3827. อนุทินนิรนาม ตอนที่ 26 ตอนจบ (สุริยัน ศักดิ์ไธสง)

อนุทินนิรนาม ตอนที่ 26 ตอนจบ (เขียนโดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง)

ระหว่างตกอยู่ในห้วงสับสนพฤติกรรมเพื่อนมิทันจาง กลับบังเกิดเสียงผู้คนเรียกหากันอื้ออึงในความมืดจากบ้านหลังใหญ่ ครู่เดียวแสงไฟฉายสว่างวูบวาบระคนเสียงฝีเท้าคนมุ่งมาที่บังกะโล ผมกัดฟันกรอดตัดสินใจพร้อมเผชิญภยันตราย เพียงขอให้ได้พบเพื่อนอีกครั้ง เมื่อลงมติใจแล้ว สิ่งที่ทำคือลงจากบังกะโลไปต้อนรับทุกคนที่กำลังมุ่งมา พอก้าวสุดขั้นบันได เจ้าของหุ่นกำยำผิวนิลมือขวาถือปืนลูกซองยาว ๕ นัด หน้าตาบูดบึ้ง ถามเสียงเข้ม

“ไอ้รุณงัดตู้เอาปืนไปแล้วใช่ไหม?”

“ครับ”

เจ้าของผิวนิลหรือพี่ไมยืนอึ้ง จากลำแสงไฟฉายพอให้เห็นคิ้วหนาสลัดทะเลขมวดมุ่น นัยน์ตาดำคมกริบประกายวาว กรามหนาใหญ่บดกันจนเป็นสันนูน วิบหนึ่งอดีตสลัดทะเลหันไปทางกลุ่มบริวารอันเป็นชายฉกรรจ์หน้าตากร้านแดดลมรวม ๗ นาย สี่งการผาง

“ไปที่บ้านโน้น”

สิ้นเสียงผู้นำ ทั้ง ๗ ขุนรบสลัดทะเลหันกลับพากันก้าวพรวดๆ จากไป โดยมีพี่ไมถืออาวุธคู่ใจตามไปติดๆ ส่วนตัวเองขอตามไปทำหน้าที่เพื่อนให้ถึงที่สุด เหล่าสมุนสลัดทะเลพากันเดินฝ่าสวนมะพร้าวทิศทางเดียวกับที่รุณพาสำรวจตอนหัวค่ำ จนไปบรรลุยังบ้านไม้หลังใหญ่ ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่หรือสำนักนางโลมที่รุณพาผมเข้าไปเลือก เด็ก นั่นเอง

ที่หน้าประตูบ้านดังกล่าวแขวนตะเกียงเจ้าพายุไว้ดวงเดียว ขณะนี้มีกลุ่มเด็กเชิญแขกกับ เด็กหญิงหาเงินประมาณ ๑๒-๑๕ คน ยืนรวมกลุ่มกันด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อร่างดำทะมึนปรากฏ ทั้งกลุ่มสาวร้องไห้โฮโผเข้ากอดเจ้าสำนักซึ่งยืนกลืนน้ำลายฝืดๆ สองดวงตามองเข้าไปในบ้านหรือสำนักที่ตั้งทะมึนเบื้องหน้าคล้ายครุ่นคิดหนัก

“พี่รุณฉุด อีขาว ขึ้นไปอยู่ชั้นบนแล้วไล่พวกเราออกมาครับ”

ชายฉกรรจ์วัย ๓๐ ปี คาดว่าเป็นผู้ดูแลสำนักนางโลมหลุดปากรายงานประโยคแรก แต่ร่างดำทะมึนยังยืนจังก้านิ่งขึง มวลบุปผาราตรีที่เอาแต่ร่ำไห้พรั่นกลัวรุณ ตาแดง เห็นบรรยากาศกลุ่มผู้ชายล้วนหน้าตาเครียดดุดันพลอยหยุดร่ำไห้

ผมนั้นเร่าร้อน ขบคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ก็ยังใคร่เห็นเรื่องบรรเทาลงไม่ลุกลามกว่านี้ ตัดใจเข้าไปหาสลัดทะเลผิวนิล ถามด้วยความนอบน้อม

“พี่ไมต้องการเพียงให้รุณไปจากที่นี่ใช่ไหมครับ?”

นัยน์ตาดำคมกริบฉวัดจ้องหน้าผมทันที ผมเสริมอีกประโยค

“ให้โอกาสผมเข้าไปพูดกับเขาสัก ๕ นาทีได้ไหมพี่?”

“มันไม่ฟังคุณหรอก มันบ้าไปแล้ว”

“แต่ถ้าพี่พาลูกน้องเข้าไปจะต้องยิงกันแน่”

“แล้วมันทำอะไรไว้หน้าพี่มันหรือเปล่า” พี่ไมกระแทกเสียงใส่กึ่งประชด “หัวมันจะหลุด ยังเสือกไม่เจียมกะลาหัว”

“ขอเวลา ๕ นาทีครับพี่”

“ก็ได้….บอกมันส่งตัว อีขาว ออกมาก่อน จากนั้นจะหาเรือให้ไปส่งขึ้นฝั่ง”

“ครับ”

“จะเอาปืนไหม?”

“เพื่อนคงไม่ยิงผม”

“เชิญเลย”

โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง…ผมลอบสูบหายใจเข้าปอดหนักๆ ก้าวเดินผ่านประตูสำนักนางโลมที่เปิดกว้างทั้ง ๒ บานเข้าไปยังตัวเรือนกลางความมืดที่เงียบจนได้ยินเสียงตัวเองเป่าลมออกจากปาก เนื่องจากอดหวั่นไหวความตายไม่ได้ แต่ด้วยจิตมุ่งมั่นก่อคุณแก่เพื่อนช่วยเสริมจึงก้าวไปจนถึงตัวเรือน เงียบเซียบจนรู้สึกวังเวง……

คราวนี้ผมหันหน้าไปทางทิศตะวันออก รำลึกถึงพระคุณเจ้าหลวงพ่อขอบุญบารมีเสริมให้ดำเนินการดังกล่าวโดยปราศจากภยันตรายด้วยเถิด ราวสายลมแมกไม้รับรู้ ลมแรงพัดมากรูใหญ่ ผมขนลุกซู่กัดฟันก้าวขึ้นบันไดไปได้ ๓-๔ ขั้น เสียงกระชากลูกเลื่อนขึ้นลำปืนดังสะท้านอก ทำเอาใจเต้นรัว เหงื่อชุ่มโชกหลังและมือ พอหยุดทำใจได้ผมหันกลับไปดูผู้คนที่ประตูพบต่างจ้องมาที่ผมเป็นเป้าเดียว

“รุณ เราเปี๊ยกนะ อยากคุยด้วย” ผมรายงาน

รุณโต้ทันควัน “ไปซะเปี๊ยก เราแยกทางกันแล้ว”

“เราขอร้องเรื่องหนึ่งเท่านั้น” ปากว่าแต่ตีนย่างก้าวขึ้นบันได

เสียงเขาเงียบหายไป ผมไม่ระย่อ ก้าวขึ้นบันไดไปจนถึงระเบียง เสียงขีดไฟแช็กดังขึ้นก่อนปรากฏแสงสว่างจากไฟแช็ก รุณยืนจังก้าที่ประตู แขนขวาหนีบเอ็ม-๑๖ อยู่ หน้าตาดุดัน วูบเดียวเขาก็ดับไฟแช็กนั่น ที่ระเบียงที่เราเผชิญหน้ากันมืดตื้ออีกครั้ง

“พี่ชายเราให้เปี๊ยกมาขอให้ปล่อยผู้หญิงใช่ไหม?”

“เราตั้งใจเอง”

รุณไม่ต่อคำ แสงไฟฉายจากกลุ่มคนหน้าประตูส่องจ้าแลสว่างผิดปกติมาที่ระเบียง รุณฉากหลบวูบ ถามเสียงเบากริบ

“เปี๊ยกเข้ามาคนเดียวหรือเปล่า?”

“คนเดียว”

สิ้นเสียงตอบกลับปรากฏเสียงโทรโข่งคล้ายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ดังขึ้นในความมืดสงัดเงียบเป็นเสียงห้าวๆ ของผู้ชาย

“โปรดฟังประกาศ….ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการล้อมบ้านหลังนี้ไว้ทุกด้านแล้ว ขอให้ผู้ที่อยู่ภายในบ้านทุกคนวางอาวุธเข้ามอบตัวต่อเจ้าหน้าที่แต่โดยดี ไม่เช่นนั้นเราจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับทุกคน…โปรดฟังอีกครั้ง”

ท่ามกลางเสียงโทรโข่งดังปาวๆ รุณได้ผลุบเข้าไปในห้องด้านใน ครู่เดียวก็ปรากฏเสียงเปิดปิดหน้าต่างดังตึงตังสนั่นหู แสงไฟเปลี่ยนทิศพุ่งลำไปยังด้านข้างของตัวเรือน พลันเสียงหวีดร้องของผู้หญิงดังโหยก้องไปทั้งเหง้าหู จึงโจนผลุงเข้าไปในห้องมืดตื้อ เสียงเพื่อนเรียก

“เปี๊ยก”

ผมหลุดปากเสียงลั่นโดยอัตโนมัติ “นายทำอะไรผู้หญิงหรือเปล่า?”

“เปล่า มันฟื้นขึ้นมาพอดี”

“เรื่องถึงตำรวจแล้ว” ผมเปรย

“เรื่องนี้เราจัดการเอง…ตอนนี้นายพาผู้หญิงออกไปได้”

“แล้วรุณล่ะ?”

“ดูก่อน แต่อย่าห่วงเลย นายพาอีนี่ออกไปก่อนตำรวจบุกดีกว่า”

“รุณ เราถามตรงๆ นะ”

“ถามเถอะ”

“นายจะสู้ตำรวจหรือ?”

“ยังไม่รู้…เอ้า นายช่วยพาไปเถอะ ลุกขึ้นสิว่ะ อยากตายด้วยกันหรือ”

เงาตะคุ่มๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แสงไฟจากสปอตไลต์ที่ส่องลอดเข้ามาฉายให้เห็นสาวเจ้าน้ำตาอาบหน้าซีดขาวยืนร่างสั่นเทา ผมคว้าแขนเอาไว้ เสียงโทรโข่งประกาศเร่งให้ออกไปมอบตัวดังกระชั้นถี่ รุณถามเสียงเบาแผ่ว

“เปี๊ยก พี่ไมพาตำรวจมาล้อมเราใช่ไหม?”

“คงเปล่า เราเองยังไม่รู้ว่ามีตำรวจด้วย คิดว่าแกไม่ทำหรอก”

“โชคดี เปี๊ยก” เพื่อนไล่โดยปริยาย

สาวน้อยที่ผมกุมแขนไว้กระตุกแขนกึ่งลากท่ามกลางเสียงโทนโข่งตำรวจเริ่มนับ หนึ่ง จึงตัดใจลาเพื่อน

“โชคดีเช่นกัน รุณ”

จบคำสาวน้อยรีบดึงแขนผมออกจากห้องไปที่ระเบียงซึ่งขณะนี้แสงไฟฉายหรือสปอตไลต์ไม่ทราบจำนวนส่องมาที่เรา ๒ คนทีนที สาวเจ้าอุทานเสียงหลง

“ว้าย…พี่”

“อย่าตกใจ ตำรวจเขามาช่วยเรา”

ปากบอก มือซ้ายโอบด้านหลังประคองร่างสั่นเทาลงบันไดอย่างช้าๆ จนสุดขั้นบันได พลันแสงไฟทุกดวงดับพรึบราวนัดกัน ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั่วตัวอึดใจเสียงโทรโข่งดังขึ้นกลางความมืด

“ผู้ชายให้เอามือวางบนหัวซะ”

ผมรีบปล่อยมือจากแขนสาวน้อยไปวางบนหัวตัวเอง สาววัย ๑๖ ปี พอหลุดจาการเกาะกุมถึงกับวิ่งลิ่วไปออกประตูในบัดดล ทีนี้ดวงไฟทุกดวงพุ่งมาที่ผมจนนัยน์ตาพร่า จึงลดมือลงป้องหน้าไว้ พอหลุดร่างพ้นประตูสำนักนางโลมออกไป พบปากกระบอกปืนยาวปืนสั้นนับสิบจ้องมาที่ผม เลยถือโอกาสถาม

“ผมเอามือลงได้หรือยังครับ?”

“เอาลงสิ”

ชายฉกรรจ์ผมเกรียนท่าทางเอาเรื่องแต่งกายด้วยกางเกงสีกากีสวมทับด้วยแจ็กเก๊ตฟีลด์สีดำตอบแทน ผมลดมือลงและถือโอกาสสำรวจรอบตัวพบพี่ไมถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือพร้อมสมุนอีก ๗ คนกำลังมองมาพอดีก็พลั้งปากถาม

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”

อดีตสลัดทะเลหลวงตอบชัดเจน “หมามันลอบกัด หมาพวกนี้ ขุน ไม่เชื่อง”

“ไอ้สัตว์ไม” ชายฉกรรจ์ผมเกรียนตวาดเสียงสนั่น “กูมีหน้าที่ กูทำตามหน้าที่…เฮ้ยพาไอ้ไมไปคอยที่เรือ ให้มันดูวิธีจับตายน้องมันห่างๆ หน่อย”

สิ้นเสียงสั่งการ ชายฉกรรจ์ ๔-๕ คนที่ถือปืนยืนควบคุมจอมสลัดกับสมุนตะคอกใส่เชลยทันที บ้างใช้ปากกระบอกปืนเอ็ม-๑๖ ดุนหลังให้ทุกคนเดินลงไปยังปลายหาดซึ่งมีเรือประมุง ๒ ลำจอดอยู่ใกล้กับเรือยนต์เร็วสีขาว ๒ ลำ ผมนั้นยืนลังเลเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตกอยู่ในสภาพใด ฝ่ายตำรวจเองก็ดูเหมือนไม่ใส่ใจกับผม ซึ่งอาจเป็นเพราะเข้าใจว่าผมเป็นชาวเรือมาเที่ยวหาความสำราญกับหญิงโสเภณีที่ยังจับกลุ่มยืนบังต้นมะพร้าวหมายชมเหตุนับสิบ จึงถือโอกาสเข้าไปสมทบ เสียงโทรโข่งจากกลุ่มตำรวจดังขึ้นอีกครั้ง

“เสือรุณ เราจะให้โอกาสมอบตัวอีกครั้ง ฟังนะ ถ้านับ ๑ ถึง ๕ แล้วยังไม่ออกมามอบตัวก็ต้องจัดการ…”

ทันใดเสียงปืนเอ็ม-๑๖ แผดกัมปนาทกึกก้อง แสงสีส้มประกายวูบวับคมกระสุนเพชฌฆาตสงครามเจาะรั้วไม้ไผ่หน้าประตูสำนักนางโลมหักสะบั้นเสียงวร้ดว้ายจากกลุ่มโสเภณีระคนผู้คนวิ่งหลบกระสุนก่อให้เกิดความชุลมุนครู่เดียว ณ ที่นั้นได้คืนสู่ความเงียบดังเดิม

กลุ่มเจ้าหน้าที่กระจายเข้าหาที่กำบัง บริเวณลานกว้างหน้าสำนักงานโลมว่างเปล่า อึดใจเริ่มปรากฏเงาดำของคนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นจากหาด ทุกคนแต่งกายรัดกุมกลมกลืนกับความมืดจวบเงาดำตะคุ่มๆ ก้าวย่างใกล้เข้ามาในระยะสายตา ผมจึงทราบจำนวนทั้งหมด ๖ คน ทุกคนถือเอ็ม-๑๖ คนละตัวพร้อมแม็กกาซีนกระสุนสำรองที่เสียบติดเอวอีก ๒ แหนบ พอได้ระยะห่างประมาณ ๑๐ เมตร ซึ่งพอเห็นหน้าตา ๖ ชายชุดดำถนัดตาก็ต้องขนลุกซู่กับสิ่งที่พบ จึงพยายามเขม้นตามองเฉพาะ ๓ คนหน้าที่กำลังเดินเข้าไปสมทบกับตำรวจกลุ่มแรกนั้น ผมจำไม่พลาดแน่นอนคือ #เสือแมน! #เสืออบ! #แดงแหว่ง!

ทั้ง ๓ คนยืนปรึกษากับกลุ่มตำรวจอยู่พักใหญ่ ได้มีการฉายไฟส่องไปที่รั้วไม้ไผ่กั้นอาณาเขตสำนักนางโลมวูบวาบ สักครู่ ๖ ชายชุดดำซึ่งมี ๓ นักฆ่าระดับ “พระกาฬ” ร่วมด้วยได้แยกย้ายกันวิ่งกรูไปที่รั้วไม้ไผ่อย่างเงียบกริบ เสียงกระซิบกระซาบของชาวบ้านดังผ่านหูแว่วๆ

“เดี๋ยวได้ยิงกันบรรลัยไปข้างนึงแน่ มึงคอยดู”

สำหรับผมขณะนี้รู้สึกสลดและหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะภาพที่เห็นหาใช่ตำรวจปราบผู้ร้ายโดยตรงมแต่อาศัยกลุ่มมือปืนอาชีพที่หากินละแวกเดียวกันฆ่ากันเอง

ในที่สุดปืนนานาชนิดของเจ้าหน้าที่ที่ล้อมอยู่รอบนอกได้ยิงถล่มเข้าไปยังสำนักนางโลมอันเป็นเรือนไม้หลังใหญ่เสียงดังสนั่นรัตติกาลใกล้รุ่ง ทั้งเสียงปืนเสียงกระจกหน้าต่างแตกกราวทำเอาหูอื้อ และในฉับพลันที่กลุ่มตำรวจซัลโวใส่ตัวบ้าน ทั้ง ๖ นักฆ่าได้ถือโอกาสชาร์จเข้าประชิดตัวเรือน ผมนั้นทุกย่างก้าวที่นักฆ่าทั้ง ๖ คนเคลื่อนไหว จิตใจยิ่งห่อเหี่ยวลง เสียงปืนจากฝ่ายที่ล้อมอยู่สงบลงเมื่อกลุ่มนักฆ่าหายเข้าไปในเขตบ้าน ผมยืนพรูลมหายใจเงียบกริบ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของไทยมุงตามโคมมะพร้าวเริ่มกระเส่าบ่งถึงความพรั่นกลัว แต่ก็อยากดูอยากเห็นเรื่องกับตา

ทันใดเสียงเอ็ม-๑๖ ได้แผดปะทุกึกก้องขึ้นบนเรือนไม้ ๒ ชั้นหรือสำนักนางโลมมืดตื้อบอกถึงการปะทะกันแล้ว พร้อมๆ กันไฟฉายกับสปอตไลต์ของเจ้าหน้าที่ที่ล้อมอยู่รอบนอกฉายพุ่งไปที่สำนักโสเภณีราวนัดกัน เสียงปืนกันปนาทกึกก้องอยู่พักใหญ่ได้ซาลงและยินแต่เสียงคลื่นในที่สุด ลมทะเลกรูเกรียวเป็นระยะๆ เสียงคลื่นโลมหาดสลักเพชรดังฟซู่ซ่าแทนเสียงอาวุธสงคราม ผมรู้สึกหนาวยะเยือกเมื่อจมูกสัมผัสกลิ่นดินปืน ทุกดวงตาชาวเกาะชาวเรือรวมไปถึงเจ้าหน้าที่จับไปที่ประตูวิมานกามซึ่งบัดนี้ไฟทุกดวงล้วนพุ่งความสว่างไปที่นั่นดุจกัน

ใครเล่าจะเป็นผู้ถือเอ็ม-๑๖ เดินอย่างองอาจออกมาก่อน? ยิ่งคิดก็พานน้ำตาจะไหลให้ได้ ชั่วชีวิตนี้ที่เป็นตัวตนมิเคยหลั่งน้ำตาก็ใคร่จะให้มันทะลักออกมาให้สาสะใจกับที่ได้เห็นเสือกิน “เนื้อ” เสือกับตาคืนนี้ และแล้วเสียงฮือฮาอื้ออึงรอบๆ ตัวได้ดึงความสนใจไปที่ประตูวิมานกามอีกครั้ง บัดนี้ผู้ก้าวย่างออกมาคนแรกคือ เสืออบ, แดงแหว่ง และเสือแมนเป็นคนสุดท้าย รุณ ตาแดงล่ะ? อีก ๓ มือปืนที่เป็นฝ่ายล่าล่ะ?

คำถามดังกล่าวพรั่งพรูให้ผมหาคำตอบ แต่ไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะสภาพทั่วไปยังไม่เครียร์ จวบกลุ่มเจ้าหน้าที่ออกไปต้อนรับ ๓ นักฆ่าและพูดจาอยู่อึดใจกำลังทั้งหมดที่รายล้อมอยู่จึงเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่รีบรุดเข้าไปยังจุดปะทะ นาฬิกาบนข้อมือผมบอกเวลาอีก ๕ นาทีตี ๓ กลุ่มเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ถอนกำลังไปลงเรือยนต์เร็ว ๒ ลำที่จอดเกยหาดอยู่รวมทั้ง ๓ นักฆ่า ไทยมุงเริ่มออกจากที่กำบังตามมุมมืดเข้าไปชมเหตุ ผมรีบตามพวกเขาไปทันที กลางวงล้อมชาวเกาะ ชาวเรือแน่นขนัดบนลานดินห่างจากบันได ๒ เมตร มีร่างของรุณ ตาแดงนอนหงายเหยียดยาว มือตีนกางแต่เกร็ง บริเวณทั่วร่างไม่ปรากฏแผลกระสุนปืน เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ถูกเปลือยหมดเผยให้เห็นรอยไหม้เป็นจุดๆ ขนาดหัวแม่โป้งประมาณ ๕๐ จุด บริเวณใบหน้าบวมซ้ำมีเลือดทะลักทางจมูกกับปากและใบหูทั้งสองข้าง นัยน์ตาเบิกโพลงค้างเติ่ง บริเวณทวารหนักมีอุจจาระทะลักออกมากองใหญ่!

ไม่นานนักผู้คนได้วิพากษ์วิจารณ์กันทั่ว เสือรุณหนังเหนียว อดีตเจ้าพ่อเขาหวายมีเครื่องรางคุ้มตัวยอดเยี่ยม กระสุนเอ็ม-๑๖ จึงไม่อาจเจาะผ่านหนังเนื้อเขาได้ ถึงกระนั้นเขาก็ปิดฉากชีวิตเหี้ยมห้าวอย่างสมชาติเสือ เพราะซี่โครงกระดูกหักป่นปี้ ผมกลับไปยังบังกะโลที่พักซึ่งไม่ได้อาศัยหลับนอนสักงีบ จัดการเก็บเสื้อผ้าท่ามกลางบริวารพี่ไมทุกคนทั้งชายหญิงล้วนตกอยู่ในอาการเศร้าสลดเฉพาะภรรยาอดีตสลัดซึ่งผมเพิ่งเห็นหน้าครั้งแรกสู้มีแก่ใจมาบอกให้ผมอยู่ที่นี่เพื่อเป็นหลักให้ทุกคนสักระยะหนึ่ง ก็จำต้องปฏิเสธทั้งล่ำลาทุกคนลงเรือเที่ยวแรกตอน ๖ โมบเช้าสู่แผ่นดินใหญ่โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางดั่งฝันจริงๆ

ครับ-บันทึกนี้ หากจะมีคำถามว่า “๓ มือปืน” ที่ร่วมบุกยิงรุณ ตาแดง หายไปไหน? ผมมาทราบภายหลังว่าตำรวจได้ขนย้ายศพทั้ง ๓ คนซึ่งถูกปืนนักฆ่าเขาหวายเสียชีวิตไปก่อนที่ผมจะเข้าไปดูศพเพื่อนแล้ว ก่อนจากขอฝากถึงผู้คนที่ยังเดินดลบนวิถีนักฆ่าได้ย้อนมองดูตัวเองว่ากฏแห่งกรรมนั้นมีจริงหรือ? ชีวิตใครใครก็รักและหวงแหน ไม่มีใครอยาก “ขาย” ชีวิตตนหรอก ในส่วนของ “ผู้ซื้อ” ชีวิตผู้คน โปรดสังวรไว้ด้วยว่า “กรรม” ที่ก่อนั้นมันจะคอยหลอนสำนึกท่านไปชั่วชีวิต จวบท่านถึงวันแตกดับในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว และคงไม่ต้องฉายตัวอย่างมีใครบ้างในยุทธจักร

สำหรับ “เสือรุณ” หรือนามจริง “อรุณ ภู่เสาวรส” เราผู้เพื่อนกราบขมาขออโหสิกรรมต่อเรื่องราวที่บันทึกนี้ด้วย เนื่องเพราะหวังไว้ว่า “ธรรม” ทางใจในบางส่วนผสานสำนึกที่ดีที่เพื่อนมี อาจสะกิดใจผู้คนรุ่นหลังได้ก้าวย่างบนถนนชีวิตด้วยสติบ้าง และที่สุดนี้ เราขอขอบคุณเพื่อนที่คืน “เด็กหญิง” ให้ แทนที่จะดึงไว้เป็นตัวประกันต่อรองยืดเวลาตายตัวเองเยี่ยง “เสือ” ในช่องที่นิยมทำ

สุริยัน ศักดิ์ไธสง

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: