504.หลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่ จ.สิงห์บุรี พระอาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้า โดยเฉพาะ ด้านคงกระพัน มหาอุด เด่นชัดที่สุด

หลวงพ่อแป้นเป็นพระอาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้า เรืองวิชาทุกด้าน
ประวัติหลวงพ่อแป้น วัดบ้านไร่
หลวงพ่อแป้น มีนามเดิมว่า แป้น พลูยิ้ม เกิดที่หมู่บ้านบ้านไร่ อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๐ เป็นลูกชาวนา ในวัยเด็กเป็นคนมีอุปนิสัยใจคอโอบอ้อมอารี มีเมตตากรุณา

เมื่อท่านมีอายุครบ ๒๒ ปี ได้อุปสมบทที่วัดยาง ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี โดยมี หลวงพ่อสมุห์คุ้ม วัดใหม่สุทธาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านไร่ ต.น้ำตาล อ.อินทร์บุรี จนครบ ๑๐ พรรษา จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส

ท่านได้เรียนวิปัสสนากรรมฐาน และวิชาไสยศาสตร์จากพระอาจารย์ ๒ รูป คือ หลวงพ่อพรหม วัดธรรมจักร ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี ซึ่งเป็นอาจารย์มาจากภาคอีสาน เก่งในทางเสกเป่าคาถาอาคมทุกชนิด

อีกรูปหนึ่ง คือ หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ต.โพธิ์ชนไก่ อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี พระคณาจารย์ยุคเก่าที่ชาวสิงห์บุรียกย่องว่ามีวาจาสิทธิ์ และสำเร็จวิชาจินดามนต์ สามารถเรียกเนื้อเรียกปลาได้

นอกจากนั้น น้ำลายของท่านก็มีความศักดิ์สิทธิ์ ขนาดถ่มลงบนพื้นคอนกรีตแล้ว พื้นคอนกรีตแตกเลยทีเดียว
หลวงพ่อแป้นเป็นพระอาจารย์ที่มีอาคมแก่กล้า เรืองวิชาทุกด้าน ไม่เป็นสองรองใคร มีตบะเดชะ และเมตตาบารมีสูงเลิศล้ำ ใบหน้าของท่านมีลักษณะน่าเกรงขาม แต่แฝงไว้ด้วยความเมตตา ท่านมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ต่างเกรงกลัวในบารมีของท่านมาก เวลาลูกศิษย์ทำผิดระเบียบวินัย ท่านจะเฆี่ยนด้วยแส้หางกระเบน เพื่อให้หลาบจำ ทำให้ลูกศิษย์ของท่านต่างได้ดิบได้ดีกันทุกคน

สำหรับพวกที่เมาสุรา เวลาพบหลวงพ่อแป้น จะสร่างเมาทันที เพราะเกรงกลัวในบารมีของท่าน

หลวงพ่อแป้น เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านไร่นานถึง ๕๒ ปี ท่านได้พัฒนาวัดบ้านไร่ให้เจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด จนกระทั่งมรณภาพ ในพ.ศ. ๒๔๙๔ ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุได้ ๘๔ ปี พรรษา ๖๓

ท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลายชนิด เช่น เหรียญ มงคลสามสาย (สังวาลย์) พระผงพิมพ์ต่างๆ ตะกรุดโทน ผ้ายันต์ และแหวน

เหรียญที่สร้างเป็นรุ่นแรก และรุ่นเดียว เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๘๒ มี ๒ เนื้อ คือ เนื้อเงิน กับเนื้อทองแดง เป็นเหรียญที่สร้างแจกแก่ผู้ร่วมทำบุญสร้างศาลา และอุโบสถ

ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อแป้นนั่งเต็มองค์ ใต้รูปมีคำว่า หลวงพ่อพระครูแป้น ด้านหลังเป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์

เหรียญทองแดงมีน้อยกว่าเหรียญเงิน ราคาเช่าหาจึงแพงกว่ากัน เหรียญรุ่นนี้ หลวงพ่อแป้นตั้งใจปลุกเสกเป็นพิเศษ ว่ากันว่า ขณะที่ท่านกำลังปลุกเสก เหรียญวิ่งกราวในบาตร

หลักการพิจารณา เหรียญหลวงพ่อแป้น ด้านหน้า มีเส้นพิมพ์แตกจากพื้นเหรียญเข้าชนแก้มขวา ที่เข่าซ้าย ที่ตัว ห และตัว พ นอกจากนี้ยังมีเส้นเกินพาดที่ผ้าสังฆาฏิ ส่วนด้านหลังไม่มีตำหนิใดๆ

ผู้ที่มีเหรียญนี้บูชาติดตัว ต่างมีประสบการณ์ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะ ด้านคงกระพัน มหาอุด เด่นชัดที่สุด ว่ากันว่าแมลงวันไม่ได้กินเลือดเลยทีเดียว

ความสัมพันธ์ ระหว่าง หลวงพ่อลา กับ หลวงพ่อแป้น

ทั้ง ๒ ท่าน ถือว่าเป็นพระคณาจารย์รุ่นราวคราวเดียวกัน และร่วมสมัยกัน โดยหลวงพ่อลามีอายุมากกว่าหลวงพ่อแป้น ๖ ปี และหลวงพ่อลา ได้มรณภาพก่อนหลวงพ่อแป้น ๘ ปี

วัดของท่านทั้ง ๒ ต่างอยู่ติดกับริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทางตอนใต้ของ อ.อินทร์บุรี ห่างกันประมาณ ๕ กม.

หลวงพ่อลากับหลวงพ่อแป้น ต่างมีกิตติคุณชื่อเสียงโด่งดัง ทางด้านไสยศาสตร์ ต่างได้รับนิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสก ในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล หรือพิธีทางศาสนาอื่นใด ใน จ.สิงห์บุรี หรือใกล้เคียง ด้วยกันเสมอ จึงมีความคุ้นเคยกัน และยกย่องซึ่งกันและกัน

เวลาชาวบ้านแถบวัดโพธิ์ศรี เมื่อไปกราบนมัสการหลวงพ่อแป้นที่วัดบ้านไร่ หลวงพ่อแป้นมักจะบอกกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า หลวงพ่อลาเก่งกว่าท่าน ไม่จำเป็นต้องมาหาท่านหรอก

เช่นเดียวกับชาวบ้านแถบวัดบ้านไร่ เมื่อไปกราบนมัสการหลวงพ่อลาที่วัดโพธิ์ศรี หลวงพ่อลาก็จะบอกกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า มีหลวงพ่อแป้นเป็นอาจารย์ดีอยู่ใกล้ตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาหาท่านก็ได้ การกล่าวยกย่องซึ่งกันและกัน ของท่านทั้ง ๒ เปรียบเสมือน ปราชญ์ย่อมเข้าใจในปราชญ์ นั่นเอง

การทดสอบพุทธคุณเหรียญหลวงพ่อลากับหลวงพ่อแป้น

เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกล่าวขานสืบต่อกันมาเนิ่นนาน จนเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวอินทร์บุรี กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งหลวงพ่อทั้ง ๒ ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ชาวบ้านแถบวัดโพธิ์ศรีกับชาวบ้านแถบวัดบ้านไร่ ต่างถกเถียงกันถึงเรื่องพุทธคุณของเหรียญหลวงพ่อลา กับเหรียญหลวงพ่อแป้น ว่าเหรียญไหนจะมีพุทธคุณเหนือกว่ากัน

ฝ่ายชาวบ้านแถบวัดโพธิ์ศรี เชื่อว่าพุทธคุณของเหรียญหลวงพ่อลาเหนือกว่า เพราะมีบารมีของหลวงพ่อนาค ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของเหรียญช่วยเสริมอีกทางหนึ่ง

ฝ่ายชาวบ้านแถบวัดบ้านไร่ ก็ว่าเหรียญของหลวงพ่อแป้น พุทธคุณเหนือกว่า เพราะหลวงพ่อแป้นตั้งใจปลุกเสกอย่างเต็มที่ ขนาดเหรียญวิ่งเกรียวกราวในบาตร

การถกเถียงของทั้งสองฝ่าย หาข้อยุติไม่ได้ จึงได้มีการท้าทาย เพื่อพิสูจน์พุทธคุณของเหรียญดังกล่าว โดยได้ตั้งกติกาขึ้นมาว่า จะใช้ปืนลูกซองยาวยิงพิสูจน์ พุทธคุณของเหรียญทั้งสอง โดยยิงเหรียญละ ๓ นัด ถ้าเหรียญใดชำรุดก่อนยิงครบ ๓ นัด ก็ให้ยุติการยิงเหรียญนั้น

โดยให้ตัวแทนชาวบ้านแถบวัดโพธิ์ศรี เป็นฝ่ายยิงเหรียญหลวงพ่อแป้น และให้ตัวแทนชาวบ้านแถบวัดบ้านไร่ เป็นฝ่ายยิงเหรียญหลวงพ่อลา

การทดสอบพุทธคุณเริ่มขึ้นโดยนำเหรียญหลวงพ่อแป้นไปวางไว้ที่เนินดิน แล้วจ่อยิงในระยะเผาขน ผลปรากฏว่า นัดแรก แชะ ไม่ออก นัดที่ ๒ แชะ ไม่ออก นัดที่ ๓ แชะ ไม่ออก สรุปแล้วยิงไม่ออกทั้ง ๓ นัด

จากนั้นก็ยิงเหรียญหลวงพ่อลา ผลปรากฏว่านัดแรก แชะ ไม่ออก นัดที่ ๒ เปรี้ยง ออกแต่ไม่ถูก นัดที่ ๓ แชะ ไม่ออก สรุปแล้วยิงไม่ออก ๒ นัด ยิงออกแต่ไม่ถูก ๑ นัด

หลังการทดสอบเหรียญพุทธคุณทั้งสองผ่านพ้นไปแล้ว ชาวบ้านแถบวัดโพธิ์ศรีกล่าวว่า “เหรียญหลวงพ่อแป้นมหาอุดยอดเยี่ยม ยิงไม่ออกเลย”

ชาวบ้านแถบวัดบ้านไร่ ก็กล่าวขึ้นมาบ้างว่า “เหรียญหลวงพ่อลาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน มีทั้งมหาอุด และแคล้วคลาด”

เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกล่าวขานสืบต่อกันมาจนเป็นตำนาน แสดงให้เห็นถึงพุทธคุณอันยอดเยี่ยมของเหรียญทั้ง ๒ ซึ่งเข้าขั้นสุดยอดด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีใครเหนือกว่าใคร เปรียบประหนึ่งดุจ เพชรตัดเพชร เลยทีเดียว

การให้สมญานาม เหรียญหลวงพ่อทั้ง ๒ ท่านนี้เป็น ยอดเหรียญเพชรตัดเพชรแห่งเมืองสิงห์ จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ปัจจุบัน การเสาะแสวงหาเหรียญทั้ง ๒ หลวงพ่อนี้ หายากพอสมควร เพราะสร้างจำนวนไม่มาก แต่เหรียญหลวงพ่อแป้นค่อนข้างหายากกว่า เพราะมีจำนวนน้อยกว่าเหรียญหลวงพ่อลา

สำหรับราคาเช่าหาเหรียญทั้ง ๒ นี้ ที่มีสภาพพอสวยใกล้เคียงกัน จะตกอยู่ในช่วงหลักหมื่นต้นขึ้นไป และต้องพิจารณาให้ดี เพราะมีทั้งของปลอม และมีทั้ง เหรียญรุ่นย้อนยุค อีกด้วย
0 ไพศาล ถิระศุภะ 0
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.komchadluek.net/…/%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0…

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: