3832. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 63 ทางสองแพร่ง (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 63 ทางสองแพร่ง (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ช่วงป้ออยู่ยังสมาคมบิลเลียดกีฬาเสริมประสบการณ์วัยรุ่นเกือบ ๒ ชั่วโมงที่ผ่านมาผู้คนละแวกเดียวกันแลหมางเมิน แม้ทุกนามไม่ว่ารุ่นน้องเพื่อนและพี่จะทักทายพูดคุยด้วยอัธยาศัยอันดีก็อยู่ในอาการนอบน้อบเป็นส่วนใหญ่ทั้งยังปลีกตัวฉากเท่าที่โอกาสอำนวยคนแล้วคนเล่า แม้บัดนี้นาฬิกาติดผนังในสนามสนุ๊กเกอร์ฝั่งตรงข้ามบอกเวลา ๑๙.๓๐ น.

กลางแสงนีออนสว่างราวกลางวัน แฟนๆ บิลเลียดเริ่มทยอยกันมาชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนในถิ่นจึงพยายามสังเกตอากัปกิริยาทุกคนที่ทักทายด้วยก็พบว่ามีปฏิกิริยาเดียวกัน ไม่ปรากฏผู้ใดนั่งเคียงข้างหรือแม้แต่ชวนตีสนุ้ก ผิดกับอดีต ๓ ปีที่ผ่านมา ณ ที่นี้คราใดที่โผล่หัวเข้าไปเพื่อนฝูงจะทักทายชักชวนตีสนุ้ก หรือไม่ก็มานั่ง-ยืนจับกลุ่มวิจารณม้า-มวยไฟต์ที่จะถึงชนิดเจาะลึกไว้เป็นทีเด็ด ดังกล่าวเมื่อใคร่ครวญแล้ว ผมเดาเอาว่าสืบเนื่องเพราะพฤติกรรมตน ประสบการณ์ และวัย ซึ่งมีอยู่ในสัญชาตญาณมนุษย์โดยธรรมชาติ มิได้หมายถึงความรังเกียจหรือเห็นผมเป็น “ตัวอันตราย” ที่ไม่ควรแก่การสมาคม

เวลาล่วงไปอีก ๑๐ นาที สรรพเสียงอื้ออึงจากการเสนอราคาต่อรองทางลมปากผสานเสียงลูกบิลเลียดกระทบกัน บวกกันสิ่งสำแดงอารมณ์ฉุกโกรธจากนักสู้ที่กระทุ้งด้ามคิวลงกับพื้นซีเมนต์ ตามด้วยคำด่าโขมงโฉงเฉงตามสภาพ “โต๊ะตลาด” ยังคงปกติ เฉพาะโต๊ะที่สองจากประตูสมาคมนั้นฮือฮากว่าทุกโต๊ะ เนื่อง ๒ เซียนต่างวัยกำลังลงสนามประเกมชิงสนุ้กเกอร์กันด้วยแต้มเสมออันมีกฏเกณฑ์น่ารัก

นามแรก เซียนนิตย์ วัย ๔๕ ปี รูปทรงผอมสูง ผิวเหลืองเกรียม อดีตสารถีสามล้อย่านบางลำพูผู้จอดรถคอยรับผู้โดยสารอยู่หน้าโต๊ะบิลเลียดกระทั่งถูกเจ้าของยึดรถ เพราะส่งค่าเช่าติดค้างทับถมถึง ๗๐๐-๘๐๐ บาท จึงสมัครเป็น “มาร์กเกอร์” ประจำสมาคม ฝึกฝนเชิงยุทธ์บนสนามสักหลาดสีเขียวขจีอยู่หลายปีกระทั่งฝีมือเข้าขั้น เจ้าของโต๊ะเลยคัดตัวไว้ประมือบรรดาเซียนจร อยู่กินในสมาคม จวบเซียนนิตย์มีชื่อเสียงกำจายติดกลุ่มนักสู้คิวทอง

แม้มีฝีมือฉกาจ มันสมองเยี่ยมในการแก้เกม แต่คนประเภทเซียนนิตย์ นี้เข้าตำรา “สวรรค์สร้าง-นรกโทรม” เพราะติดฝิ่น รายได้กับรายจ่ายจึงเสมอตัว และร่ำรวยความจนมาตลอด ในวันนี้ยิตย์ตกต่ำเพราะเสพเฮโรอีนเข้าขั้นฉีดเข้าเส้น จึงเร่ร่อนหากินไปตามสมาคมระดับตลาดทั่วกรุงเทพฯ จนผู้คนรู้จักทุกสมาคม หากินไม่ได้อีกแล้วก็ลดเกรดจาก “เซียน” ลงเป็น “มาร์เกอร์” นับแต้มประจำย่านบ้านพานถมเบื้องหน้า ใช้เวลาเกือบ ๒๐ ปีสร้างชื่อ ส่วนคู่ชิงชื่อ ไอ้หมา ลูกชายโทนของ “ตาหวา” ขับตุ๊กตุ๊กกับ “ยายเจิม” อายุ ๑๐ ขวบศิษย์เก่า ร.ร.ประชาบาลวัดตรีทศเทพ หน้าตาน่ารัก ขณะยืนเทียบกับโต๊ะบิลเลียดหรือสนามชิงชัยไอ้หมาสูงเลยขอบโต๊ะคืบเดียว ดังนั้น ทุกคราวที่มันวางมือเตรียมแทงลูกบิลเลียดจะมีพี่เลี้ยงยกลังเครื่องดื่มคอยหนุนเสริมความสูงใต้ตีนเรียกเสียงเชียร์ลุ้นให้ไอ้หมาสู้สุดใจขาดดิ้น กติกาการเล่นคือ “เซียนนิตย์” ชิงกับ “ไอ้หมา” ด้วยแต้มเสมอและลงเล่นด้วยมือซ้ายมือเดียว ส่วนมือขวาจะต้องจับลูกอัณฑะตนเองไว้เสมอที่ปล่อยคิวแทงลูกผิดกติกาเมื่อใดเซียนแพ้เด็กนั้น มองแล้วก็สนุกดี เป็นกติกาที่เรียกบรรยากาศชวนหัวได้ดีเยี่ยม หมาเอย…เอ็งช่างละม้ายพี่เหลือเกิน?

ท่ามกลางบรรยากาศกำลังครึกครื้นยิ่ง สรรพเสียงแซ่หูอึงคะนึงเงียบกริบเฉพาะโต๊ะเซียนล้วนพุ่งสายตาไปที่ประตูทางเข้าออกสมาคมอันปรากฏชายฉกรรจ์ร่างกำยำ ๔ นายเป็นจุดเดียว “ไอ้หมา” หรือ “เซียนจิ๋ว” รู้ตัวว่าผิดที่เข้ามาในสถานที่ต้องห้าม ค่อยๆ พิงไม้ในมือไว้กับข้างฝาพลางมุดลงใต้โต๊ะทันที ส่วนผมถือว่าหมดมลทินแล้วไม่ยอมเคลื่อนไหวและไม่สะทกสะท้าน “คู่ปรับเก่า” ครู่เดียวเจตนาเข้าสมาคมเลียดของ ๔ สกอตฯ กลับมุ่งมาที่ผม พาให้ตกเป็นเป้าสายตาเพื่อนร่วมบางแทน

“ขอดูใบบริสุทธิ์หน่อยสิ” จ่าท้านทักทาย

ผมขยับลุก และดึงเอกสารทางราชการทหารสำแดงความบริสุทธิ์ หัวทีมสายตรวจหมวดพจน์รับไปพิจารณาแทน อึดใจบอกพอได้ยิน

“สารวัตรใหญ่เชิญพบตัวสักครู่”

“ครับ พรุ่งนี้ตอนสายผมจะไป” รับปากแม้ฉงน

“ไปเดี๋ยวนี้” เจ้าของทรงมะขามข้อเดียวผิวดำแดงหรือหมวดพจน์ยืนยัน

“เรื่องอะไรครับ หมวด” ผมเริ่มมีอารมณ์

“ไอ้ไท!”

“ผมไม่ได้เกี่ยวพันนะครับ”

ผู้หมวดหัวหน้าสายตรวจยิ้มกว้าง “หมวดไม่ได้ว่าเกี่ยวข้อง สารวัตรท่านอยากสอบปากคำเพิ่มเติมก่อนยิงกัน…นี่ก็ไปตามเก๊าตี๋มาได้คนนึงแล้ว สวป.กำลังสอบอยู่”

ถึงขั้นนี้แม้อ้างจะเข้ากราบเท้านมัสการพระคุณเจ้าหลวงพ่อคงฟังไม่ขึ้นจึงยอมเป็นพลเมืองดีเข้าพบ สวญ. สน. นางเลิ้งกับกลุ่มสายตรวจกลางสายตาแฟนบิลเลียดและเพื่อนบ้านรุมยลกันขนาดใหญ่ พักเดียวเก๋งสีกลมกลืนความมืดพาหนะกลุ่มสกอตฯ ก็นำผมเยือนสถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้งในฐานะผู้อยู่ร่วมในเหตุฆ่าป๋าไท อดีตมือขวานักปล้นธนาคาร สนองยืนยง อีกวาระหนึ่ง ดังนั้นพอโผล่โฉมขึ้นบันได สน. ก็เจอ “แซว” จากสิบเวรโจทก์เก่าอันผมเคยตะบันหน้าก่อนส่งลาดยาวตามฟอร์ม

“เสียดายที่ตะรางนางเลิ่งไม่มีโอกาสต้อนรับเพื่อนเก่า”

ผมเตรียมใจอยู่แล้ว ลมปากเน่าเหม็นจึงไม่บังเกิดประสิทธิผล และเมื่อเข้าพบ สวญ. ภายในห้องทำงานท่านก็สอบปากคำผมเยี่ยงพนักสอบสวนปกติซึ่งผมก็ให้การไปเท่าที่รู้เห็นเพราะเจ้าหน้าที่ทราบตัวมือปืนอยู่แล้ว เพียงต้องการทราบสาเหตุสังหารที่แท้จริงเหมือนเช่นผมที่ยังข้องใจนั่นเอง

เสร็จกิจหน้าที่พลเมืองดีเด่นลงบันไดสถานีสุดขั้น เสียงหนึ่งเรียกไม่ดังนัก

“เปี๊ยก”

ผมเหวี่ยงสายตาไปยังที่มาของเสียงซ้ายมือ ปะหนุ่มร่างสันทัด แต่งกายสุภาพนาม เล็กต่วน ขุนมีดผู้ดับชื่อ พันหลังวัง ในอดีต จึงปราดไปหาและทักทายตามประสามิตรเก่าครู่หนึ่ง เขาเฉียงตาไปยังหน้าสถานีก่อนกล่าว

“เก๊าตี๋เห็นนายเข้าไปในห้องสารวัตรใหญ่ เลยรอพบนายอยู่ในรถโน่นแน่ะ”

เรา ๒ คนสบตากัน ผมเลี่ยง “เราบอกเก๊าตี๋แล้วว่าขอพบหลวงพ่อก่อน” เล็ก ต่วน ตื้อ “คงไม่นานหรอกเปี๊ยก”

เหลือที่จะขัดใจเพื่อนจึงเดินตามไปยังเก๋งญี่ปุ่นที่เปิดประตูหลังฝั่งซ้ายมือไว้ ณ ที่นั้น ร่างเล็กเพรียวมังกรม้าเก็งเอ๋าสถิตอยู่ พลางชวนเชิญ

“เข้ามานั่งในรถก่อนเหอะ เปี๊ยก”

ผมหันไปทางเล็ก ต่วนซึ่งเปิดประตูเก๋งเข้าทำหน้าที่โชเฟอร์วับเดียวจึงเสือกตัวเองเข้าไปนั่งคู่กับเพื่อนแต่ไม่ทันดึงประตูรถปิด เล็กบอกมาจากหน้ารถ

“เฮ้ย! พวกจ่าชื่น จ่าปาน จ่าท้าน…”

ทว่า คำรายงานขุนมีดนามกระเดื่องขาดหายไปเฉยๆ เมื่อหลังคารถเจอทุบดังตึง ผมฉวัดตามมองร่างเตี้ยล่ำสัน นุ่งยีนขาสั้น ใส่รองเท้าผ้าใบสีขาว สวมเสื้อปล่อยชายคลุมเอวนามหมวดพจน์ หัวหน้าสายตรวจซึ่งก้มลงจ้องตาแน่วมองเราราวศัตรูร้าย

“หมวดมีอะไรแนะนำหรือครับ?” ผมถามนอบน้อม

หัวหน้าสายตรวจประกาศิตใส่หน้า “พวกนาย ๓ คนไปแล้วก็อย่าเข้ามาในท้องที่นี้อีกนะ”

“อ้าว…” ผมร้อง

“ไม่ต้องอ้าว…” ผู้หมวดขึ้นเสียงตาวาว “ไม่เชื่อก็อย่าหาว่าทารุณหรือกลั่นแกล้งก็แล้วกัน”

“มีสาเหตุไหมครับ” เก๊าตี๋ร้องบ้าง

“อั๊วไม่ไว้วางใจพวกลื้อ”

ตะคอกเป็นคำรบสุดท้าย แต่เรา ๒ คนมองกลุ่มสกอต ที่รายล้อมอยู่รอบรถนิ่งงัน หมดปัญญาตอบโต้ ไม่กล้าแม้จะอ้างสิทธิบนแผ่นดินนี้ดั่งไอ้-อีเลือดเข้มทั้งหลาย ด้วยสำนึกตนดีว่าสังคมยุคทรราชเสี้ยมให้ต่ำทรามเหมือนเสนียดแผ่นดิน

ดังนั้น เล็ก ต่วน จึงเคลื่อนรถจากกลุ่มมนุษย์อันมีส่วนผลักไสสู่เส้นทางเดินโดยผมไม่รู้ตัวสักนิด จวบเก๋งมังกรวิ่งไปติดไฟแดงสี่แยกหลานหลวงและมังกรคำรามค่อยรู้สึกตัว

“มีทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้มันไม่กล้าแตะพวกเรา”

โชเฟอร์นามกระฉ่อนถามมาจากหน้ารถ “ทางไหนเพื่อน…”

“ต้อง ‘ใหญ่’ กว่านี้”

ผมต่อคำบ้าง “และต้องมากทรัพย์อีกทั้งเข้าถึง ‘ผู้ใหญ่’ ด้วย”

เก๊าตี๋สะบัดหน้ามาถามเสียงเข้ม คิ้วย่น “นายคิดว่าพวกเราจะสร้างให้มันเป็นความจริงได้ไหม?”

“ไม่ได้” ผมตอบแทบไม่ต้องคิด

“ทำไม?”

“เพราะในกลุ่มพวกเราไม่มีใครยอมรับใครสนิทใจไม่ว่าฝีมือหรือความคิดควรเป็นผู้นำ”

ไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยจากมังกรม้าเก็งเอ๋าคนเล็ก รวมไปถึงขุนมีด เล็ก ต่วน จวบสัญญาณไฟเขียวเปิดให้รถผ่าน เก๊าตี๋จึงพึมพำพร้อมส่ายหน้า

“เสียดาย พวกเรามีฝีมือทุกคน”

ผมเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อหาข่าวจากเขาบ้าง “พวกแดง ปุ๊ แล้วก็ดำได้ปล่อยหรือยัง”

“ปล่อยแล้วทั้ง ๓ คน” เล็กตอบแทน “แดงไปอยู่กับกำนันวอนทางปักษ์ใต้ ปุ๊กะดำร่วมทีมกับเต็งโก้เก็บค่าคุ้มครองเขตหัวลำโพง เมื่อเดือนก่อนก็ยิง ยิงจ่าส่งคนขับรถของเฮียล้อเด๊ดไปรายนึง”

“แล้วเฮียล้อเต้นไหม”

เล็ก ต่วนหัวเราะ “ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของเฮียล้อแล้วนะเปี๊ยก สมัยที่พวกเรายังตีกันหน้าโรงหนังนั่นต่างหากยุคของแก ฉะนั้นยุคนี้มันควรเป็นยุคของพวกเรารุ่ง”

“ใช่…พวกเราควรรุ่งถ้ามี ‘ยอดคน’ มารวมพวกเราให้เชื่อถือในคนคนเดียวได้”

“สักวันต้องมี” เก๊าตี๋โพล่งออกมาอย่างมั่นใจ

“เฮียเก๊าใช่ไหม?” ผมเดาใจ

เก๊าตี๋หัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว…อีก ๕ วันเท่านั้น เปี๊ยกต้องไปรับเฮียที่หน้าบางขวางด้วยกันนะ”

“ตกลง” ผมรับคำ

ที่สุดความตั้งใจกราบเท้าหลวงพ่อ ณ อารามสงฆ์ได้เปลี่ยนเป็น “โฮเต็ลสวนมะลิ” แหล่งพำนักส่วนตัวของเก๊าตี๋อันหลากหลายผีเสื้อราตรีไม่แพ้โรงแรม โรงเลี้ยงเด็ก ก็ถามเขาถึง “ผีเสื้อ” สาว ๗๐-๘๐ นางที่เห็นนี่ เพื่อนมีเอี่ยวด้วยหรือเปล่า?”

“เปล่าเอี่ยวของเพื่อนมันทำ รับแต่ค่าคุ้มครองอย่างเดียว เออ..เดี๋ยวเราจะ ‘คัด’ เด็กไว้ให้เปี๊ยกขัด ‘หัวคิว’ สักคน

ผมร้องลั่น “ไม่ขัดข้อง”

๒ ยามแล้ว บนชั้น ๓ ของโรงแรมอันจัดไว้เป็นห้องพักเฉพาะตลอดแถวว่างโหรง บรรดาแขกเช่าพักล้วนหลับนอนกันหมดแล้ว ผมกับเก๊าตี๋ซึ่งลงไปซื้อกับแกล้มพิเศษกินแกล้มเบียร์ฉลองคำสั่งขีดเส้นบินของหมวดพจน์ เดินไปถึงหน้าห้องไม่ทีนให้สัญญาณผู้อยู่ในห้อง พลันประตูห้องเปิดผลัวะ เก๊าตี๋อุทาน

“ไอ้เล็ก…”

วัยลำพองผิวคล้ำ รูปกายทะมัดทะแมงมือปืนผู้สังหาร ป๋าไท นาม เล็กโพดำ นั่นเอง

“หวัดดีเฮียเก๊า-พี่เปี๊ยก” ผู้มาเยือนคารวะ

เราคารวะตอบ เก๊าตี๋กอดคอรุ่นน้องพากลับไปนั่งบนเตียงนอน ผมปิดล็อกประตู เล็ก ต่วนรับอาหารไปจัดใส่ภาชนะ

“นายมาที่นี่ทำไม”

“มีคน ๓ คนตามผมแจ เลยจำใจทำทีจะเที่ยวหญิงแล้วหลบขึ้นมาครับ”

“ตำรวจหรือเปล่า”

“ไม่ทราบครับ”

เก๊าตี๋หันมาที่ผม “ไปเปี๊ยก, เล็ก เดี๋ยวเราดูคนที่ตามเล็กว่าใช่ตำรวจหรือเปล่า”

เอาล่ะครับ เดือดร้อนกลางดึกจนได้ เรา ๓ คนแยกย้ายกันหาตัวชาย ๓ คนอยู่เกือบ ๒๐ นาที ไม่พบก็พากันกลับไปที่ห้องปิดล็อกประตูปรึกษาความพร้อมดื่มกินอย่างระมัดระวัง

เป็นอันว่าคืนนี้ ผมผิดหวังนอนร่วมเตียงสาว ด้วยนักฆ่าวัยเจริญพันธุ์ร้อนอาญาแผ่นดินขออาศัยร่วมนอนชั่วคืนเดียว โดยช่วงระหว่างดื่มกินผมสังเกตเก๊าตี๋มักเหลือบแลไปยังวัยรุ่นคล้ายภาคภูมิเมื่อสิงห์ลำพอง ดังนั้น พอฟ้าสางเก๊าตี๋พานักบู๊วัยคะนองออกจากโรงแรมทิ้งให้ผมกับขุนมีดงงเต๊กกับงานอนุเคราะห์ จวบสายมากแล้วเขาจึงกลับมาบอก

“เราจะเลี้ยงไอ้เล็กไว้เป็นมือฆ่าศัตรูของพวกเรา”

ขุนมีดกับผมแทบไม่เชื่อเพื่อนจะกล้าเลี้ยงนักฆ่าวัยนี้ไว้สำหรับทำงานใหญ่ ถึงอย่างไรผมมิได้ขัดขวางเพราะถือว่ายังไม่ได้รับปากร่วมทีมด้วย พบพระคุณเจ้าหลวงพ่อกราบกรานขอมงคลชัยใส่ตัวนั่นแล้วผมจะเลือกเอาระหว่างทางสองแพร่ง

แพร่งหนึ่ง หนทางของความดีงาม

แพร่งหนึ่ง หนทางของความชั่ว

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : The People
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: