3714. อภินิหารหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องตอนเเรก

อภินิหารหลวงพ่อแช่มวัดตาก้องตอนเเรก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ทุกครั้งที่ไพฑูรย์ เขารู้สึกเหมือนว่าเป็นเสือที่หลุดจากกรงเข้าไปในป่า เป็นอิสระ และต้องการจะรักษาอิสรภาพอันสุดหอมหวานนั้นให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในที่จำกัด เหมือนตกนรก ต้องถูกกดดันรอบด้านสำหรับสิงโตหิน แม้ว่าจะไม่มีใครกล้ามาตอแย แต่มันก็เหมือนกับเสือที่เคยอยู่ในป่าแบบอิสระเสรี ไม่ต้องการถูกจำกัดพื้นที่อยู่กิน โดยเฉพาะในบางขวางที่มีเรื่องพิพาทกันไม่เว้นแต่ละวัน เกิดจากสาเหตุที่เขาเรียกคล้องจองว่า

“แย่งข้าวกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันนอน”

ไพฑูรย์บอกว่ามนุษย์เรามีตัณหาเป็นสันดานประจำตัว เมื่อถูกคุมขังไม่ได้เสพกาม อารมณ์ทางเพศก็คุ กรุ่นต้องการได้รับการบำบัด แต่ในคุกเขาแยกส่วนกัน คุกสตรี คุกชาย ไม่ปะปนกัน มนุษย์เราเมื่อตัณหามันเกิด แม้แต่ผู้ชายด้วยกันที่หน้าตาอ่อนๆ ผิวขาวๆ รูปร่างอ้อนแอ้น ก็จะถูกมองว่างดงามเหมือนสตรี เรียกันว่าน้อง คราวนี้บรรดาขาเล็กขาใหญ่ก็จะพากันมาจีบเหมือนจีบชายหญิง มีการสู่ขอ มีสินสอดทองหมั่นมีพยานรู้เห็น ปีๆหนึ่งสมัยที่ไพฑูรย์ถูกคุมขังมีการฆ่ากันตายเพราะแย่งน้องกันปีละหลายศพ

ทุกครั้งที่แหกคุกออกมาก็มักจะหลบหนีวนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯ ก่อน พอมีช่องทางก็หนีไปต่างจังหวัด เรียกว่าเล่นซ่อนหากับตำรวจไปวันๆ อาศัยว่ามีหูตามากมายราวกับสับปะรด จึงรอดมาได้ คราวล่าสุดที่แหกคุกออกมาจากตึกบัญชาการ ก็วนเวียนอยู่ในกรุงเทพฯ ไปกบดานในคณะอั้งยี่แม่ดอกเหมยที่รัก ที่ซ่องมหาภัย

เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงออกเดินทางมุ่งสู่ภาคใต้เพราะตำรวจเหนือคอยดักรออยู่เเล้ว ทางใต้มีพรรคพวกที่เป็นนักโทษชายที่ไพฑูรย์เคยช่วยเหลือ พอที่จะไปขออาศัยหลบอยู่ได้บ้างโดยไปกบดานที่นครปฐมก่อน ที่บ้าน อดีตนักโทษชายสมาน มีบ้านอยู่ที่ ต.ตาก้องพ่อตาของสมานมีอิทธิพลพอสมควร เขาต้องคดีเพราะยิงมือปืนรับจ้างที่จะมาสังหารพ่อตา พ่อตาใช้อิทธิพลช่วยเหลือจนติดคุกไม่กี่ปี เมื่อไพฑูรย์ไปหา สมานสุดแสนดีใจร้องตะโกนว่า

“อาจารย์มาเยี่ยมผมก็ไม่บอกล่วงหน้า ผมจะได้ไปรับ”
“สมานนี่ก็ อั๊วเป็นนักโทษประหาร แหกคุกออกมา ขืนทำซ่าก็เสร็จ กลับเข้าไปอีกก็โดนสามสลบ จะขอหลับสักพัก พอปลอดจะลงไปนครศรีธรรมราช ไปอาศัยลูกหลานของดำหัวเเพร ที่เคยเป็นเพื่อนนักโทษที่บางขวาง” (เรื่องราววีรบุรุษตำหัวเเพรได้ลงไว้ต้นเพจ)

สมานจัดที่ให้อยู่ในสวนหลังเล้าหมูที่สงบเงียบ ห่างไกลจากผู้คน อาหารการกินสมานให้คนงานยกมาให้กินสามมื้อ มื้อเช้ามียกล้อที่ไพฑูรย์โปรดมาให้หนึ่งแก้ว หากจะออกไปเที่ยวนอกที่พักก็ให้บอกก่อนล่วงหน้าสมานจะให้คนรถมาขับรถพาไปยังที่ที่ไพฑูรย์ต้องการก่อนนัดเวลามารับตรงที่เดิมที่มาส่ง

ไพฑูรย์จะใช้วิธีการพรางหน้า ใส่หมวก ใส่แว่น เวลาออกไปข้างนอก ไพฑูรย์มักแวะไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ และไปนั่งพักผ่อนที่ภายในพระราชวังสนามจันทร์บ่อยๆ ในขณะนั้นที่จังหวัดนครปฐมมีเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคมและมีวัตรปฏิบัติประหลาด ๆชื่อ(หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง) วัตรปฏิบัตประหลาดเท่าที่ไพฑูรย์ได้ยินมาก็คือ ไม่ออกบิณฑบาต แต่ปลูกข้าว ทำสวน ทำไร่เอง ต่อเกวียนขาย มีผู้มาสั่งจองเป็นคิวยาว เพราะฝีมือดีปลูกกุฏิเป็นเอกเทศ ไม่อยู่ในบังคับของเจ้าอาวาส ที่เป็นเจ้าคณะตำบล

สมานเสริมให้ฟังว่า พ่อตาของสมานเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อเเช่ม วัดตาก้อง ได้เห็นอภินิหารหลายประการ เช่น วันหนึ่งพ่อตาสมานเอารถไปรับหลวงพ่อที่จะเดินทางไปนครปฐม พอเอารถมาจอด หลวงพ่อแช่มก็เดินมาเกาะรถเเล้วบอกว่า

“อ้ายปลูกมึงเอารถมารับกูจนกูจะเป็นง่อยแล้ว ไม่ได้เดินด้วยเท้า วันนี้มึงขับรถไปเลย กูจะเดินไปเอง”
“เอาอะไรมาพูดหลวงพ่อ เดินจากบ้านตาก้องไปตัวนครปฐม นี่น่ะ บ่ายสองไม่รู้ว่าจะถึงหรือเปล่า”
“เออน่า…อ้ายนี่พูดไม่รู้ฟัง บอกให้ไปก็ไป เดี๋ยวเสกให้รถวิ่งไม่ได้เสียหรอก”

โดนไม้นี้เข้า นายปลูกต้องเดินไปเปิดประตูรถ ติดเครื่องยนต์ขับออกไปตามทางที่ออกสู่ถนนใหญ่ เพราะถ้าแบบนี้หลวงพ่อแช่มไม่ให้ไปส่งแน่ ที่ไหนได้ พอขับรถมาจวนจะถึงปากทางก็เห็นหลวงพ่อแช่มเดินนำหน้ารถอยู่แล้วนายปลูกบอกกับนายสมานลูกเขยว่า

ข้าขับรถมาเรื่อยๆ ระยะทางจากกุฏิหลวงพ่อเเช่มมาปากทางประมาณ 5กิโลฯ ข้าไม่เห็นท่านเดินตามรถมาเลย พอใกล้จะถึงปากทางถึงได้เห็นหลวงพ่อแช่มเดินอยู่ข้างหน้าเเล้ว เป็นไปได้ไงวะอ้ายหมานที่หลวงพ่อจะเดินเร็วกว่ารถยนต์ของข้า ข้าจอดถามหลวงพ่อว่า เดินออกกำลังพอหรือยังหลวงพ่อหัวเราะ ก่อนจะเดินมาเปิดประตูด้านหลังเข้าไปนั่ง บอกกับข้าว่า เดินพอแล้ว ตอนนี้จะนั่งรถยนต์

อีกครั้งหนึ่งที่นายปลูกพ่อตาของสมานเผชิญอภินิหารหลวงพ่อแช่ม นายปลูกเล่าให้นายสมานผู้เป็นลูกเขยฟังว่า

ข้าเห็นพริกขี้หนูที่หลวงพ่อปลูกไว้รอบกุฏิของท่านสุกแดงเถือกไปหมด เมื่อข้านมัสการลากลับได้เอ๋ยปากขอเก็บพริกขี้หนู แต่หลวงพ่อบอกว่า เฮ้ยอ้ายปลูกมึงจะเอาไปทำไมกัน พริกของข้ามันผิดจากพริกทั่วไป มันเป็นพริกหวาน เอาไปตำน้ำพริกหรือผัดเผ็ดไม่ได้ ไม่เชื่อมึงไปเด็ดมาสัก 10เม็ดซิ

เมื้อข้าไปเด็ดมาแล้วหลวงพ่อก็บอกว่า มึงไม่เชื่อก็เอายัดใส่ปากเคี้ยวเลย ว่ามันหวานจริงหรือเปล่า ข้าก็บอกว่ากินเข้าไปก็ปากคอพังซีหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกว่ามึงยังนับถือกูอยู่หรือเปล่า ถ้านับถือกูล่ะก็ มึงรีบเคี้ยว ไม่อย่างนั้นก็อย่ากลับมาหากุอีก ข้าเลยต้องเท พริกขี้หนูเม็ดแดงๆในฝ่ามือลงไปในปากแล้วเคี้ยว

กร้วมๆ กะว่าคงเผ็ดตายห่าที่ไหนได้ กินเเล้วหวานปะแล่มๆ เหมือนกินชมพู่เพรขบุรีเชียว หลวงพ่อหัวเราะลั่น บอกกับข้าว่าพริกหวานโว้ยอ้ายปลูก ข้าจึงบอกว่าไม่เอาก็ได้ หลวงพ่อบอกว่ามึงไปเก็บเอาตามใจชอบ คราวนี้พริกมันเผ็ดแน่ ก่อนเก็บมึงลองเคี้ยวดูเม็ดหนึ่งก่อน ถ้าเผ็ดแล้วค่อยเอาไป ข้าทำตามที่หลวงพ่อบอกพริกต้นเดียวกับที่ข้ากินแล้วหวานปะแล่มๆ กลับเผ็ดจนลิ้นชา”

สมานเล่าต่อไปอีกว่าเมื่อเจ้าคณะจังหวัดมาสอบสวนหลวงพ่อแช่มที่วัดตาก้อง ถึงเรื่องที่หลวงพ่อแช่มทำนา ปลูกพริก ปลูกมะเขือ ทำสวน ไม่ออกบิณฑบาต หลวงพ่อบอกว่าโยมเขารับจัดภัตตาหารมาให้ทุกวัน ส่วนที่ปลูกข้าว ทำไร่ ทำสวน ก็เอาไว้ฉันเอง หากวันใดญาติโยมเขาป่วยมาถวายภัตตาหารไม่ได้ก็จะได้ทำอาหารฉันเอง ผิดพุทธบัญญัติตรงไหน แม้เป็นข้อปาจิตตีก็สามารถปลงอาบัติได้

การไม่เข้าอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มบอกว่า ”ผมบวชอย่างถูกต้อง ตรวจสอบได้ อีกอย่างที่ดินนี้ ญาติโยมเขาอุทิศให้กับผม ไม่ใช่เขตสังฆาวาส เจ้าอาวาสวัดตาก้องไม่ใช่ผู้จะมาปกครองผม ผมไม่มีความผิดร้ายแรงจนเสียสมณสารูปแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจะมาทำอะไรผมอีกประการแต่ครั้งพุทธกาลก็เเบ่งพระออกเป็นสองสายคือปริยัติกับปฏิบัติ อยู่ในอารามกับพระธุดงค์

ส่วนการต่อเกวียน ผมใช้เวลาว่างจากกิจของสงฆ์มาทำไม่ได้ป่าวร้องป้องปากขาย ทำไว้ดูเล่นแต่ชาวบ้านเขาบอกว่าฝีมือดีกว่าเกวียนที่อื่น ราคาก็ไม่แพง ชาวนาจนๆ จะเอาปัญญาที่ไหนไปซื้อเกวียนเเพงๆ ไพฑูรย์ได้ยินเรื่องของหลวงพ่อแช่มก็รู้สึกสนใจ จึงขอให้สมานบอกทางที่จะไปยังกุฏิหลวงพ่อแช่มวัดตาก้อง เพื่อจะไปนมัสการหลวงพ่อแช่มด้วยตัวเอง

ไพฑูรย์เล่าว่า กุฏิหลวงพ่อแช่มเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ปลูกอยู่บนที่ดินที่มีคูน้ำลึกกั้นอยู่ มีสะพานไม้ทอดข้ามไปเป็นทางเข้าออกเดียวเท่านั้น ที่น่าเกรงขามคือ หัวสะพานมีสุนัขบ้านสองตัวล่ามติดกับเสาสะพาน พอเห็นคนแปลกหน้าก็เห่าแล้วแยกเขี้ยวหลามคอยต้อนรับให้จมเขี้ยว

ไพฑูรย์ตัดสินใจจะเข้าไป จึงผลักประตูรั้วเข้าไปยังหัวสะพาน เพราะเชื่อถือในผ้ารอยเท้ากับกระชายดำว่าป้องกันเขี้ยวสุนัขได้ จึงเดินตรงเข้าไป สุนัขแยกเขี้ยวขาวเตรียมกัด ไพฑูรย์เดินเข้าไประหว่างสุนัขสองตัว จึงพบว่าสุนัขถูกล่ามด้วยเชือกสั้นๆ ไม่อาจจะเข้ามากัดได้ เพียงแต่ว่าหากมองมาในระยะไกลจะดูเหมือนว่าสุนัขถูกผูกไว้ให้กัด เดินผ่านไปได้อย่างสบาย

ขณะมาถึงปลายสะพานที่จะมายังกุฏิ เสียงอันทรงอำนาจก็ดังอยู่ตรงหน้า รู้สึกได้ว่ามีผู้ยืนอยู่แต่กลับมองเห็นแต่ความว่างเปล่า แน่มาก หลายเดือนแล้วไม่มีใครผ่านเข้ามาถึงตรงนี้ มีแต่อ้ายพวกใจปลาซิวปลาสร้อยทั้งนั้นจะเข้ามาหาข้าแต่กลับกลัวหมากัด ใจแบบนี้จะมาหามาขอเล่าเรียนวิชา อย่าเข้ามาเลย

หันกลับไปดูที่หัวสะพานอีกด้าน ที่มีสุนัขผูกอยู่ ไม่มีสุนัขอยู่ที่นั่นเเล้ว มันหายไปได้อย่างไรพอหันกลับมา พระภิกษุรูปร่างใหญ่ ผิวคล้ำ สวมสบง มีจีวรพาดบ่า ในมือถือเสียม ยืนประจันหน้าอยู่ ไพฑูรย์ทรุดตัวลงคุกเข่าก้มลงกราบแทบเท้าพระภิกษุรูปนั้นหนึ่งครั้งตามธรรมเนียม เพราะหลวงพ่อเดิมอบรมว่า กราบพระพุทธสามหน กราบพระสงฆ์กราบหนเดียว เพราะเป็นเพียงหนึ่งในสรณะทั้งสาม

ศิษย์มีครู อบรมกับมาดี เสียเเต่ว่าดวงมันตกดาวโจร มีเหตุให้เป็นไป เข้าไปในกระท่อมเถอะกินน้ำกินท่าเสียก่อนค่อยคุยกันในกุฏิหรือกระท่อมของหลวงพ่อแช่มไม่มีของมีค่าสักชิ้น ที่โต๊ะบูชามีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่องค์หนึ่งมีเเคร่ไม้ไผ่ที่หลวงพ่อจำวัด มีรูปปั้นพระฤาษีหนึ่งองค์กับเก้าอี้ที่ทำจากไม้ไผ่วางไว้สองสามตัวหลวงพ่อแช่มเดินไปนั่งที่แคร่ ไพฑูรย์เดินไปนั่งเก้าอี้ไม้ไผ่

หลวงพ่อเเช่มท่านรู้จักหลวงพ่อเดิมเป็นอย่างดี ท่านว่าท่านเคยพบระหว่างธุดงค์ไพฑูรย์ได้ขอของดีจากหลวงพ่อแช่ม ท่านบอกกับไพฑูรย์ว่า ของดีที่ฉันมีอยู่ก็มีแบบเดียวกับที่หลวงพ่อเดิมนั้นเเหละ ไพฑูรย์จึงขอพระคาถาที่หลวงพ่อเมตตามอบให้ หลวงพ่อแช่มจึงให้คาถาที่ไพฑูรย์ได้จดมาให้คือคาถาตวาดฟ้าป่าหิมพานต์เมื่อจะเข้าตาจน ศัตรูล้อมไว้แน่น ต้องการจะแหวกทางออกไปให้ได้ ก็ให้ตั้งจิตให้มั่น แล้วภาวนาคาถาว่า

“ภะ สัม สัม วิ สะ เท พะ ภะ”

ภาวนาในจิตให้เกิดความฮึกเหิม ปลุกตัวให้พร้อมแล้วจึงออกวิ่งเข้าหา ก่อนจะเข้าหาให้ตวาดให้เสียงดังที่สุดว่า

“เฮ้ย นะโม พุทธายะ ปะทะ ปรมะ สัพพะศัตรู อัปราชะยัง”

ศัตรูจะเกิดความระย่อ มีอาวุธก็เงื้อค้าง ไกปืนลั่นไม่ออก จนพ้นไปแล้วจึงได้สติ แต่ตอนนั้นเราก็แหกวงล้อมไปได้เเล้ว ไพฑูรย์บอกว่าเคยทอลองใช้แล้วเห็นผล โดยเมื่อได้รับอภัยโทษได้ประกอบอาชีะยาม พวกคนงานจับกังที่ชอบขโมยของในโกดัง ถูกไพฑูรย์จับได้นำส่งตำรวจ โกรธเเค้นพาพวกมาดักทำร้ายแบบ 5ต่อ 1 แต่ไพฑูรย์ใช้คาถาตวาดฟ้าป่าหิมพานต์แหวกทางออกไปพร้อมกันไม้คมแฝกคู่มือ พวกนั้นมีทั้งหลาวทองเหลือง ดาบ และมีดพก แต่กลับถูกไพฑูรย์ตีหัวแตกทุกคน

เรื่องไปถึงตำรวจ พยานยืนยันว่าฝ่ายจับกังห้าคนมาดักรอหาเรื่องก่อน ไพฑูรย์สู้ตัวคนเดียว เมื่อเรื่องถึงศาล ศาลตัดสินให้เป็นการป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ เพราะอัยการท่านทำสำนวนตามความเป็นจริง ไม่มีอคติว่าเคยเป็นนักโทษคนสำคัญมาก่อน

ไพฑูรย์กลับมาบ้านของสมาน บอกว่าตนจะไปพักอยู่กับหลวงพ่อแช่มประมาณ 7วัน การขอเป็นศิษย์ก็ไม่มีอะไรมาก ใช้ดอกไม้ธูป เทียน กับเงิน 9บาทเท่านั้น แต่จะเรียนสำเร็จหรือไม่ ก็เเล้วแต่วาสนาบารมีของเเต่ละคน ทั้่งฆราวางทั้งสงฆ์มาเรียนกันมาก แต่สำเร็จน้อยเต็มที

สำหรับตอนนี้ขอมอบพระคาถา ◎ตวาดฟ้าป่าหิมพานต์◎
เมื่อจะเข้าตาจน ศัตรูล้อมไหวจนหนาแน่น ต้องการจะแหวกทางออกไปให้ได้ ก็ตั้งจิดให้มั่น แล้วภาวนาคาถาว่า

“ภะ สัม สัม วิ สะ เท พะ ภะ”

ภาวนาในจิตให้เกิดความฮึกเหิม ปลุกตัวให้พร้อมแล้วจึงออกวิ่งเข้า ก่อนจะเข้าหาให้ตวาดให้เสียงดังที่สุดว่า

“เฮ้ย นะโม พุทธายะ ปะทะ ปรมะ สัพพะศัตรู อัปราชะยัง”

ศัตรูจะเกิดความระย่อ มีอาวุธก็เงื้อมือค้าง ไกปืนลั่นไม่ออก จนพ้นไปแล้วจึงได้สติ แต่ตอนนั้นเรา ก็เเหกวงล้อมไปได้แล้ว

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: