863. ปาฏิหาริย์ของ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ

ท่านพระครูศรีสัตคุณ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ รุ่นสุดท้าย ท่านได้เล่าให้ฟังว่า

“แต่ก่อนนี้นะโยม ชาวบ้านแถวสัตหีบนี่ ก็คือบ้านป่าที่อาศัยชายทะเล มีอาชีพการจับป่าเป็นหลักเท่านั้นแหละ ไร่สวนก็ปลูกไว้กินเอง ถนนหนทางก็มีทางเกวียน และทางเกวียนนั้นไปมาก็ลำบากมาก เพราะเป็นป่าดงพงไพร มีต้นไม้ใหญ่สูงๆ ทั้งนั้น ต้นยาง ต้นไม้แดง ต้นไม้พะยอม ละก็มาก การเดินทางไป อย่างกับชลบุรี และกรุงเทพฯนี่นะต้องไปเรือ คราวหนึ่งอาตมาต้องไปธุระที่จังหวัด ชลบุรี ก็นั่งเรือไปกับเขาด้วย พอนั่งเรือมาถึงช่วงอำเภอศรีราชานั่นเอง ทะเลเกิดคลื่นลมจัด มีพายุพัดกระหน่ำเรือ อีกทั้งฝนฟ้าก็ตกอย่างหนัก หนักเข้าเรือล่มจมน้ำ คนในเรือก็ต้องช่วยตัวเองละคราวนี้

ลูกน้ำเค็มมันเค็มจริงนะโยม สำลักน้ำทะเล ถูกคลื่นลมพายุพัด ซัดกระจายไปคนละทางสองทาง ตัวอาตมาเองต้องลอยคออยู่กลางทะเล ท่านกลางดงฉลามด้วยนะในช่วงนั้น แล้วก็จีวรกับน้ำนี่เขาพบกันได้ที่ไหน จีวรเจอน้ำเป็นกอดกันแน่น คนกลางคือตัวอาตมานี่ซี จะจมน้ำทะเลตายแหล่ มิตายแหล่ ใจก็นึกถึงหลวงพ่ออี๋ท่าน มันกลัวตายอยู่นะตอนนั้นน่ะ ในความรู้สึกเพราะใกล้จะหมดแรงจมน้ำนั้น คล้ายกับมีใครมาอุ้มพยุงตัวเอาไว” ๖ ชั่วโมงที่ลอยคออยู่ ก็ปรากฏว่ามีเรือประมงชาวศรีราชา เขาออกจากฝั่งเพราะคลื่นลมสงบหมดแล้ว เขามาพบอาตมาลอยคออยู่ ก็ช่วยไว้ได้”

ก่อนที่เจ้าของเรือประมงจะออกจากฝั่ง เขามีความรู้สึกเหมือนมีผู้มาดลใจ ตามที่เขาเล่าไว้

“ขณะที่ฉันและพรรคพวก จะนำเรือออกทะเลโน้น มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ท่านยืนอยู่บนผิวน้ำ ฉันเป็นเจ้าของด้วย เป็นไต้ก๋งด้วย ก็สั่งลูกน้องให้ตรงไปข้างหน้า พวกลูกน้องคงไม่เห็นอย่างฉันเห็นแน่

ฉันยืนอยู่บนเสากระโดง คอยมองปลา จึงแล่นเรือเข้าไป ก็ไปพบกับหลวงพ่อพระครูเข้า ก็เลยเหมาเอาว่า ท่านต้องมีอะไรดีแน่ๆ ครั้นพอท่านส่งวัตถุนิยมของหลวงพ่ออี๋ให้เป็นรางวัล ก็เกิดศรัทธา เพราะตั้งใจมานานแล้วว่า อยากได้ แม้จะเป็นผ้าเช็ดเท้าก็จะบูชาเอาไว้”

เจ้าของเรือลำนั้น ท่านพระครูศรีสัตคุณบอกว่า

“เขาชื่อนายสง่า เป็นเจ้าของเรือ อยู่ศรีราชานี่เอง อาตมาเชื่อความบริสุทธิ์ของหลวงพ่ออี๋ท่านมาก เพราะอาตมาเคยเห็นท่านมาตั้งแต่เป็นเด็กวัด มาอยู่กับท่านตั้งแต่อายุ ๗-๘ ขวบเท่านั้น อาตมาเป็นลูกกำพร้านะ มีโยมบิดาเลี้ยงท่านก็ดีมาก ชีวิตผันเข้ามาในพระศาสนา ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ขาดทุน ยิ่งได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ ก็ถือว่าเคยร่วมกุศลมากับท่าน ตั้งแต่อดีตชาติ มาพบกันอีก ช่วยกันอีก นี่แหละโลกนะ มันควรค่าแก่การเรียนรู้ดีแท้”

หลวงพ่ออี๋เป็นพระผู้ทรงอภิญญา เป็นที่เลื่องลือไปไกล แต่ความอัศจรรย์นี้ คนรุ่นสมัยใหม่ ไม่สู้จะเชื่อนัก ยิ่งทางด้านไสยศาสตร์ เขายิ่งไม่เชื่อเอาเสียเลย ถือว่าเป็นเรื่องล้าสมัย แต่ก็มีหลายท่าน ที่จนปัญญาจะพิสูจน์ได้ ก็ต้องยอมนับถือท่าน ท่านพระครูศรีสัตคุณ ได้เล่าให้ฟังว่า

“น่าอัศจรรย์มาก สมัยที่อาตมายังเล็กอยู่ โยมบิดาเลี้ยงของอาตมา ท่านป่วย หมอรักษาไม่ได้อีกแล้ว แต่หลวงพ่ออี๋ ท่านรักษาได้ทั้งยา และวิชาอาคมจนหายเป็นปกติ โยมบิดาก็ให้ช่างเขียนรูปหลวงพ่ออี๋ขนาดใหญ่ ไว้บูชาที่บ้าน โยมบิดานั้นท่านเคารพสุดที่จะบรรยายเลยละ ตอนนั้นเลยได้มาเป็นลูกศิษย์ ติดตามรับใช้หลวงพ่ออี๋ไปทุกแห่ง เพื่อจะได้รับใช้ท่านตามความประสงค์ ของโยมบิดา”

ธรรมะของหลวงพ่ออี๋ มีมากมาย เช่น “หลักวาจาดี มีคุณประโยชน์” ท่านไม่เคยพูดว่าใครให้แสลงหู และท่านไม่ค่อยจะพูดอะไรออกไปมากนัก เพราะวาจาที่ท่านพูดออกไป มักจะเป็นจริงดังนั้นเสมอ ท่านจึงพูดแต่คำที่เป็นสิริมงคลโดยตลอด

พลังจิตอัศจรรย์ ของหลวงพ่ออี๋นั้น พระอาจารย์แง (พระครูภาวนาโกศล) วัดเจริญสุขาราม ศิษย์ของหลวงพ่อปานเหมือนกัน ได้เล่าให้ฟังว่า

หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน (บางเหี้ย) ท่านสอนศิษย์ทุกรูปให้มีพลังจิตแก่กล้า โดยเอาพลังจิตรวมไว้ที่นัยน์ตา แล้วเพ่งออกไป ตาไม่กระพริบ ทำอย่างนั้นให้คล่องแคล่ว แล้วก็อาศัยจิตเข้าผนวกกัน เพื่อดำเนินจิตเข้าทางกสิณ คุณไสยที่ถูกส่งมา เช่น เขาส่งหนังควายเสกบินเป็นแมลง คนที่มีจิตแก่กล้าอย่างหลวงพ่ออี๋ ท่านมองเท่านั้น แผ่นหนังตก คลายสภาพทันที และถ้าท่านไม่รู้เห็น นอนหลับ เข้ามาใกล้ท่านสามวา ของเหล่านั้นจะอ่อนกำลัง กลับไปหาเจ้าของอย่างรวดเร็ว หลวงพ่ออี๋ท่านเป็นพระรุ่นพี่ ที่สามารถที่สุด ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อปาน ทำให้พวกที่ชอบเล่นไสยศาสตร์ครั่นคร้าม ไม่กล้าจะยุ่งเกี่ยว ถึงจะรู้ว่า ท่านเป็นผู้แก้ไข คุณไสยที่เขาส่งไปทำร้ายคนเจ็บ ที่ท่านรักษาให้

เมื่อท่านรักษาคนป่วยหายแล้ว ท่านก็ให้รับศีล ป้องกันการแก้แค้น แล้วก็ให้พรว่า “เอาละ ต่อไปไม่มีอะไรมา ทำร้ายได้อีกแล้ว”

พระอาจารย์เล่าต่อไปว่า

ตอนนั้น มีพระร่วมธุดงค์ ๖ องค์ หลวงพ่อปาน เป็นพระอาจารย์หัวหน้า ได้ไปพักอยู่ที่โน้น ใกล้เมืองเขมร เช้านั้นออกบิณฑบาต ก็มานั่งฉันกันที่ละเมาะป่า กำลังฉันกันอยู่ หลวงพ่อปานท่าน ก็ว่า

“อื้อ… อื้อ… ”

พวกเราก็เงยหน้าขึ้น… งูจงอางตัวเท่ากับไผ่ตงละมั้ง มันยกตัวขึ้นสูง หลวงพ่ออี๋ท่านนั่งอยู่ตรงกับมัน แล้วก่อนที่มันจะทิ้งตัวลงฉกกัดน่ะ ท่านมองเห็นมันก่อน ท่านก็เพ่งเข้าใส่ งูจงอางตัวแข็งไปเลย พอตัวแข็งมันก็ล้มลงไปกับพื้น นอนเฉย มันไม่ตาย แต่มันทำอะไรไม่ได้ ตัวมันเหลืองเชียว เวลามันล้มน่ะ เหมือนคนล้มทั้งยืนนั้นแหละ หลวงพ่อปานท่านหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า…

“ใครจะขี่เล่นมันก็ไม่ว่าแล้วทีนี้”…

ด้วยอานุภาพของจิตนี้ ขณะหลวงพ่ออี๋ ท่านอยู่ในกุฏิ ทำจิตสงบเป็นอารมณ์เดียวนิ่งอยู่ ถ้าใครเข้ามาหาท่านในตอนนี้ แล้วได้ประสานสายตากับท่าน ก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต คนนั้นจะชาหมด เหมือนงูจงอางตัวนั้น มันเกิดพลังขึ้นโดยจิตที่เป็นสมาธิ ซึ่งท่านชำนาญ … รวดเร็ว ในการทำสมาธิ ให้เกิดขึ้นในชั่วกระพริบตา ..

ท่านพระครูศรีสัตคุณ กล่าวว่า

“ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้ใกล้ชิด ติดตามหลวงพ่ออี๋มาโดยตลอด เห็นจริยาวัตรของท่าน การดำรงชีวิต ท่านเป็นผู้เลี้ยงง่ายที่สุด เป็นพระอนาคาริก หรือผู้สละเรือน จริงๆ ท่านมิใช่พระประเภทเครื่องรางของขลังเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งอื่นหมื่นแสน ท่านยังปล่อยวางได้หมด แล้วแค่พระเครื่อง เล็กๆ น้อยๆ ท่านจะมายุ่งยากเกี่ยวรัดเอาไว้ทำไม ”

“หลวงพ่อปาน ท่านสอนให้ปล่อยวาง ไม่สอนให้ติดข้องกับสิ่งภายนอก ก็ร่างกายของตัวเองยังไม่ติดข้อง ส่วนที่จะสงเคราะห์โลกน่ะ เป็นวิสัยของพระที่จะเมตตา ช่วยในสิ่งอันควรช่วย ไม่ใช่ว่า หลับหูหลับตาช่วย ช่วยด้วยปัญญา นี่ท่านสอนอย่างนี้ ”

อำนาจแห่งพระกรรมฐาน มีการอบรมจิต ขั้นสมาธิ อภิญญาญาณ อาศัยขุมพลังของพ่อแม่ อันสำคัญคือ พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ชาวต่างชาติ ได้ประสบกับตนเอง บังเกิดศรัทธาอันแรงกล้า ถึงกับสละตนเข้าบวชในพระศาสนาเป็นจำนวนมาก ด้วยปฏิบัติเองเห็นเอง

ชาวอเมริกัน ชื่อ เทเลอร์ ยังค์ แม่เป็นคนฮาวาย พ่อเป็นทหารอเมริกัน เล่าให้ฟังว่า

“ฉันเป็นคนอเมริกัน เป็นนักบิน มีเงินเดือนหลายหมื่นบาท เป็นทหารก็ไปประจำที่เกาะโอกินาวา มาเมืองไทยสมัยสนามบินอู่ตะเภา เคยได้ไปนมัสการ หลวงพ่ออี๋ ซึ่งก็เป็นพระภิกษุ เป็นรูปปั้นธรรมดา (ตอนนั้นท่านมรณภาพแล้ว) ที่ไปไหว้ก็เพราะผู้หญิงเขาชวนไป แล้วก็ซื้อรูปของท่านมาแขวนคอด้วย เพราะเห็นว่าไม่เสียหายอะไร… น่านับถืออยู่ เพราะท่านอยู่ได้โดยไม่มีเมียได้… ”

“พวกเพื่อนๆ มันก็ถามว่า

‘แกเอารูปพระชาวพุทธมาแขวนคอทำไม ?’

ฉันเลยบอกพวกเขาไปว่า

พระภิกษุนี่ ท่านชื่อหลวงพ่ออี๋ เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านมีศีล ไม่มีเมียอย่างพวกแกด้วย ท่านไม่เอาอะไรทั้งนั้น ท่านเก่ง…’

เพื่อนๆ ก็พูดอีกว่า

‘เฮ้ย.. แกนับถือคริสต์ ไปเอาพระพุทธมาแขวน ไม่เอาพระเยซูมาแขวน แกผิดนะ’

ฉันก็ตอบมันไปว่า

‘ถ้าฉันผิด แกก็ต้องผิดด้วย เพราะตัวแกเอง ไปซื้อกระดูกปลา เขี้ยวหมา เขี้ยวแมว มาแขวนคอเหมือนกัน’

ทำไมฉันจึงศรัทธานัก สำหรับหลวงพ่ออี๋องค์นี้ ก็เพราะ หลังจากที่ฉันได้รับรูปของท่านแล้ว ได้ไปที่เวียตนาม ขับเครื่องบิน ก็ถูกยิงขึ้นมาอย่างหนัก คิดว่าตายแน่นอน ส่วนเครื่องสลัดระเบิดก็ไม่ทำงาน ปลดไม่ได้เสียอย่างนั้นเอง

แต่ขณะที่กำลังวุ่นวายใจนั้น ก็มองเห็นพระภิกษุ ท่านนั่งอยู่ตรงข้างส่วนหัวเครื่องบิน เอามือปัดไปมาหลายครั้ง ฉันก็มาคิดว่า ตาคงไม่ฝาดแน่แล้ว จึงเกิดสงสัยว่า พระองค์นั้นไปนั่งอยู่ได้ยังไง… หรือว่าเป็นผี ขณะที่คิดอยู่นั้นท่านก็หันมาแล้วหายไป จำได้แม่นยำว่า องค์ที่ซื้อรูปท่านมานี่เอง… จึงไม่กลัวลูกปืน เพราะท่านปัดให้พ้นอันตราย มองเห็นลูกปืนวิ่งไขว่ไปมา พอถึงทะเล ก็ปลดลูกระเบิดลงทิ้งเสีย เครื่องปลดก็ดีอยู่ทำงานได้คล่องแคล่ว เลยรู้ว่า ท่านไม่ให้ทำบาปน่ะเอง”

นอกจากนี้ เขายังได้เล่าเรื่องอันน่าระทึกใจ และเขายังจดจำวันนี้ไว้ชั่วชีวิต ว่า…

“อีกคราวหนึ่ง ตอนได้กลับไปอยู่บ้าน เพราะได้พักผ่อน สิทธิพิเศษนี้ จะได้ก็เป็นนายทหารเท่านั้น วันหนึ่งขับรถไปตามถนน ก็พบกับอุบัติเหตุเข้า รถเทรลเลอร์คันโต วิ่งสวนมาปิดทางหมดเลย หลบไม่ได้ เราเบรคแล้ว แต่เขาไม่เบรค เลยทำให้ปะทะกันอย่างแรง รู้สึกตัวเฮือกสุดท้ายว่า หลวงพ่อท่านมาอุ้มออกไปนอกรถ ท่านวางไว้ข้างๆ ต้นไม้ แล้วลูบหัว สอง-สามครั้ง ท่านก็ยิ้มให้

ฉันต้องนอนสลบอยู่อาทิตย์เต็มเลยทีเดียว พอฟื้นขึ้นมา ก็ต้องตกใจ เพราะหารูปของหลวงพ่อไม่พบ พอสอบถามหา เขาก็บอกว่า.. เอาไปทิ้งแล้ว เพราะเห็นว่าเปื้อนเลือด แม้แต่เสื้อผ้า เขาก็ทิ้งไปพร้อมๆ กัน ฉันเศร้าใจ และเสียใจมาก

เมื่อหายจากเจ็บป่วย ซึ่งก็เล็กน้อย เนื้อตัวไม่เป็นอะไรมากนักหรอก เนื้อตัวบาดเจ็บนิดหน่อย แต่แรงปะทะมันมาก แล้วก็พอสอบถาม ได้ความว่า ไปนอนอยู่ข้างต้นไม้จริงๆ สภาพรถนั้นเละ แต่ตัวไม่เป็นไร พากันอัศจรรย์ในเหตุการณ์ ครั้งนั้นเป็นอันมาก

เมื่อได้มาเมืองไทยอีกครั้ง ก็ได้มากราบท่านอีก และได้ยื่นหัวไปตรง เท้า-มือ ให้ท่านลูบอีกครั้งหนึ่ง… ซื้อรูปของท่านหลายรูป และมีรูปเป็นโลหะด้วย (เหรียญ) เคยกำชับบอกลูกสาว และลูกชายว่า

“นอกจากพ่อแม่นี้แล้ว เธอต้องเคารพรัก หลวงพ่ออี๋ เมืองไทยด้วย ตลอดชีวิต”

ลูกๆ พากันเรียกท่านว่า “คุณพ่ออี๋ ไทยแลนด์” … ”

ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ย่อมเป็นไปโดยปกติของมนุษย์ หลีกหลบไม่ได้เลย แม้แต่คนเดียว หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านก็หนีกฎแห่งความจริงนี้ไปมิได้ ข่าวการอาพาธของท่าน ทำให้ลูกศิษย์ ต่างก็ทยอยมากราบ นมัสการ เยี่ยมเยือนอาการเจ็บป่วยของท่านทุกวัน แต่ท่านมิได้แสดงอาการ ทุกขเวทนาให้เห็น ท่านยังได้สอนธรรมะอีกว่า

“จิตไม่มีอาการ เจ็บ ปวด สภาพที่เราไปฝังจิตใจไว้เป็นอุปาทาน เราต้องเป็นคนฉลาด.. เอาเวทนาออกไปจากใจให้ได้ เมื่อนั้นสบายดีแท้ ”

สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ได้จัดเวรยาม ผลัดกันเฝ้าพยาบาลท่าน ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้สั่ง พระภิกษุจำเนียร พระหลานชาย ให้อุ้มท่านลุกขึ้นยืน และเปลี่ยนผ้าจีวรใหม่ แล้วก็นำท่านมานั่งบนอาสนะ และห้ามไม่ให้ใครถูกตัวท่าน ท่านนั่งอยู่เป็นเวลานาน พระจำเนียรเกิดความเป็นห่วง จึงเข้าไปดู เห็นมีหนองไหล ออกมาทางปาก จึงถามท่านว่า

“หลวงพ่อ ทำไมมีหนองไหลออกมาทางปาก”

ท่านตอบว่า

“ต้องการใช้หนี้เวรมัน”

จากนั้นท่านก็สงบระงับ ไม่มีอาการใดๆ เลย ศิษย์มองเห็นอาการแน่นิ่ง ผิดปกติ แต่เพราะถือคำสั่งว่า “ไม่ให้ถูกตัวท่าน” จนกระทั่ง กระดานพื้นที่ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้น เกิดพลิกขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ตอกตะปูไว้แน่น และกรอบรูปพระที่แขวนไว้ข้างฝา ก็หลุดลงมาแตกกระจาย ลูกศิษย์ท่านหนึ่งจึงเข้าไปจับชีพจรท่าน แล้วโพล่งว่า “หลวงพ่อดับเสียแล้ว” หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ผู้บังเกิดมาดับทุกข์ร้อน ให้แก่ชาวอำเภอสัตหีบ ได้อำลาโลกไปแล้ว รวมสิริอายุได้ ๘๒ ปีเศษ …

หลวงพ่ออี๋ เป็นพระสมณะ ที่ได้มอบกาย ถวายชีวิตนี้ ไว้แก่พระพุทธศาสนาแล้ว ท่านพึงพอใจที่จะมีชีวิตอย่างสันโดษ มีสมบัติติดกายเพียงผ้าสามผืน จิตสงบวิเวกเป็นสมถะธรรม ท่านกลายเป็นพระที่ “มีเหมือนไม่มี ” ดังพระอาจารย์ หลายๆ ท่านเช่น หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร หลวงพ่อ มหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีฯ) หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงพ่อจรัล ฐิตปุญโญ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้สั่งสมบารมีมานาน จึงเป็นผู้ “มีเหมือนไม่มี” แล้ว “ไม่มีเหมือนกับมี” เงินทองก็หลั่งไหลเข้ามา มากมาย แต่ท่านไม่เคยยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อท่านเห็นว่า สิ่งอันใดควรจะสร้าง ท่านก็อนุญาต ให้สร้างถาวรวัตถุ ทำความเจริญรุ่งเรืองแก่ สถานที่นั้น แม้สถานที่นั้นจะอยู่ในป่าในดง ก็เจริญขึ้นมากมาย สำหรับหลวงพ่ออี๋ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ศิษย์เกรงว่าจะไม่มีเงินทำศพของท่าน เพราะไปดูกระเป๋าพระ (ย่าม) มีแต่ผ้ากราบ และผ้าเช็ดหน้า-ปาก ผ้ารองนั่งเท่านั้น เงินไม่มีเลย แต่เมื่อตรวจดู ตามภาชนะเก่าๆ บ้าง ใต้ถาด ใต้พานดอกไม้ ที่ลูกศิษย์มาทำบุญกับท่านบ้าง ได้พบเงินที่เสียบไว้กับสิ่งต่างๆ รวมได้ถึง ๒๐,๐๐๐ บาทเศษ หลวงพ่ออี๋ท่านมิได้ถือ ว่าเป็นของท่าน ใครมาวางไว้ที่ใด ก็อยู่ตรงนั้น ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันมรณภาพ นี่คือชีวิตของท่านผู้ทรงคุณ ซึ่งดำรงชีวิต อย่างสมณะโดยแท้จริง … ”

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : dharma-gateway.com
รูปภาพสวยๆจาก : TNews
แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: