501.เรื่องเล่าอภินิหาร หลวงพ่อ แช่ม วัดตาก้อง
เรื่องเล่าอภินิหาร หลวงพ่อ แช่ม วัดตาก้อง
หลวงพ่อ แช่ม วัดตาก้อง ท่านชอบทำไร่ ทำนา เลี้ยงวัว และสัตว์ทุกชนิด ขนาดหมูป่าเปียว ๆ ท่านนำมาเลี้ยงเดินไปเดินมาแถวใต้เตียง (กระดานแผ่นเดียว) ที่ท่านนอน (การทำไร่ท่านให้ลูกศิษย์และหลาน ๆ ทำ ไม่ใช้ลงมือเอง) เคยปรากฏ มีขโมยมาขโมยวัวของท่านไป 2 ตัว
พอลูกศิษย์มาบอกว่าวัวหายท่านถามว่ามันไปทางไหน
ลูกศิษย์ก็ชี้มือว่ามันขโมยไปทางโน้น ท่านก็เดินไปหารอยวัว
พอเห็นรอยเท้าวัวและคนจูง ก็นั่งยอง ๆ ลงมองรอยนั้น
สักครู่จึงลุกขึ้นมาบอกกับลูกศิษย์ว่า “มึงไปตักน้ำไว้ให้มันกิน เดี๋ยวมันกลับมามันเหนื่อย มันหิว” ลูกศิษย์งง แต่ก็เตรียมไว้ตามที่ท่านสั่ง อีกประมาณครึ่งชั่วโมงขโมยสองคนก็จูงวัวเข้ามาหาหลวงพ่อ ด้วยอาการเหนื่อยหอบตัวสั่น พอเห็นท่านก็ก้มลงกราบกลางดิน พร้อมกับพูดว่า “ผมเข็ดแล้วครับ
ต่อไปผมจะไม่ลักของหลวงพ่ออีกแล้วครับ หลวงพ่ออย่าทำผมเลย” ท่านจึงกล่าวขึ้นว่า
“เออ! ไอ้ระยำนี่ ดีแต่กูเป็นพระเสียนะมึง ไม่งั้นมึงโดนดี” ฯลฯ
วัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่ม มีอยู่หลายแบบหลายประเภท อาทิ เหรียญรูปพัดพุดตาล
(บางคนเรียกกงจักร) เหรียญรูปเสมา พระเนื้อดินหน้าตะโพน พระโคนสมอ
พระร่วงเนื้อดินเผา ตะกรุด ลูกอม เสื้อและผ้ายันต์ฯ
ซึ่งแต่ละประเภทมีจำนวนไม่มากนัก บางชนิดมีราคาเช่าหากันค่อนข้างสูง เช่น
เหรียญรูปพัดพุดตาลพิมพ์หูเดียว หลังยันต์หนุมานอมพลับพลา
(ไม่ใช่ราหูอย่างที่บางคนเข้าใจ)
สำหรับประเภทพระเครื่อง
ที่รู้จักกันกว้างขวางเห็นจะได้แก่ พระดินหน้าตะโพน หรือเมื่อก่อนเรียกกันว่า
พระพลายเพชรดินหน้าตะโพนหลวงพ่อแช่ม ยังพอพบเห็นกันและมีราคาไม่แพง
เรื่องอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่ต่างจากมงคลวัตถุอื่น ๆ
เหมาะแก่ผู้ที่ศรัทธาจะแสวงหาไว้เพื่อคุ้มครองป้องกันภัย
เกี่ยวกับ
พระพลายเดี่ยวเนื้อดินหน้าตะโพนและอภินิหารของ หลวงพ่อแช่ม วัดตากล้อง
มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในหนังสือพระเครื่องฉบับหนึ่งดังนี้
“….จากคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นสานุศิษย์ของท่าน
ได้ถ่ายทอดให้ฟังมานานแล้วว่า… สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้น ญี่ปุ่นได้กรีธาทัพผ่านประเทศไทย เข้าไปยังพม่า
เป็นเหตุสำคัญให้ต้องกระโจนเข้าสู่สงครามอย่างไม่ตั้งใจ
ด้วยเหตุนี้ ส.ท. อาวุธ จิรางกูร (ผู้เล่า)
ซึ่งรับราชการทหารปืนใหญ่มีหน้าที่ประจำจุดแจ้งสัญญาณภัยทางอากาศ อยู่แถบจังหวัดนครปฐม ถ้าจำไม่ผิดอยู่แถว ๆ งิ้วราย วันหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด จึงได้เดินทางไปหาเพื่อนสนิท ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้าสถานีรถไฟจังหวัดนครปฐม
ในขณะนั้นเป็นเหตุบังเอิญที่หลวงพ่อแช่ม มีกิจนิมนต์ต้องโดยสารรถไฟเข้ากรุงเทพ ฯ เมื่อ ส.ท.อาวุธ ไปพบเพื่อน ซึ่งเป็นนายสถานีก็ได้ชวน ไปนมัสการหลวงพ่อด้วย
ขณะเดียวกันหลวงพ่อแช่ม ได้เดินลงจากสถานีเข้าไปในตลาด
ฉับพลันที่เห็นหลวงพ่อซึ่งครองจีวรแบบลวก ๆ ตลบขึ้นพาดบ่า
สะบงก็นุ่งหยักรั้งดูไม่เป็นการสำรวมอย่างสมณวิสัย จึงเกิดอกุศลจิตขึ้นมาว่า
เราได้ยินกิตติศัพท์ความเกรียงไกรทางพุทธาคมเลื่องลือกระฉ่อนอยู่ในขณะนั้น เมื่อมาเห็นตัวจริงเข้า ดูท่านจะบ้า ๆ บอ ๆ ไม่เต็มบาทเอาเสียเลย ทำให้เสื่อมศรัทธาไปมาก พอท่านหวนกลับมาที่สถานีอีกครั้ง เมื่อใกล้เวลาที่รถไฟจะเข้าจอด
นายรถไฟก็ได้เอาตั๋วโดยสารเข้าไปถวายพร้อมกับดึงมือผู้เล่าให้มากราบนมัสการ ขอของขลังไว้คุ้มครองป้องกันภัย ซึ่งเจ้าตัวจะไม่เต็มใจนักแต่ทนเพื่อรบเร้าไม่ไหว พอกราบท่านแล้วเงยหน้าขึ้น หลวงพ่อได้พูดโพล่งออกมาว่า “ไหนเมื่อกี้นี้ มึงว่ากูบ้า ๆ บอ ๆ แล้วจะมาขออะไรอีกวะ” เล่นเอาท่านผู้เล่าถึงกับผงะพลางนึกในใจว่า เอ เราคิดของเราอยู่ในใจ
แต่เหตุไฉนท่านจึงทราบ ความซึ่งคิดอยู่ แต่ตอนแรกพลันหายไปหมด ท่านต้องเป็นผู้สำเร็จอภิญญาแน่ จึงทราบวาระจิตของผู้อื่นได้อย่างแจ่มแจ้ง หลวงพ่อองค์นี้ต้องไม่เบาแล้วก็ได้คลานไปกราบที่ตัก จะเป็นด้วยผู้เล่าอยู่ในเครื่องแบบทหารหรืออย่างไร ท่านจับหัวบริกรรมเป่าให้และควานลงไปในย่ามหยิบเอาพระพิมพ์เนื้อดินสีเทา รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กคล้ายพระพิมพ์พลายเดี่ยว ซึ่งเรียกกันว่า พระดินหน้าตะโพน
ยื่นให้องค์หนึ่ง แล้วล้วงหยิบขึ้นมาอีก 5 องค์ พร้อมกับพูดว่า
“เอาไปให้ลูกน้องเอ็งทุกคนด้วย” นับเป็นความอัศจรรย์อีกครั้ง
ที่ท่านทราบได้อย่างไรว่า มีทหารอยู่ตามจุดด้วยกันอีก 5 คนพอดี
ต่อมาได้ทราบว่า
หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านไม่ค่อยยึดติดอะไรนัก การครองจีวรก็เป็นไปตามความพอใจ ไม่ได้คำนึงถึงระเบียบแบบแผนเท่าไร ศรัทธาที่เคยเสื่อมถอยไปแต่แรกกลับเพิ่มพูนขึ้นอีกเป็นทวี เมื่อได้พบกับอาจารย์ผู้แสดงความสามารถ จากนั้นพอสบโอกาสก็มากราบนมัสการและฝากตัวเป็นศานุศิษย์ด้วยผู้หนึ่ง
และได้รู้เรื่องราวที่แปลกประหลาด ของท่านอยู่อย่างหนึ่งคือ หลวงพ่อทำนา มีอุปกรณ์ที่ใช้ครบครัน…ขอบเขตคันนานั้น ย่อมจะติดอยู่กับชาวบ้าน ท่านปล่อยควายให้แทะเล็มหญ้าอย่างอิสระ ส่วนตัวหลวงพ่อก็นั่นนอนอยู่ที่กุฏิ พอเห็นควายทำท่าจะล่วงล้ำ เข้าไปกินข้าวในนาของคนอื่น ท่านก็เอาผ้าที่พาดบ่า
ยกขึ้นสะบัดเสียทีหนึ่ง เจ้าควายที่กำลังอยู่กลางทุ่ง
สุดลูกหูลูกตาก็จะหันกลับทันที เป็นความอัศจรรย์ครั้งที่สาม
ซึ่งพบเห็นมาด้วยตาของตนเอง
หลวงพ่อมีความสามารถที่จะคุ้มครองคนหรือสัตว์ได้
ชั่วระยะสุดสายตา ผู้ที่เรียนสำเร็จวิชานี้ต้องเป็นผู้สำเร็จกสิณด้วย จึงจะบังเกิดผลได้จริง
เหตุฉะนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยละว่าทำไม หลวงพ่อแช่ม
วัดตาก้อง จึงเก่งกาจนักหนา นั่นเพราะท่านสำเร็จกสิณและได้อภิญญา ลักษณะของ
พระดินหน้าตะโพน มีส่วนคล้ายพระพลายเดี่ยวอยู่เหมือนกัน เพียงแต่มีขนาดย่อมกว่ามาก ด้านหน้าเป็นรูปพระนั่งปางมารวิชัย สถิตภายในซุ้มเรือนแก้ว พิมพ์ตื้นๆ ไม่ชัดเจน
ด้านหลังเป็นรูปยันต์ประทับจมลึกลงไปในเนื้อ
กรอบพิมพ์ของพระเป็นรูปสามเหลี่ยมกลีบบัว ขนาดกว้างประมาณ 1.8 ถึง 2 ซ.ม. สูงประมาณ
2.8 ซ.ม. ขนาดพระจะเล็กใหญ่ไล่เรี่ยกัน
เนื้อหาเป็นเนื้อดินผสมว่านและผงวิเศษมีสีเทาอมเขียวเป็นพื้น
สีเขียวอมเหลืองก็มีแต่พบน้อยกว่า
พระพลายเพชรผงดินหน้าตะโพน
แม้ในด้านความนิยมจะมีไม่มาก แต่ของเทียมนั้นมีมานานแล้ว
ตั้งแต่พระเครื่องพิมพ์นี้ยังมีราคาอยู่ในหลักสิบเท่านั้น ลักษณะพระเทียมที่ว่า พิมพ์จะตื้นมากและเพี้ยนไปเล็กน้อย ยันต์ด้านหลังก็เลอะเลือนไม่ลึกชัด เนื้อหาออกเป็นสีดำเหลือบน้ำเงิน
หรือสีครามเนื้อสดไม่แห้ง เมื่อก่อนพระปลอมดังกล่าวานี้มีวางจำหน่ายอยู่แถบบริเวณวัดมหาธาตุฯ
ท่าพระจันทร์ ปัจจุบันไม่ค่อยจะได้เห็น เข้าใจว่าคงจะมีคนหลงเช่ากันไว้ โดยคิดว่าเป็นของแท้ หรือกระทั่งศูนย์พระเครื่องบางแห่ง ก็มีพระปลอมนี้วางอยู่ อาจเป็นด้วยว่าเจ้าของศูนย์คงจะไม่ทราบ เพราะบางคนเพิ่งหัดเล่นพระฯ มาสักสามสี่ปี
พอมีสตางค์หน่อยก็เปิดเป็นศูนย์ขายพระฯ
ฉะนั้นที่มีคนคิดว่าพระตามศูนย์จะต้องแท้ทั้งหมดคงไม่จริง
การคิดที่จะเช่าพระดินหน้าตะโพนหลวงพ่อแช่ม
จึงต้องพิจารณากันให้ดีเสียก่อน
ส่วนราคาเช่าหาอยู่ในราวสามร้อยถึงห้าร้อยบาทเป็นอย่างสูง
ขอบคุณที่มา
http://historypra.blogspot.com/2012/06/blog-post_9928.html