6315.สีจ้งซวิน กอบกู้พระธาตุท่านฮุ่ยเหนิง

สีจ้งซวินกอบกู้พระธาตุท่านฮุ่ยเหนิง

สีจ้งซวิน ถือเป็นแมวเก้าชีวิตคนหนึ่งของพรรคอมมิวนิสต์จีน เขาผ่านความเป็นความตายมาได้หลายครั้ง อายุ 15 เป็นแกนนำต่อต้านระบอบการศึกษาเก่า จึงถูกรัฐบาลก๊กมินตั๋งขังคุกฐานชุมนุมประท้วง ในปีนั้นเขาเขาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในคุกนั่นเอง

อายุ 22 ก็เกือบถูกประหารเพราะถูกพวกฝ่ายซ้ายจัดในพรรคคอมมิวนิสต์กวาดล้างฐานซ้ายไม่พอ เดชะบุญที่เหมาเจ๋อตงมาช่วยทันการณ์ก่อนถูกประหารแค่ 4 วัน

หลังพรรคคอมมิวนิสต์ครองแผ่นดินได้ เตรียมบุกเข้ายึดทิเบต ทว่าคนท้องถิ่นก่อการต่อต้าน กองทัพแดงเกือบจะใช้กำลังเข้าปราบหนักอยู่แล้ว

แต่สีจ้งซวินขอให้ไม้นวมเจรจากับชนเผ่าท้องถิ่น หัวหน้าเผ่าแถบนั้นถูกจับแล้วปล่อย ถูกปล่อยแล้วสู้ต่อหลายครั้ง สีจ้งซวินก็ยังอดทนต่อพวกเขา จนกระทั่งหัวหน้าชนเผ่าซาบซึ้งในน้ำใจ ยอมวางอาวุธ สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลใหม่

เหมาเจ๋อตงชมเชยว่าสีจ้งซวินนั้นเหมือนกับขงเบ้งที่จับเบ้งเฮ็กแล้วปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า จนซื้อใจอีกฝ่ายไว้ได้


เหมาเจ๋อตุง

เขาเป็นคนซื่อตรงและมีคุณธรรม แม้แต่องค์ดาไลลามะก็ยังกล่าวด้วยความชมชอบว่า สีจ้งซวินเป็นคนมีไมตรี ใจกว้าง และอุปนิสัยดี จึงมอบนาฬิกาให้เขาเรือนหนึ่งเป็นที่ระลึกเมื่อปี 1954 สีจ้งซวินใส่มันจนกระทั่งในช่วงท้ายๆ ของชีวิต

แต่ในช่วงการโค่นล้มฝ่ายขวาในทศวรรษที่ 50 สีจ้งซวินถูกพิษภัยทางการเมืองจนถูกปลดจากตำแหน่งระดับสูงในพรรคไปเป็นแค่รองผู้จัดการโรงงานรถไถที่ลั่วหยาง มิหนำซ้ำในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมเขายังถูกเล่นงานอีกรอบแล้วถูกจับขังคุก ผ่านความทุกข์ทรมานถึง 16 ปี กระทั่งลูกเมียมาเยี่ยมยังจำสภาพของเขาไม่ได้ เป็นที่น่าเวทนานัก

แต่แมวเก้าชีวิตไม่ยอมตายง่ายๆ

ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นทั่วแผ่นดิน ของโบราณล้ำค่าถูกทำลายไปมากมาย

ที่มณฑลกวางตุ้ง วัดหนานหัว มีของสำคัญชิ้นหนึ่ง คือร่างกายไม่เน่าเปื่อยของพระเถระฮุ่ยเหนิง บูรพาจารย์ลำดับที่ 6 (ลิ่วจู่) แห่งนิกายฉาน (นิกายเซน) รักษาไว้แต่ครั้งราชวงศ์ถังมีอายุถึง 1,200 ปี ยามมีเภทภัยเช่ยภัยแล้วและโรคระบาดเคยอัญเชิญออกมาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจประชาชน

ร่างพระธาตุนี้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการทำลายล้างมาหลายครั้ง ก่อนหน้านี้ ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น มีพวกทหารญี่ปุ่นพาหมอมาล่วงเกินร่างของท่าน ทำการเจาะ “ร่างพระธาตุ” เพื่อตรวจว่าเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อเห็นว่าภายในมีเครื่องในแห้งอยู่ จึงทราบว่าเป็นของจริง พากันกราบกรานขอขมาที่ล่วงเกิน

แม้แต่พวกญี่ปุ่นยังบูชา แต่ชาวจีนยุคบ้าคลั่งมีมารมาบังเกิด ไม่เพียงไม่บูชายังหาเรื่องทำลาย

ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม พวกเรดการ์ดบุกมาที่วัดหนานหัว ทำลายสิ่งของล้ำค่ามากมาย บุกเข้ามาในวิหารประดิษฐานร่างพระธาตุของลิ่วจู่ แล้วเจาะดูภายในว่าเป็นของจริงหรือไม่

แต่พวกนี้มีตาหามีแววไม่ เมื่อเห็นในร่างท่านมีโครงเหล็กค้ำไว้ (อันเป็นวิธีการรักษาร่าง) จึงคิดว่าเป็นของปลอม จึงล้วงเอาเครื่องในออกมาโยนทิ้ง กระชากโครงกระดูกออกมาโยนลงกับพื้นแล้วบอกว่านี่กระดูกหมู กระดูกหมา แล้วเขียนกระดาษแปะไว้ที่ศีรษะร่างท่านลิ่วจู่ว่า “คนชั่ว”

คราวนั้นพระธรรมาจารย์ฝอหยวน ภิกษุรูปสำคัญในวัดถูกพวกเรดการ์ดทำร้ายหนักหน่วงไม่เบา แต่ท่านไม่อาจทอดทิ้งพระธาตุของลิ่วจู่ได้ จึงแอบรวบรวมแล้วนำไปซ่อนไว้ ส่งข่าวให้พระเถระรูปหนึ่งที่ฮ่องกงให้ช่วยเดินทางมาเยี่ยมวัดแล้วทำทีเป็นถ่ายรูป เพื่อกำหนดจุดซ่อนพระธาตุไว้ รอเวลาอันเหมาะสมนำกลับมาซ่อมแซมบูชา


สีซ้งจวิน​ มีลูกชายสองคน​ คนซ้ายคือ​ สีจิ้นผิง

นี่คือภาระกิจที่เสี่ยงชีวิตมาก หากพวกเรดการ์ดล่วงรู้ อาจถึงตายได้

พวกท่านรอจนกระทั่งการปฏิวัติวัฒนธรรมจบลง ในปี 1979 ท่านฝอหยวนเป็นอิสระจากการคุกคาม แล้วเดินทางไปปักกิ่งเพื่ออบรมธรรมะ

ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี คือปี 1978 สีจ้งซวินแมวเก้าชีวิตมีชีวิตที่รุ่งเรืองอีกครั้ง เขาพ้นจากมลทินเช่นกัน แล้วได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการปกครองมณฑลกวางตุ้ง

ในตอนนั้นกวางตุ้งยากจนและวุ่นวายนัก ประชาชนแห่แหนจะอพยพไปฮ่องกงเพื่อโอกาสที่ดีกว่าในชีวิต แต่เขากลับมองเห็นโอกาสทองกวางตุ้งที่จะเป็นเสือเศรษฐกิจใหม่ จึงเสนอส่วนกลางขอริเริ่มนโยบายปฏิรูปเศรษกิจในท้องที่

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เติ้งเสี่ยวผิงคือเจ้าของไอเดียเปิดประเทศเพียงลำพัง แต่เป็นสีจ้งซวินที่เสนอเติ้งเสี่ยวผิงเพื่อขอปฏิรูปกวางตุ้งเป็นมณฑลนำร่องให้เป็นเมืองเปิด และเขานี่เองที่เป็นตัวตั้งตัวตีเสนอขอตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หนึ่งในนั้นคือเซินเจิ้น

เติ้งเสี่ยวผิงบอกว่า รัฐบาลไม่มีเงินให้หรอกนะ แต่จะให้นโยบายสักสองสามแนวทางเท่านั้น ที่เหลือคุณต้องแผ้วถางเส้นทางบุกตลุยทำให้สำเร็จเอง


เติ้งเสี่ยวผิง

ทุกวันนี้เราเห็นแล้วว่าสีจ้งซวินทำสำเร็จหรือไม่

ระหว่างที่คืนชีวิตให้ประชาชนนั้น เขาได้รับจดหมายสำคัญจากจ้าวผู่ชู นายกสมาคมพุทธศาสนาแห่งจีนที่ปักกิ่ง

เรื่องก็คือเมื่อท่านฝอหยวนเดินทางไปปักกิ่งนั้น ท่านได้เปิดเผยว่าร่างพระธาตุของบูรพาจารย์ที่ 6 ยังคงอยู่เก็บรักษาไว้ในสถานที่ลับ ผู้ที่ทราบเรื่องต่างตื่นเต้นยิ่งนัก และแจ้งกับจ้าวผู่ชู ในฐานะผู้เป็นสื่อกลางกับรัฐบาล

จ้าวผู่ชูถึงกับช็อคแล้วรีบเขียนจดหมายถึงสีจ้งซวินในทันที เพราะในเวลานั้นไม่มีใครในกวางตุ้งที่จะใหญ่เกินสีจ้งซวินอีกแล้ว จดหมายฉบับนั้นขอให้สีจ้งซวินช่วยส่งคนไปที่วัดหนานหัวเพื่อจัดการกับเรื่องนี้

สีจ้งซวินได้รับจดหมายก็รีบสั่งให้รองผู้ว่าการมณฑลไปยังวัดหนานหัวในทันทีเช่นกัน แต่ในเวลานั้นแม้จีนจะเริ่มการปฏิรูป แต่การศาสนายังถูกกีดกัน เพราะรัฐบาลยังไม่สั่งให้รื้อฟื้นเสรีทางศาสนาอีกครั้ง ทางวัดหนานหัวรู้สึกกังวลไม่อาจปฏิบัติตามคำสั่งได้

สีจ้งซวินมีคำสั่งเด็ดขาดว่า “เห็นชอบให้บูรณะ ถึงไม่เห็นชอบก็ต้องบูรณะ นี่เป็นคำสั่ง!”

หมายความว่าถึงวัดหนานหัวกลัวจนไม่กล้าขยับ เขาก็จะซ่อมพระธาตุอยู่ดี หรืออาจแปลความหมายได้ว่า ถึงไม่อาจขัดคำสั่งรัฐบาลกลางที่ยังห้ามการศาสนาได้ แต่เขาเห็นควรว่าจะต้องบูรณะร่างพระธาตุของท่านลิ่วจู่โดยเร็ว และต้องทำตามคำสั่งนี้โดยไม่มีบิดพริ้ว

เมื่อคำสั่งออกมา ท่านฝอหยวนจึงถูกส่งตัวกลับไปช่วยในการบูรณะร่างพระธาตุ ท่านได้มีโอกาสได้เชิญพระธาตุออกจากที่ซ่อน ได้สัมผัส และทำความสะอาด แล้วซ่อมแซมจนเป็นร่างอันสมบูรณ์ครั้งหนึ่ง

หลังจากริเริ่มการปฏิรูป สีจ้งซวินได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับบริหารประเทศ ในเวลานั้นจีนกำลังเบ่งบานจาการปฏิรูปและเปิดประเทศ จนกระทั่งเกิดกระแสเรียกร้องประชาธิปไตยที่เรารู้จักกันในกรณีเทียนอันเหมิน และเขาเป็นหนึ่งในคนที่คัดค้านการส่งทหารไปปราบนักศึกษาประชาชาชน แม้ว่าการคัดค้านจะไม่สำเร็จก็ตาม


องค์ดาไลลามะ

ถึงจะแสดงจุดยืนคัดค้านผู้นำ แต่สีจ้งซวินกลับไม่ถูกเล่นงาน เขาอยู่เกษียณจากตำแหน่งระดับนำของชาติในปี 1993 แล้วกลับอยู่ที่เซินเจิ้น เมืองที่เขาให้กำเนิดมันขึ้นมา

เขาเสียชีวิตในปี 2002 องค์ดาไลลามะให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่าก่อนที่สีจ้งซวินจะตายเขาอยากจะพบกับดาไลลามะอีกสักครั้งหนึ่ง แต่น่าเสียดายเขาไม่มีโอกาสนั้น

และสีจ้งซวิน ยังไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าในปี 2013 ลูกชายของเขาที่ชื่อ “สีจิ้นผิง” จะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีจีน และหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก



ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง

ภาพประกอบ – ร่างพระธาตุของพระเถระฮุ่ยเหนิง คาดว่าถ่ายในทศวรรษที่ 30 ตอนที่ยังไม่ถูกทำลาย ภาพจาก 兹在文斯

Cr.Kornkit Disthan

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: