3831. เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 62 ดับป๋าไท (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

เส้นทางมาเฟีย ตอนที่ 62 ดับป๋าไท (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

พำนักอยูเรือนพวงครามรักษาแผลคมหวายเพชฌฆาต “ตึกแดง” ได้สัปดาห์หนึ่งก็ทราบข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งผมติดตามอ่านทุกวันจากด้านหน้าเรือนพยาบาลว่า มานเจริญผลกับโอตือ การ์ดคุ้มกัน ล้อวงเวียนฯ นำทีมนักโทษอีก ๓ นาย แหกนรกตึกดินสำเร็จ เฉพาะมุสลิมหนุ่มนามกระเดื่องย้อนไปกบดานอยู่ในถ้ำถิ่นตนหมายร่อนยาว บังเอิญผู้หมวดหนุ่มหัวหน้าสกอต สน.ปทุมวันกับพรรคพวกบุกเข้าจับตัว “มัด ลีบ” และคุมตัวผ่านหน้าบ้านจึงคว้าชะแลงติดมือโผนออกจากที่ซ่อนตีโครมเข้าหัวไหล่ จ่ามือปราบถึงกับไหล่หัก แต่ไม่ทันช่วยเหลือผู้ต้องหา นักบู๊เจริญผลเจอหมวดหนุ่มยิงเข้าแสกหน้านัดเดียวอวสาน “มาน เจริญผล” ณ ทางเท้าถิ่นตน

ส่วนโอตือผู้ต้องขังแหกคุกอีกราย เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามล่าตัวสุดเหวี่ยง ทั้งหยดความหวังโดยขอเวลา ๓๐ วันจะคว้าตัวมังกรร้ายมาลงโทษตามกบิลเมืองให้จงได้ ด้านผู้ร่วมมืออีก ๓ นายถูกจับกุมตัวได้ในคืนเกิดเหตุแถวท่าเขียวไข่กาไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก ดังกล่าว หากผมไม่เป็นลมล้มตึงจนหามมาที่นี่มิพลอยแห่ไปกับเพื่อนหรือ?

ล่วงเข้าไปสัปดาห์ที่ ๒ ผมส่องกระจกดูแผลกลางหลังเห็นแผลสะเก็ดแห้งผาก แต่แผลวงแหวนเหล็กร้อยโซ่ตรวนกัดข้อตีนขณะบู๊อยู่ในโรงอาหารเริ่มอักเสบแทนหายเซ่นแผลกลางหลัง เนื่องจากวงแหวนที่สวมข้อตีนกับโซ่ตรวนมักกระทบถูกแผลและเสียดสีอยู่เสมอ ทั้งแพทย์-พยาบาลแนะนำให้ผมเคลื่อนไหวแต่น้อย หรือนอนอยู่กับที่ได้ยิ่งดี ขืนเคลื่อนไหวอยู่แบบนี้ต้องตัดขาแน่ ไอ้ผมเองก็ไม่ค่อยเต็มบาทนัก ทั้ง “บ้า” ทั้ง “ซ่า” ไม่ต่างฉายาที่พรรคพวกตั้งให้ เห็นอยู่วิธีเดียวที่จะบันดาลให้แผลข้อตีนหายขาดคือถอดโซ่ตรวนชั่วคราว เมื่อมีความเห็นเช่นนั้นผมจึงหาโอกาสสร้างให้เป็นรูปธรรมจวบปลายสัปดาห์ที่ ๒ จึงตัดใจเข้าพบนายแพทย์ ร.อ.ชุมพล ตั้งเผ่า ขอความเมตตาจากท่านให้มีหนังสือ “งด” จำเครื่องพันธนาการเพื่อสะดวกต่อการบำบัดรักษาซึ่งท่านได้มีคำถามเรียบๆ

“หมอไม่ทราบใจคุณ ถ้าถอดเครื่องพันธนาการแล้วจะหลบหนีหรือเปล่า”

ผมกระทำคารวะท่านอีกครั้ง กล่าวจากธาตุแท้มิใช่โวหาร “กระผมสำนึกดีว่าชื่อเสียงเกียรติคุณของหมอมีค่ากว่าชีวิตผม” ท่านยิ้มที่มุมปากพร้อมก้มหน้าเขียนรายงานเสนอถึงหัวหน้าหมวดควบคุม ร.พ.พระมงกุฎฯ ให้ถอนเครื่องพันธนาการชั่วคราวแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อย่างไรผมกลับมิอาจอยู่ทดแทนเมตตาหัวหน้าแพทย์เรือนพวงครามได้ทัน

เนื่องจาก ๒ วันต่อมาได้มีสารวัตรทหารบกยศสิบเอกร่างเตี้ยสมบูรณ์ผิวคล้ำรูปหน้าสี่เหลี่ยมแต่บวมคล้ายหนักน้ำเมาวัย ๔๐ ปีพร้อมผู้หมู่ สห.หนุ่มยศสิบเอกหน้าตาดี ผิวเหลืองหุ่นทรงสมสัดส่วนรวม ๒ นาย นำหนังสือของทาง รจ.มทบ. ๑ (ตึกดิน) มาขอเบิกตัวผมไปพิจารณาคดียังสักศูนย์ฝึกกำลังทดแทนค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ซึ่งช่วงเวลาพิสูจน์ตัวเองจากข้อกล่าวหาสมคบกับพวกฆ่าผู้บังคับบัญชาระหว่างปฏิบัติหน้าที่และข้อหาขาดหนีราชการทหารระหว่างใช้กฎอัยการศึกนั้น “บนเส้นทาง” นี้ มิได้ปะเพื่อนพ้องนามใดมีชื่อเสียงหรือบทบาทพอจะนำมาเป็นแม่แบบ จึงสรุปการพิจารณาคดีข้อหาสมคบฆ่าโดยฝ่ายโจทก์ขอถอนฟ้องไม่ติดใจเอาความข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาขาดหนีราชการทหารระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึก ผมรับสารภาพศาลทหารจึงพิพากษาจำคุกมีกำหนด ๑ ปี ๔ เดือน

ต้นปี พ.ศ. ๒๕๐๗ หลังมีพระราชทานอภัยโทษในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๖ ผมได้รับการลดโทษจนได้ปล่อยตัวพร้อมนึกโทษทหารอีกประมาณ ๔๐ นาย ในตอน ๑๐ โมงวันนี้ก็จับรถ บ.ข.ส. ล่องเข้าเมืองหลวงกลางความเร่าร้อนอันใคร่ได้กราบแทบเท้าพระคุณเจ้าหลวงพ่อที่จากมาเสีย ๒ ปีเศษ เพื่อให้ท่านดุด่าไว้เป็นมงคลตัว ถึงสามแยกไฟฉายเอาบ่ายโมง ผมสะพายถุงเป้เดินโต้แดดปลายฤดูหนาวออกจากสถานีขนส่งสายใต้ไปนั่งชัด “ข้าวสุกขาว” และอาหารที่ใช้ “มือปรุง” ไล่กาก “ข้าวแดง” ที่กินมา ๒ ปีเศษเสีย ๒ จาน พออิ่มกระเพาะ ปัญญาเปิด สมองโปร่ง ผมนั่งสูบบุหรี่ย่อยอาหาร ตรองถึงเป้าหมายชีวิตในอนาคตอย่างหนึ่งหน่ายด้วยคำตอบล้วนเป็น “ปรัศนีย์” เนื่องทุกสาขาอาชีพทั้งภาครัฐบาลและเอกชนไม่รับบุคคลต้องคำพิพากษาศาลเข้สเป็นหน้าที่หรือพนักงาน

อย่างไรผมยังมั่นใจว่าเวลา ๒ ปีเศษในคุกหลายคุก ต่างสภาพต่างสถานะล้วนดำรงอยู่ด้วยการดิ้นรนแสวงหา กลางนรกล้นทุกข์นานัปการผมยังอยู่ได้ ประสาอะไรกับโลกกว้าง ผมจะเอาตัวไม่รอด พักใหญ่จึงจ่ายค่าอาหารแล้วออกไปใช้บริการแท็กซี่จรจากฝั่งธนบุรีฝ่าตะวันบ่ายสู่อารามสงฆ์จำพรรษาพระคุณเจ้าหลวงพ่อท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงด้านวัตถุผุดตระหง่านโชว์ความเจริญทั้งฝั่งธนบุรี-พระนคร พอโชเฟอร์เลี้ยวรถเข้าแยกสะพานเฉลิมวันชาติ เขตบ้านพานถม ย่านวิสุทธิกษัตริย์ ผมบอกโชเฟอร์ให้หยุดส่งตรงปากตรอกหวังเดินสำรวจความเปลี่ยนแปลงภายในถิ่นอันมีบ่อน-ช่อง-โรงแรมหลากหลายเห็นเงียบหงอย บ่อนใหญ่ๆ เช่นของ เฮียสุบิน เล็กโฮลเด้นและป๋าไท ก็มีนักเล่นบาง ถามวัยรุ่นดูแลบ่อนอยู่จึงรู้ว่าเพิ่งถูกจับไปวานนี้เอง

ผ่านไปถึงหน้าซ่องป๋าดับริมคลองบางลำพูซึ่งตรงข้ามปลูกเรือนไม้ ๒ ชั้น ตั้งร้านอาหารและตู้เพลงของเจ้หยี แหล่งนัดพบนักธุรกิจเถื่อนได้ปรากฏร่างหนึ่งถลันพรวดออกจากร้าน

“เปี๊ยก…” เห็นโฉมชัด ผมขานนาม “เก๊าตี๋”

“เปี๊ยกเพิ่งปล่อยวันนี้หรือ”

ผมผงกหัวรับแทนตอบ ๑ ใน ๓ มังกรเก็งเอ๋า เจ้าของร่างเล็กเพรียวแตะแขนพร้อมชักชวน

“แวะคุยกันก่อนนะ เปี๊ยก…ข้างในยังมีพวกเราอีกหลายคน”

และแล้วภายในร้านอาหาร “เจ้หยี” นั่นเองที่ผมได้พบเพื่อนพ้องพ้นนรกแหล่งเดียวกันมา เช่น จบ หลังวัง, โม วัดอินทร์ฯ, อ๊อด หมอเหล็ง, อี๊ด เหมา และมล แพร่งฯ นั่งดื่มน้ำอัดลมก็ร่วมดื่มพร้อมพาทีกันเป็นที่ครึกครื้น พักใหญ่ วัยรุ่นทรงผมรากไทร นุ่งยีน สวมเสื้อยืดสีขาวปรากฏตัวที่หน้าร้าน นักบู๊ทายาทเจ้าของร้านปืนชื่อดัง จบ หลังวัง เรียกไว้

“มานี่สิไอ้เหน่ง”

ร่างผอมสูงของวัยลำพองเดินไหล่ลู่เข้ามายืนสงบหงิม แต่ไม่วายเหลือบตามายิ้มแหยๆ ให้ผม ร่างสูง ๑๗๐ ซ.ม. ผิวนิลแต่งกายสุภาพออก “โก๋” นิดๆ จบ หลังวังค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เหน่งก้มหน้างุด ร่างสั่นเทา ทุกนามที่นั่งร่วมโต๊ะปิดปากตัวเองยลเหตุ จู่ๆ จบตะปบคว้าคอเสื้อยืดวัยรุ่นขยุ้มไว้จนหน้าแหงนพร้อมชะโงกไปจ้องหน้ามันตะคอกตาวาว

“มึงหายหน้าไปไหน”

วัยลำพองหุ่นผอมสูงอ่อนวัยและชื่อเสียงเหล่ตามองผมเชิงวิงวอนในฐานะถิ่นเดียวกัน จึงทำไม่สนใจ ส่วนภาครับทางรูหูพร้อมรับฟังคำตอบซึ่งจำเลยชักมีอาการสั่น หน้าซีดเผือดสารภาพเบาโหวง

“ผมจำนำนาฬิกาพี่จบไว้ ๗๐๐ บาท พอกลับเข้าไปในบ่อนไพ่พบพี่ เลยแทงไฮโลไป ๒๐๐ เพราะเห็นเจ้ามือฝัดเต๋าตายต่ำทุกครั้งเผอิญถูกกิน ผมก็..”

ดาวดังวังบูรพากระตุกคอเสื้อจำเลยเบรกลมปากไว้กลางคัน พลางดันหลังมันไปนั่งยังเก้าอี้ว่างโต๊ะถัดไป เหน่งทำหน้าเลิกลั่กร่างสั่นเทา จบหันมาทางพวกเราบอกสุ้มเสียงปกติ

“ขอเวลานอกหน่อยนะเปี๊ยก…ไอ้ห่านี่ “หัก” เอาเงินลูกค้าตามบ่อนไปหลายครั้งคงย่ามใจ คราวนี้ให้เอานาฬิกาไปจำนำให้หน่อยแม่งหายต๋อมเลย”

จำเลยครวญเสริมสีหน้าละห้อย

“ผมผิดไปแล้วพี่ และนี่ผมก็เตรียมเงินมาให้พี่แล้ว”

นักบู๊ผิวนิลยิ้มกว้าง ปล่อยมือที่ขยุ้มคอเสื้อวัยคะนอง บอกระคนหัวเราะ

“ดีแล้วที่รีบหามาให้”

เหน่งรีบยกมือไหว้ “ขอบพระคุณพี่มากครับ”

จบสวนคำกร้าว “แต่กูจะให้มึงสำนึกและเลิกยุ่งกับเงินชาวบ้านเขา”

เหน่งหน้าจ๋อย ครางเสียงเครือ “ถ้าพี่จบจะตบผมหรือจะเตะผมยอมทั้งนั้นครับ”

เพื่อนตีหน้าเย้ จมูกย่น คิ้วเริด “หมดยุคแล้วเรื่องตบตี กูจะให้มึงทำตัวมึงเอง”

สิ้นคำเขาขยับมาคว้าาาบุหรี่บนโต๊ะไปจุด เก๊าตี๋, โม, อ๊อด, อี๊ด, และมล แพร่งฯ เหลือบแลตากันขณะจบ หลังวังอัดบุหรี่จนปลายลุกแดงวาบ วัยลำพอง “หน้าม้า” ผู้รับจำนำสิ่งของมีค่าแก่นักพนันชำเลืองตามอง พอปลายบุหรี่แดงจ้ายาวได้ที่โจทก์ผิวนิลสำทับใส่จำเลยวัยรุ่น

“มือไหนที่มึงหยิบเงินแทงไฮโล”

เหน่งค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นชูเลยหัวเล็กน้อย ทั้งร่างยังสั่นเทา ความร้อนอบอ้าวยามบ่ายเรียกเหงื่อผุดเยิ้มหน้าเป็นมันปลาบชวนสมเพช

“แบมือลงวางบนโต๊ะ” จบบัญชา

“พี่…”

“กูบอกให้วางมือลง”

เหน่งผวาเยือก บรรจงวางมือขวาลงบนโต๊ะลักษณะแบ จบอัดบุหรี่อย่างแรงก่อนยื่นลงให้จำเลยใช้มือซ้ายรับไปพร้อมสั่งการ

“จี้บุหรี่ไปที่มืออย่างช้าๆ และกดไว้จนกว่ากูจะนับครบสิบค่อยเอาขึ้น…เร็ว”

วัยลำพองเฉียงตามองบุหรี่ในมือซ้ายวับเดียวตัดสินใจจี้ปลายบุหรี่ติดไฟลงใจกลางฝ่ามือตน ถึงกับสะดุ้งเฮือกร้อนลั่น

“โอ้…ย”

จบ หลังวัง หน้าตากระตุกยึดขณะจับตาอยู่ยังกลางฝ่ามือจำเลยพร้อมหลุดเสียงหล่นตัวเลขราวกรรมการตัดสินเกม

“หนึ่ง-สอง-สาม…”

ระยะเดินทางของตัวเลขทางลมปากเพื่อนตรึงพวกเราสงบคำยลพฤติกรรมเหมือนปกติจวบเพื่อนทิ้งคำนับถึง “แปด…” จำเลยกระตุกมือกลับกระโจนผลุงออกจากร้านสับตีนวิ่งไปบนถนนแผดเสียงร้องไม่เป็นภาษามนุษย์ จึงเติมบรรยากาศบนโต๊ะเครื่องดื่มปรากฏเสียงหัวเราะขบขันกับสภาพจำเลย เจ้หยีพาร่างอวบขาววัยสาวใหญ่ออกไปยืนเท้าเอวหน้าร้านส่ายหน้าเหลือระอา

บ่ายจัด เฟียตเก๋งคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดขวางหน้าร้าน ทุกคนหันไปมอง เจ้หยีผินหน้าเข้ามาในร้านบอกเสียงใส

“รถเขามารับแล้ว”

โม วัดอินทร์ฯ, อ๊อด หมอเหล็ง, อี๊ด เหมา, มล แพร่งฯ ๔ ดาวดังแต่ละบางเคลื่อนไหวขอตัวลุกออกไปขึ้นรถขับเคลื่อนจากไปผมเบนสายตาไปยังเก๋าตี๋เขาบอกราวกระซิบ

“พวกมันออก “เดินสาย” ให้เต็งโก้”

นักบู๊วังบูรพาเสริมอีกราย “สมัยนี้ต้องทำงานหาเงิน หมดยุคหาเรื่องแล้วว่ะ”

“นายหมายถึง “เดินสาย” ล้วงกระเป๋าใช่ไหม” ผมชัก

(คำ “เดินสาย” สื่อความหมายถึงงานล้วงกระเป๋าอันประดา “ม้า” ระดับ “กัปตัน” (หัวหน้าทีม) จะคุม “ลูกเรือ” ตะลอนผ่ากระเป๋า-ล้วง-ตัดไปตามงานประจำปีใหญ่ๆ เช่น งานพระแท่นศิลาอาสน์ งานวัดไร่ขิง งานหลวดพ่อโสธร งาหลวงพ่ออี๋ งานเทกระจาดเมืองนครศรีธรรมราช งานฤดูหนาวเชียงใหม่ งานท้าวสุรนารี และงานพระธาตุพนม)

“ไม่ใช่หรอก เป็นงานเรียกค่าคุ้มครองกับยิงคน พวกเรากำลังคิดตั้งทีมตอนนี้คอยเฮียเก๊าปล่อยตัวก่อน เหลืออีก ๕ วันเท่านั้น เปี๊ยกร่วมทีมกับเรานะ”

“ให้เราเห็นกรุงเทพฯ ชัดตาก่อนดีกว่า” ผมเลี่ยง

เจ้หยีจัดการเก็บขวดน้ำอัดลม ๔ นักบู๊ที่จากไปแล้ว ผมจุดบุหรี่สูบอีกมวนเตรียมหาจังหวะละจากเพื่อนเข้ากราบหลวงพ่อ จู่ๆ หนุ่มฉกรรจ์ทรงสันทัดผิวขาวเชื้อสายมังกรนาม “ป๋าไท” เจ้าของบ่อนซ่องฝั่งตรงข้ามกับร้านค้าโผล่เข้ามาในร้านก็วิสาสะกันอีกยก จวบใกล้ ๕ โมงเย็นได้ปรากฏ ๒ วัยรุ่นผิวคล้ำนาม คตเมโทรและเล็กโพดำ เดินฉวัดเฉวียนไปมาอยู่หน้าร้าน จบจึงเรียกไว้

“เล็กโว้ย เข้ามานี่เดี๋ยว”

วาจานักบู๊วังบูรพาดลให้ “ป๋าไท” หันขวับไปหน้าร้านขณะ ๒ วัยรุ่นหยุดตัวเองก่อนเดินเข้ามาทักทายเรา ๓ คน ยกเว้นป๋า หลังทักทายกันทั่วหน้าป๋าพูดขึ้นลอยๆ

“พวกน้องจะมารับอีแตนหรือ”

“ครับ” คต เมโทรรับคำ

“แล้งเงินล่ะ” ป๋าชักหน้าเครียด

“ผมกะเล็กจะหามาให้ป๋าภายใน ๑ เดือนครับ”

ป๋าสายหน้า “เราพูดไป ๒ วันก่อนว่าพวกน้องจะได้อีแตนไปต่อเมื่อมีเงินหมื่นนึง ดังนั้น เลิกพูดกันได้แล้ว”

วัยคะนองย่านบางเสาธง-ธนบุรี เล็ก โพดำชำเลืองตามาทางเราก่อนวิงวอน

“ป๋าน่าจะเห็นใจพวกน้องบ้างครับ”

“ไปซะ…ต่อจากนี้ถ้าไม่มีเงินไม่ต้องมา”

ทั้งสองวัยคะนองหันไปมองหน้ากันวิบเดียวจึงพากันออกจากร้าน พลันช่วงพ้นชายคาร้าน เล็กพลิกตัวกลับพร้อมกระซากปืนลูกซองสั้น เบอร์ ๑๒ ออกประกบมือยิงใส่กลางอกป๋าไทระยะเผาขนผงะกระเด็นไปฟุบอยู่ข้างๆ กองลังใส่น้ำขวด เลือดแดงเถือกสาดกระจายคาวคลั่ง

“ไอ้เล็ก…!” จบร้อง

วัยรุ่นเจ้าของรอยสักโพดำสะดุ้งเฮือก บอกเร็วปรื้อ “ผมขอโทษพวกพี่ๆ ทุกคนด้วยครับ” จบคำพวกเผ่นหนีทันใด

เสียงปืนลูกซองดังสะท้านไปทั้งตรอกเรียกชาวบ้านยกโขยงมายังที่เกิดเหตุจนเรา ๓ คน รีบฉากในบัดนั้น

ฟ้ามืดสนิท พระคุณเจ้าหลวงพ่อรับนิมนต์ไปแต่บ่ายยังไม่กลับ จึงฆ่าเวลาอยู่ในโต๊ะบิลเลียดฝั่งตรงข้ามกับวัดฟังเรื่องร้ายอันเกิดแก่ป๋าไทเป็นข้อมูลชี้เหตุฆ่าจากพรรคพวกเนื่องมาแต่เงินค่าตัวผู้หญิง ๑๐,๐๐๐ บาท จริงหรือ? วัยรุ่นอายุไม่ทันเต็ม ๑๘ ปีอย่างเล็ก โพดำ ไม่ใช่เพิ่งฆ่าป๋าไทเป็นรายแรก…

สุริยัน ศักดิ์ไธสง
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลงโต
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : The People
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: