลเมืองญี่ปุ่นที่ปฏิบัติงานใน “หน่วยปฏิบัติการ 731” จะได้รับสิทธิอาศัยอยู่ในห้องพักสุดหรูพร้อมสวัสดิการที่ดีเยี่ยม มีทั้งสระว่ายน้ำ สวนสาธารณะ บาร์ โรงเรียนหรือแม้แต่สถานบริการทางเพศก็มี

โครงสร้างภายในอาคารใหม่นี้ซับซ้อนคล้ายรังผึ้ง มีอุโมงค์ลับมากมาย เหยื่อสามารถถูกเคลื่อนย้ายจากภายนอกมาเก็บ บำรุงให้อ้วนแล้วทดลอง เสร็จก็นำไปเผาในเตาโดยผ่านอุโมงค์ลับ ทำให้คนภายนอกไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นภายในอาคารหลังนั้น อีกทั้งถูกจัดให้เป็นเขตที่มีการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด พลเรือนจะผ่านเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่ได้เด็ดขาด เครื่องบินที่ฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกยิงตกทันที ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทหารหรือพลเมืองชาติใดก็ตาม

ส่วนอาคารที่ขังคุกเหยื่อเพื่อทำการทดลองมี 2 อาคาร อาคารละ 400 คน นอกจากนี้ มีชาวจีนพื้นบ้านเป็นจำนวน 15,000 คน ที่ถูกกวาดต้อนเป็นคนงานชั้นต่ำ ทำหน้าที่ใช้แรงงาน กวาดพื้น กวาดขยะ งานเสี่ยงภัยและสกปรก พวกเขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมชาติอีกจำนวนมากกำลังถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมในห้องปฏิบัติการสุดหรู …

และเพื่อปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริง กองทัพญี่ปุ่นเรียกปิงฝั้นว่า “โรงงานแปรรูปไม้กองทัพญี่ปุ่น” และมีรหัสเรียกเหยื่อมนุษย์สำหรับการทดลองว่า “ท่อนซุง” เช่น ลำเลียงท่อนซุงจำนวน 50 ต้น เข้าไปเก็บในโรงงาน – ท่อนซุงมีทั้งชาวจีน รัสเซีย ยุโรป เกาหลี อเมริกัน ที่เป็นทหาร เชลยศึกต่างๆ ชาวบ้านและพวกถูกยัดข้อหาเช่นเดิม

โดยมีโทษสถานเดียวคือ “ประหารชีวิต” ดังนั้น คนเหล่านี้จึงถือว่าเป็นคนที่ตายแล้ว เป็นเพียงท่อนซุงที่รอการแปรรูปเท่านั้น! ซุงแต่ละต้นจะมีเลขหมายตัวแทนชื่อ-นามสกุลจริง ไม่มีการจัดทำประวัติส่วนบุคคลและเมื่อพวกเขาเหล่านี้ตายเลขหมายประจำตัวก็จะนำถูกมาใช่ใหม่อีกครั้ง

เมื่อได้สถานที่ทดลองใหม่ การวิจัยก็ใหม่ไปด้วย และนี่คือตัวอย่างการทดลองมนุษย์ที่หมออิชิอิภูมิใจนำเสนอ …

กลางปี ค.ศ. 1940 เหยื่อ 20 คน ช่วงอายุ 20-30 ปี สุขภาพแข็งแรง ถูกคัดเลือกเข้าเป็นมนุษย์ทดลองในโครงการ “อหิวาต์คร่าชีวิต” โดยเหยื่อ 8 คน ถูกจับฉีดวัคซีนต้านอหิวาต์รุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นค้นคว้า อีก 8 คน ได้รับวัคซีนแบบดั้งเดิม และ 4 คนสุดท้ายไม่ได้รับวัคซีนใดๆ ทั้งสิ้น …

หลังจากนั้นสองอาทิตย์ เหยื่อทั้งหมดถูกบังคับให้กินอาหารผสมเชื้ออหิวาต์สายพันธุ์ใหม่! ผลวิจัยพบว่า มนุษย์ทดลอง 4 คน ที่ได้รับวัคซีนชนิดใหม่รอดตาย แต่ที่เหลือตายเกลี้ยง แต่ไม่ว่าเหยื่อจะตายหรือรอด หากมีอาการติดเชื้อ พวกเขาจะถูกลำเลียงไปห้องปฏิบัติการเพื่อผ่าดูตับไตไส้พุงและให้ผู้ช่วยแพทย์ฝึกฝีมือผ่าตัดไปพร้อมกันด้วย

การผ่าตัดเหยื่อทั้งหมดนั้นไม่นิยมใช้ยาสลบ เพราะเห็นว่าสิ้นเปลือง ในเมื่อเหยื่อจะตายอยู่แล้วและอีกอย่างมันจะทำให้ผลการทดลองจะผิดพลาด

หลังสงครามโลกสิ้นสุด ทีมงานของ “หมออิชิอิ” คนหนึ่ง ชื่อ “นายแพทย์มาซากุนิ คุรูมิซาว่า” ยอมรับสารภาพว่าเขาทำการชำแหละคนเป็นๆ กว่า 1,000 คน

ในปี ค.ศ. 1995 นิวยอร์กไทมส์ ได้สัมภาษณ์ชาวนาอายุ 72 ปีคนหนึ่ง เขาเคยเป็นผู้ช่วยแพทย์ใน “หน่วยปฏิบัติการ 731” เขากล่าวด้วยความไร้ความรู้สึกว่า “ครั้งหนึ่งผมเคยช่วยแพทย์ผ่าชายวัย 30 ปี ไม่ได้ใช้ยาสลบ เขาถูกจับมัดร่างเปลือยติดกับเตียง เหยื่อรายนี้รู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น

แต่เขาก็ไม่ได้ดิ้นรนร้องขอชีวิต หมอสั่งให้ผมใช้มีดกรีดเปิดอกตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงช่องท้อง ขณะที่เขาร้องโหยหวนและใบหน้าชักกระตุกด้วยความเจ็บปวด เปล่งเสียงร้องน่าเวทนาอย่างนึกไม่ถึง … ผมยังจดจำเสียงนั้นจนถึงทุกวันนี้” และท้ายสุดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวก็เงียบลง อวัยวะถูกตัดออกที่ละชิ้นเพื่อเอาไปวิจัยต่อ เขาบอกว่าการทำงานเช่นนี้ทุกวันทั้งวันเพื่อศึกษาร่างกายของเหยื่อว่าเชื้อโรคจะก่อปฏิกิริยาต่ออวัยวะภายในอย่างไร

นอกจากนั้น “หน่วยปฏิบัติการ 731” ยังทำการวิจัยอาวุธชีวภาพในภาคสนามด้วยครั้งหนึ่ง พวกนี้เลือกบริเวณเชิงเขาอันดา ซึ่งห่างจากเมืองฮาร์ปิน 87 ไมล์ทางไปทางเหนือ ทำการทดลองโดยทิ้งระเบิดเคมีหรืออาวุธชีวภาพตามหมู่บ้านต่างๆ และบางครั้งทีมงานวิจัยก็ปล่อยเชื้อไทฟอยด์ใส่ประชาชนนาน บางครั้งก็ปล่อยสารพิษลงไปในแหล่งน้ำสาธารณะ การวางยาพิษลงในอาหาร เสื้อผ้า สัตว์ปีก แมลงและพาหนะนำโรคอื่นๆ

ที่มุมหนึ่งของเชิงเขาอันดา ทหารญี่ปุ่นได้สร้างห้องทดลองหรือที่กักขังนักโทษ มีลักษณะคล้ายโรงเก็บของผนังไม้ ภายในบุด้วยแผ่นตะกั่วกันเชื้อโรค ทีมงานใช้เหยื่อมนุษย์ 30 คน ล่ามติดกันด้วยโซ่ขังในห้องทดลองดังกล่าวและปล่อยพาหนะนำเชื้อกาฬโรคเช่นตัวหมัดและเหาจำนวนมากเข้าไปข้างใน

และปล่อยทิ้งไว้จนเหยื่อแสดงอาการ แล้วนำเหยื่อเข้าไปในห้องทดลองเพื่อสำรวจโดยการผ่าตัด บางคนไม่ตายก็จะถูกนำไปทดลองอีกรอบ … ทีมแพทย์วิจัยชาวญี่ปุ่นทั้งหมดป้องกันตัวเองเต็มที่เมื่อเข้าใกล้เหยื่อ โดยสวมชุดคลุมทั้งหมดปกปิดอวัยวะทุกส่วนและทาผิวหนังด้วยยาฆ่าเชื้อ ใส่ถุงมือยางและหน้ากากปิดหน้า

… หน่วยปฏิบัติการ 731 ถึงเวลาล่มสลายลงเมื่อกองทัพรัสเซียมีชัยเหนือญี่ปุ่น

ก่อนที่กองทัพรัสเซียจะถึงเมืองฮาร์ปินอีก 7 วัน “หมออิชิอิ” ได้ตัดสินใจให้นักวิจัยของญี่ปุ่นทยอยฆ่านักโทษไปเรื่อยๆ โดยการนำเชื้อโรคระบาดรุนแรงหรือสารพิษหรือก๊าซพิษบรรจุในขวดแก้ว แล้วโยนไปในห้องขัง หรือแม้กระทั้งคลุกใส่ในอาหารให้นักโทษกันและจดผลการทดลองไว้

ส่วนคนงานจีนกว่า 600 คน ที่ถูกบังคับใช้งานในปิงฝั้นถูกทหารญี่ปุ่นจับมัดเรียงแถว แล้วสาดกระสุนจนตายเกลี้ยง – เตาเผาทำงานตลอดทั้งวันทั้งคืน เพื่อทำลายหลักฐานด้วยการสลายซากศพให้กลายเป็นขี้เถ้าเป็นจำนวนมาก แต่กระนั้นเมื่อรัสเซียยกเข้าเมืองฮาร์ปินสำเร็จ ก็ยังสามารถจับกุมเจ้าหน้าที่ “หน่วยปฏิบัติการ 731” ได้บางส่วน แต่นักวิจัยส่วนใหญ่และ “หมออิชิอิ” นั้นอพยพกลับญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่รัสเซียจะมาซะอีก

ผู้ร่วมงานที่หนีกลับมายังญี่ปุ่น บ้างก็กลับไปใช้ชีวิตพลเรือนตามปกติ บ้างก็ปลอมปนอยู่ในวงการแพทย์ บ้างก็อยู่ในวงการทหาร บ้างก็เป็นชาวนา โดยไม่มีใครรู้ว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยกระทำสิ่งใดลงไป

… ส่วน “หมออิชิอิ” หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย

ในการพิจารณาคดีของศาลทหารคาบารอฟสก์ของรัสเซีย ปี ค.ศ. 1949 ได้ไต่สวนอาชญากรชาวญี่ปุ่นในจีนและแมนจูเรีย มีพยานรู้เห็นหลายคนให้การว่า พวกเขาเคยเห็น “หน่วยปฏิบัติการ 731” นำตัวเชลยศึกชาวผิวขาวหลายคนไปทดลองด้านภูมิคุ้มกันต่อเชื้อบางชนิด

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มเปิดเผย จากการพิจารณาคดีของศาลรัสเซีย แต่น่าแปลกใจก็คือ รัฐบาลสหรัฐอเมริกากลับมีท่าที่ไม่พอใจและออกมาแสดงความเห็นว่า การไต่สวนเรื่องดังกล่าวควรปกปิด เพราะสหรัฐอเมริกาไม่ต้องการให้ประชาชนรับรู้เรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังปล่อยข่าวว่ารัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำลายข้อมูลการทดลองอาวุธชีวภาพทิ้งไปในปี ค.ศ. 1945 แล้ว

… ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?

เรื่องนี้ตอบได้ไม่ยาก เพราะทั้งญี่ปุ่น รัสเซียและสหรัฐอเมริกา ทั้งหมดนี้มีความลับร่วมกันอยู่! อันที่จริงทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ต่างต้องการข้อมูลการทดลองมนุษย์จากญี่ปุ่น เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพของตัวเอง รัสเซียหวังได้ข้อมูลจากการให้ปากคำของเชลยศึกเพื่อผูกมัดรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะที่อเมริกามีข้อตกลงลับแลกเปลี่ยนผลการทดลองของญี่ปุ่นกับการไม่เอาผิดนักวิจัยชาวญี่ปุ่นทั้งหมด

รัฐบาลญี่ปุ่นได้เจราขอแลกข้อมูลลับกับการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติการทั้งหมด การเจรจาเป็นความลับสุดยอดและเชือดเฉือนกันด้วยเล่ห์เหลี่ยมชนิดหากเดินหมากพลาดตาเดียวอาจตายยกรังหรือฉาวโฉ่ไปทั่วโลก

สหรัฐอเมริกาต้องการผลการทดลองในมนุษย์อย่างยิ่ง ขณะที่แพทย์ญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องก็ไม่ยอมเปิดเผยเรื่องใดๆ จนกว่าจะมีหลักประกันชัดเจน เช่นการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่กล้ากระทำผลีผลานเพราะอาจโดนการเมืองเล่นงานถึงขั้นรัฐบาลล่มได้ การต่อรองยืดเยื้อออกไปจนกระทั่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนหนึ่งได้ให้ความเห็นต่อประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในฐานะที่ปรึกษาว่า

“ข้อมูลการทดลองในมนุษย์ของญี่ปุ่นเป็นแหล่งข้อมูลเดียวในโลกที่หาได้ในขณะนี้ เป็นข้อมูลในมนุษย์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เชื่อถือได้และแสดงให้เห็นผลของอาวุธชีวภาพต่อชีวิตมนุษย์อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน และนักวิจัยของสหรัฐอเมริกาไม่มีโอกาสทำได้เลย ในอดีตที่ผ่านมาการทดลองประสิทธิภาพของเชื้อโรคหรือสารพิษต่างๆ ทำได้ในสัตว์ทดลองเท่านั้น

แล้วใช้ทฤษฏีคาดเดาเอาว่าจะเกิดผลอย่างไรในมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ขาดความสมบูรณ์และความแม่นยำ เทียบไม่ได้เลยกับข้อมูลที่ญี่ปุ่นมี ข้อมูลเหล่านี้มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการพัฒนาอาวุธชีวภาพของอเมริกา เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วเห็นว่าคุ้มกับการนิรโทษกรรมนักวิจัยชาวญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องและจะเป็นภัยอย่างยิ่งหากข้อมูลตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น”

ในปี ค.ศ. 1948 การเจรจาแลกเปลี่ยนนิรโทษกรรมเป็นอันสิ้นสุด ข้อมูลทั้งหมดจากรัฐบาลญี่ปุ่นถูกส่งไปยังแคมป์เอทริกในรัฐแมรีแลนด์ ซึ่งต่อมากลายเป็นศูนย์กลางทดสอบและพัฒนาอาวุธชีวภาพและเคมีแห่งสหรัฐอเมริกา

และสหรัฐอเมริกาได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศพันธมิตรทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีการดำเนินคดีกับนักวิจัยในหน่วยปฏิบัติการอาวุธชีวภาพในกรุงโตเกียว เช่น การพิจารณาคดีของศาลทหารนานาชาติของประเทศพันธมิตรในกรุงโตเกียว เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดข้อหามีอาวุธสงคราม 5,570 คน ไม่มีผู้ใดเลยที่เกี่ยวข้องกับหน่วยทดลองอาวุธชีวภาพหรือการแยกชิ้นส่วนคนเป็นๆ

ในการพิจารณาคดี จำเลยชาวญี่ปุ่น 30 คน ของศาลทหารในโยโกฮามา ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับอาวุธชีวภาพ แม้กระนั้นเมื่อผลการพิจารณาคดีออกมาให้ประหารชีวิตจำเลย 5 คน “นายพลดักลาส แมคอาร์เทอร์” ก็ใช้อำนาจยับยั้งโทษในที่สุด

เรื่องราวความหฤโหดของ “หน่วยปฏิบัติการ 731” และอื่นๆ ถูกเก็บเป็นความลับนานถึง 50 ปี เหยื่อที่เคราะห์ร้ายมีจำนวนนับไม่ถ้วนที่สังเวยต่อการทดลองอาวุธเชื้อโรคและเคมี ไม่มีใครเอาผิดหรือเรียกร้องความยุติธรรมแก่พวกเขาอย่างสมน้ำสมเนื้อ

นอกจาก “หน่วยปฏิบัติการ 731” ของ “หมออิชิอิ” แล้ว จากหลักฐานพบว่ากองทัพญี่ปุ่นได้จัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อค้นคว้า ทดลองและสร้างอาวุธชีวภาพที่จุดอื่นๆ ในเอเซีย-แปซิฟิก อีกหลายแห่ง คือ

“หน่วยปฏิบัติการ 1000” จัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1936 มีลักษณะโครงสร้างและภารกิจแบบ “หน่วยปฏิบัติการ 731” ภายนอกเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ โดยมี “พันเอกวากามัตสึ ยูจิโร” นายสัตวแพทย์ทหารเป็นผู้บังคับบัญชา

ผลงานที่ขึ้นชื่อ (หรือเปล่า?) เมื่อปี ค.ศ. 1942 หน่วยนี้ทำการทดลองภาคสนามในเขตชุมชนที่ตั้งอยู่ระหว่างไซบีเรียและแมนจูเรีย โดยปล่อยสารพิษต่างๆ และโรค เช่น แอนแทร็กซ์ ทำให้ประชาชนล้มเจ็บและตายเป็นจำนวนมาก จัดเป็นหน่วยปฏิบัติการสำคัญเป็นลำดับสอง รองจาก “หน่วยปฏิบัติการ 731”

“หน่วยปฏิบัติการอีไอ 1644” หน่วยปฏิบัติการนี้ต่างจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษอื่นๆ ตรงที่ตั้งอยู่กลางกรุงนานกิง ซึ่งตั้งในช่วงหลังเหตุการณ์ “Rape of Nanging” ที่นานกิงพอดี โดยกองทัพญี่ปุ่นจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษขึ้น ชื่อ “หน่วยปฏิบัติการอีไอ 1644” ภารกิจและวัตถุประสงค์ก็เหมือนกับหน่วยอื่น แต่มันต่างกับหน่วยอื่นๆ ตรงที่เน้นเฉพาะเด็กและสตรี !

หน่วยนี้บังคับบัญชาโดย “นายแพทย์มาสุดะ โทโมซาดะ” เป็นเพื่อนสนิทของ “หมออิชิอิ ชิโร” เรียนและจบมาด้วยกัน เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แถม “มาสุดะ” ยังได้รับอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก “หมออิชิอิ”

ให้ก่อตั้งหน่วยนี้ที่นานกิงอีก หน่วยปฏิบัติการนี้เป็นความลับยอดเยี่ยมมากเพราะมันฝังตัวในโรงพยาบาลที่นานกิง มันอยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล มีทั้งห้องปฏิบัติการมหาโหด ห้องจองจำและเตาเผาศพซ่อนอยู่ นอกจากนี้ “หน่วยของหมอมาสุดะ” ยังทำการทดลองพิษของสัตว์อื่นๆ อีก เช่น ปลาปักเป้า พืช แมลง สารหนู …

ส่วนผลงานดีเด่นก็คือ เคยทำการทดลองนำขวดแก้วบรรจุเชื้อกาฬโรคไปวางที่สาธารณะ เทสารพิษในบ่อสาธารณะและลำธารให้แก่ประชาชนได้ดื่มกินกัน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้สงคราม มนุษย์ทดลองในหน่วยนี้ทั้งหมดถูกฆ่าพร้อมกันและนักวิจัยทั้งหมดอพยพกลับญี่ปุ่นกันถ้วนหน้าพร้อมข้อมูลการทดลองที่ถือว่าเป็นความลับสุดยอด

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : lonesomebabe
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: