6319.ชีวิตสังคมของโกษาปาน ในขณะพำนักอยู่ที่กรุงฝรั่งเศส

ชีวิตสังคมของโกษาปาน ในขณะพำนักอยู่ที่กรุงฝรั่งเศส โดย นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงส่งคณะทูตไทย ไปเจริญไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งกรุงฝรั่งเศส รวมทั้งหมดถึง 4 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกทรงแต่งตั้งให้พระพิพัฒน์ราชไมตรี หลวงศรีวิสารสุนทร และขุนนครวิชัย นำพระราชสาส์นไปถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2224 แต่เคราะห์ร้าย เรือสำเภาไปต้องมรสุมใกล้เกาะมาดากาสกา และแตกอัปปาง คณะทูตไทยจมน้ำตายหมดสิ้น


พระยาโกษาธิบดีปาน

อีก 2 ปีต่อมา สมเด็จพระนารายณ์จึงส่งข้าราชการผู้น้อยสองคน จากกรมท่า และกรมอาสาจาม ให้โดยสารเรือกำปั่นฝรั่งเศส ไปติดตามถามข่าวคณะทูตแรก ข้าราชการทั้งสองนี้ เดินทางถึงกรุงปารีสได้โดยปลอดภัย ได้มีโอกาสเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และกราบทูลถึงความประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์ ที่จะเจริญไมตรีด้วย พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสจึงส่งเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ให้ถือราชสาสน์มาถวายพระนารายณ์ที่กรุงศรีอยุธยา

เมื่อถึงเวลาที่คณะทูตฝรั่งเศสจะเดินทางกลับ สมเด็จพระนารายณ์จึงแต่งตั้งให้โกษาปาน ซึ่งขณะนั้นมียศเป็นเพียงพระวิสูตรสุนทร นำคณะทูตานุทูตสยามมาเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วย

คณะทูตไทยนี้ สมเด็จพระนารายณ์ทรงส่งกลับมาพร้อมกับเชอวาเลีย เดอ โชมองต์ ราชทูตฝรั่งเศสที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ส่งมาเฝ้าพระเจ้ากรุงสยาม เดินทางโดยเรือสำเภารบของประเทศฝรั่งเศส ออกจากกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2229 ข้ามท้องทะเลเป็นเวลาสองเดือนได้โดยปลอดภัย จึงมาถึงท่าเรือเมืองเบรสต์แห่งกรุงฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2229


คณะราชทูตสยาม

เมื่อเรือสำเภาจอดทอดสมอแล้ว บาทหลวงวาเชซึ่งติดตามมาในคณะพระฝรั่งเศส ก็ขึ้นเรือเล็กมาพบกับ มองซิเออร์ เดอคลูโซ แม่ทัพเรือฝรั่งเศส เพื่อรายงานว่า บัดนี้คณะราชทูตสยามได้มาถึงแล้ว นายคลูโซกับเจ้าพนักงานเมืองเบรสต์ทั้งหลายก็อุตส่าห์มาเยี่ยมคำนับแสดงความเคารพถึงบนเรือ และในวันรุ่งขึ้นก็จัดพิธีรับรองอย่างสมเกียรติยศ จดหมายของบาทหลวงวาเชเล่าว่า

“ครั้งรุ่งขึ้นพอสว่างป้อมที่หน้าเมืองได้ยิงปืนใหญ่ 50 นัด แลบันดาพลทาหรที่ประจำอยู่บนป้อมนั้น ได้ยิงปืนเล็กพร้อมกัน ยังมีปืนใหญ่อีกกว่า 200 กระบอก ซึ่งอยู่ตามสพานแลที่อื่นได้ยิงไม่หยุดตลอดวัน

พวกเรือที่มีปืนใหญ่ก็ยิงเหมือนกัน ครั้งเวลาบ่ายประมาณ 2 โมง มองซิเออร์ เดอคลูโซ กับท่านผู้ว่าราชการเมือง แลข้าราชการเจ้าพนักงานทั้งหลาย แลกัปตันนายเรือได้พร้อมกันนำเรือลำหนึ่ง ซึ่งดาดแลประดับด้วยผ้าลายทอง ปักธงทิวทำด้วยแพรสีขาวปักทอง ที่ท้ายเรือทำเป็นคูหาอย่างงดงามน่าชมบัญจุคนได้ 10 คน เรือลำนี้มีคนตีกรรเชียง 50 คน แต่งตัวอย่างเรียบร้อยทุกคน


ออกพระวิสูตรสุนทร

แลมีปืนใหญ่ขนาดย่อมทาเงิน 3 กระบอก มีแตร มีฉาบ มีปี่ มีซอ นับไม่ถ้วนด้วย ท่านที่ออกชื่อมาแล้วนั้นได้นำเรือลำนี้มาอย่างช้า แลเรือทั้งหลายได้เดินมาเป็นกระบวนอย่างเรียบร้อย จนถึงเรือที่ท่านราชทูตสยามอยู่ เจ้าพนักงานเหล่านี้ได้รออยู่ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้ท่านราชทูตเตรียมตัว

ครั้นแล้วท่านราชทูตได้ลงมาในเรือนั่ง ณ ที่เกียรติยศ มองซิเออร์ เดอ โชมองต์ กับมองซิเออร์ เดอ ชัวซี ตามหลังท่านราชทูตสยามลงมา มองซิเออร์ เดอ คลูโซ หัวหน้ากระทรวงทหารเรือ นั่งข้างขวา ท่านผู้ว่าราชการเมืองนั่งข้างซ้าย ล่ามแลตัวข้าพเจ้านั่งเคียงผู้ว่าราชการเมือง

ส่วนข้าราชการไทยที่มาในคณะราชทูตนั้น ได้ลงเรือลำอื่น ๆ ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ พระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสยามนั้นบัญจุหีบทองคำ วางอยู่บนตักของท่านราชทูตที่หนึ่ง พอต่างคนได้นั่งตามที่แล้วก็ได้ออกเรือทันที เรือชื่ออัวโซ ได้ยิงปืนใหญ่ทุกกระบอก เรือชื่อมาลีน ก็ยิงเหมือนกัน ฝ่ายบนป้อมที่ท่าเรือแลเรือทุก ๆ ลำ ได้ยิงตอบพร้อมกัน แลได้ยินต่อไปจนดึกแล้วก็ยังไม่หยุดยิง”

ทำเนียบรับรอง เดอ คลาญญี ใกล้พระราชวังแวร์ซาย ที่พำนักของโกษาปานและราชทูต

รวมความว่าทางฝ่ายฝรั่งเศสเขาให้ความต้อนรับโกษาปานราชทูตของเราอย่างดีเลิศ เอาเรือบุผ้าทองมารับ ยิงปืนใหญ่กันตลอดบ่ายจนดึก น่าสงสารชาวบ้านชาวเมืองเบรสต์ที่คงจะหูตึงไปหลายคน เมื่อคณะทูตไทยขึ้นบนบกแล้ว ก็ยังมีทหารฝรั่งเศสถือปืนยาวยืนต้อนรับทั้งสองฟากถนน บาทหลวงวาเชเล่าต่อไปว่า

“พอพวกเราได้ขึ้นไปบนบ้านแล้ว ท่านหัวหน้าราษฎรและเจ้าพนักงานรอง ๆ ได้มาหาพร้อมกัน แลกล่าวคำรับรองท่านราชทูต ทั้งเอาของมาให้คือ สุราต่าง ๆ เครื่องกวน เทียนไข แลผลไม้ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในฤดูนั้น

ฝ่ายภรรยาของมองซิเออร์ เดอ คลูโซ ก็ได้รวบรวมบรรดาผู้หญิงผู้ดีในเมืองเบรสต์ ล้วนแต่แต่งตัวอย่างวดวามที่สุด พอท่านราชทูตได้เดินเข้าไปในห้องใหญ่ ผู้หญิงเหล่านี้ก็คำนับพร้อมกัน ตั้งแต่เกิดมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านราชทูตสยามได้จูบหญิงชาวต่างประเทศ ที่แก้ม แลในเรื่องจูบกันนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านราชทูตตกใจ ก็ได้บอกให้รู้ตัวกันไว้


ประตูชัย หลุยส์ 14 แซ็ง อ็องตวน คือประกรุงปารีสที่คณะราชทู
ตได้รับการตอนรับจากฝรั่งเศ
สอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2229

เสร็จแล้วท่านราชทูตที่หนึ่งได้จับมือมาดามเดอคลูโซ มาดามเดอคลูโซจึงได้พาท่านราชทูตเข้าไปในห้องอันงดงามห้องหนึ่ง ซึ่งได้เตรียมการเลี้ยงไว้อย่างใหญ่โตอยู่ในห้องนั้นแล้ว ครั้งกลางคืนเวลายามหนึ่ง ได้จัดโต๊ะรับประทานอาหารไว้ 24 ที่ แลได้เลี้ยงอาหารล้วนแต่อย่างอร่อยน่ารับประทาน แลเปนของที่หายากทั้งนั้น

นอกจากโต๊ะใหญ่นี้ ยังมีโต๊ะเล็กอีก 6 โต๊ะ โต๊ะหนึ่งนั่งได้ 8 คน ทั้งโต๊ะใหญ่โต๊ะเล็กเหล่านี้รับประทานพร้อมกันหมด ในระหว่างที่รับประทานอยู่นั้น ก็มีมโหรีบัลเลงเพลงต่าง ๆ และมีคนเสียงเพราะร้องรับด้วย เมื่อเสร็จการเลี้ยงแล้ว ต่างคนก็ลากลับไป เพื่อท่านราชทูตจะได้พัก

สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจนั้น ก็ที่ได้เห็นท่านราชทูตไม่มีความสทกสท้านเลย แลวางท่าทางสมเกียรติยศ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าทำนายว่า การข้างหน้าคงจะเปนผลดี จริงอยู่ตามทางได้สนทนากันอยู่เสมอ ๆ ถึงธรรมเนียมแลแบบแผนดีต่าง ๆ ของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉนั้น เมื่อท่านราชทูตได้มาเห็นเข้าแล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกอะไร ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย”

ความจริงก็ต้องชมเชยฝรั่งเศสเขา ที่ถึงแม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจ มีความเจริญรุ่งเรือง และมีกองทัพที่แข็งแกร่ง กว่ากรุงสยามหลายเท่า ก็ยังรู้จักทำตัวสุภาพให้เกียรติต่ออาคันตุกะต่างเมือง

แม้แต่สตรีผู้ดีชั้นสูงของเขา ก็แต่งตัวสวยสดงดงามมาคำนับราชทูตของเรา ซึ่งเป็นเพียงออกพระข้าราชการผู้น้อยเท่านั้น ซ้ำเวลาแนะนำตัวยังมีการหอมแก้มกันเสียอีก ไม่ทราบว่าโกษาปานท่านจุมพิตด้วยริมฝีปากแบบฝรั่ง หรือสูดด้วยจมูกฟอด ๆ แบบไทย ฝรั่งเขาก็มิได้รังเกียจคิดว่าเราเป็นคนป่าเถื่อนหรือเป็นลิงเป็นค่างมาจากที่ใด การต้อนรับของเขานี้ แสดงให้เห็นลักษณะอารยธรรมอันก้าวหน้าของเขาอย่างแท้จริง


ปราสาทเดอ แบร์นี่ อีกสถานที่ที่ทางฝรั่งเศสจั
ดให้คณะราชทูตพำนัก

หลังจากพักผ่อนที่เมืองเบรสต์อยู่หลายวัน จนหายเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางต่อไปยังกรุงปารีสต่อไป นั่งรถม้าผ่านเมือง Orleans ถึงเมือง Berny และพักผ่อนอยู่ที่เมืองนี้อีกประมาณหนึ่งเดือน ระหว่างพำนักอยู่ในบ้านต้อนรับของหลวงนี้ ก็มีขุนนางข้าราชการนำนักดนตรีมาเล่นคอนเสิร์ทต้อนรับ มีระบำและละครมาให้คณะราชทูตชมอยู่เสมอ

และที่เมืองนี้เอง ที่ไทยเราเกือบถูกฝรั่งเขาเล่นกลด้วย คือ มีขุนนางสูงศักดิ์ผู้หนึ่งคือ Marquis De Seignelay คิดลองดีอยากดูวิว่าท่านทูตไทยนั้น มีสติปัญญาที่จะแยกคนชั้นสูงชั้นต่ำออกจากกันได้หรือเปล่า จึงทำอุบายให้ผู้รับใช้ปลอมตัวเป็นเจ้านาย ส่วนท่านเองรวมทั้งบุตรภรรยา และขุนนางผู้ใหญ่กับพระชั้นสูงอื่น ๆ ซึ่งมีทั้งคนขนาดดุ๊ก และอาชบิชอบ ปลอมตัวเป็นผู้ติดตาม

เผอิญบาทหลวงวาเชท่านได้ทราบถึงการเล่นสนุกของขุนนางฝรั่งเศสนี้ ท่านจึงแอบกระซิบบอกโกษาปานว่าขุนนางหรือพระคนไหนมีหน้าตาเป็นอย่างไร ท่านราชทูตไทยจึงพยายามจดจำไว้ในใจ ไม่ยอมขายหน้าให้เขาเยาะได้ บาทหลวงวาเชเล่าต่อไปว่า

“แต่ข้อที่น่าขันแลแปลกที่สุดก็คือ ในเวลาที่ท่านมาควิศเดอเซเนเล ได้มาพร้อมด้วยบุตรแลภรรยา แลมาควิศ เดอ เซเนเล ก็ไม่ต้องการให้รู้ว่าตัวเปนใคร เพราะได้จัดให้มองซิเออร์ เดอมองโตเซีย ปลอมตัวเปนหัวหน้า ควบคุมท่านผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ เพราะคนในหมู่นี้ มีทั้งดุ๊กแลดัชเชซด้วย

ได้มีคนมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า มองซิเออร์ เดอ เซเนเลแลคนอื่น จะปลอมตัวมาดังนี้ แลห้ามไม่ให้ข้าพเจ้าบอกท่านราชทูตที่หนึ่งให้รู้ตัว แต่เรื่องนี้เป็นการสำคัญที่จะต้องระวัง ไม่ให้ท่านราชทูตพลาดได้ ข้าพเจ้าจึงได้กระซิบต่อท่านราชทูตที่หนึ่ง โดยเฉพาะบอกลักษณรูปพรรณของท่านทั้งหลายที่จะมาในคราวนี้ แลได้บอกลักษณมองซิเออร์ เซเนเลกับภรรยา ทั้งลักษณะของท่านอาชบิชอบ เดอ รูอังโดยละเอียด เพื่อจะไม่ให้ผิดตัวได้

เพราะท่านอาชบิชอบจะปลอมตัวเป็นบาทหลวงประจำตัวมองซิเออร์ เดอ มองโตเซีย แลทั้งท่านมาควิศ เดอ เซเนเล แลท่านอาชบิชอบ เดอ รูอัง จะไม่ติดเครื่องหมายยศแลตำแหน่งจนอย่างเดียว นอกนั้นการจะเป็นประการใด ข้าพเจ้าต้องยอมให้เป็นไปตามการ เพราะข้าพเจ้ายังเชื่อในความฉลาดไหวพริบของท่านราชทูตที่หนึ่งพอแล้ว”

ภาพประกอบจากหนังสือ โกษาปาน ราชทูตผู้กู้แผ่นดิน ของ อ.ภูธร ภูมะธน

โดย นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: